หนึ่งคนเสียสละเพื่อให้อีกคนพบสิ่งที่ดีกว่า
หนึ่งคนเสียสละเพื่อให้อีกคนพบสิ่งที่ดีกว่า
“ฟ้า เย็นนี้ไปดูหนังกันไหม” อิงอรถามเพื่อนของเธอ
“ไม่ไป ฟ้าจะรีบกลับไปอ่านหนังสือ” พราวฟ้าตอบเพื่อนสนิท
“โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” อิงอรตอบแล้วเดินไปกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่รออยู่
พราวฟ้า กิตติวรกุลและอิงอร เมธาวัลย์ เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ห้า ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้น พราวฟ้ามีชื่อเล่นว่าฟ้าส่วนอิงอรมีชื่อเล่นว่าอร ทั้งสองคนกำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
อิงอรเกิดในครอบครัวชั้นกลาง เธอมีพี่น้องสามคนตัวเธอเป็นคนโตและมีน้องชายกับน้องสาว บ้านของอิงอรไม่ได้กวดขันอะไรกับลูกมากนักเพราะพ่อแม่ของเธอยินดีและเต็มใจกับทุกสิ่งที่ลูกจะมีความสุข อิงอรจึงเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยแบบสบายๆ ถ้าไม่ได้ตามที่ตั้งใจเธอก็แค่ไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็เท่านั้นเอง
อิงอรอยากเป็นดีไซเนอร์ เธอรักการแต่งตัว รักสวยรักงาม เธอคิดว่าถ้าเรียนด้านการออกแบบมันจะต่อยอดไปทำอะไรได้อีกหลายอย่างมากเพราะการออกแบบไม่ได้หยุดอยู่แค่เสื้อผ้า เธอชอบดูคลิปที่บล็อกเกอร์สาวๆ สาธิตการแต่งหน้าเพราะหลงใหลแพ็คเกจเครื่องสำอางเหลือเกิน หลายครั้งที่เธอซื้อก็เพื่อดูรายละเอียดของสินค้าว่ามันทำมาจากอะไร
พราวฟ้าเป็นลูกสาวคนเดียวของบิดาที่เป็นทันตแพทย์หรือหมอฟันส่วนมารดาเป็นกุมารแพทย์หรือที่ใครๆ เรียกว่าหมอเด็ก ไม่บอกก็น่าจะเดากันออกว่าครอบครัวของพราวฟ้าอยู่ในระดับสูง ทุกอย่างในชีวิตของเด็กสาวโปรยไปด้วยกลีบกุหลาบเธอไม่เคยผิดหวังและไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้ ผลการเรียนของเธอเป็นที่หนึ่งมาตลอดผิดกับอิงอรเพื่อนสนิทที่สอบได้เลขสองตัวเสมอแต่เพื่อนเธอกลับไม่รู้สึกอะไร
พราวฟ้าไม่ได้เสพติดความสมบูรณ์แบบ เธอไม่ได้อยากแข่งขันเอาเป็นเอาตายกับลำดับตัวเลขและเกรดเฉลี่ยแต่พ่อกับแม่ตั้งความหวังไว้กับเธอสูงเหลือเกินเพราะเธอคือลูกสาวคนเดียวของแพทย์มือดีเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย
สองบ่าเล็กๆ ของพราวฟ้าจึงแบกความหวังอันยิ่งใหญ่ของบิดามารดาเอาไว้
“สวัสดีค่ะป้านิ่ม” พราวฟ้ายกมือไหว้ป้าแม่บ้านจริงๆ คือแม่คนที่สองของเธอมากกว่า เธอเจอหน้าป้านิ่มมากกว่าพ่อกับแม่ของตัวเองซะอีก
พราวฟ้าโตมากับคำว่า “เสียสละ” และ “หน้าที่” เธอเข้าใจดีว่าพ่อกับแม่ต้องช่วยชีวิตคนไข้ ทั้งสองคนสอนให้เธอคิดถึงคนอื่นให้มากและที่ทั้งคู่เข้มงวดกวดขันกับเธอเรื่องเรียนก็เพราะท่านทั้งสองอยากให้เธอเป็นหมอเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์
“หนูฟ้าจะทานข้าวเลยไหมคะ”
“ทานเลยค่ะป้านิ่ม หนูขอไปเปลี่ยนชุดแปบเดียวค่ะ”
ป้านิ่มมาเริ่มงานที่บ้านด้วยหน้าที่แม่บ้านคอยดูแลทำความสะอาดและทำอาหารด้วยพอคุณแม่ตั้งท้องและคลอดเธอออกมา ป้านิ่มก็กลายเป็นแม่เลี้ยงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตำแหน่งด้วยความเต็มใจ นิ่มเป็นสาวโสดถึนทึกไม่ได้แต่งงานและไม่มีญาติที่ไหนมีก็แต่ครอบครัวกิตติวรกุลที่เธอรับใช้มาร่วมสามสิบปีเท่านั้น
บ้านของพราวฟ้าเป็นบ้านขนาดสามห้องนอนและมีสวนเขียวขจีแถมยังมีน้ำตกจำลองอยู่ด้านหลังตัวบ้านด้วย วันหยุดเด็กสาวมักจะหอบหนังสือไปอ่านที่ศาลาไม้ใกล้กับน้ำตก เธอชอบเสียงน้ำไหลเบาๆ มันทำให้เธอมีสมาธิในการอ่านหนังสือ
“ว่าไงเบลล์คนสวย หวัดดีจ้ะอดัมสุดหล่อ” เบลล์คือแมวสาวขนสีขาวสะอาดตา ส่วนอดัมคือแมวหนุ่มรูปหล่อสีส้มขนฟู เจ้าเหมียวทั้งสองอยู่ๆ ก็มานอนซุกกันตรงถังขยะหน้าบ้านเมื่อสามปีก่อนเธอเลยขออนุญาตพ่อกับแม่เลี้ยงทั้งคู่ไว้
ชื่อของแมวทั้งสองตัวมาจากการ์ตูนเรื่องโปรด “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” หรือ “Beauty and the Beast” เธอสามารถเปิดการ์ตูนเรื่องนี้ฉายซ้ำวนไปทั้งวันโดยไม่มีความเบื่อเลย
พราวฟ้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนของตัวเอง แวะเติมข้าวให้เจ้าแมวทั้งสองแล้วจึงเดินลงไปทานมื้อเย็น
“ป้านิ่มคะ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยถ้าหนูไปอยู่หอพักป้านิ่มจะเหงาไหมคะ” พราวฟ้าถามระหว่างที่ช่วยกันล้างจานชามหลังจากทานอิ่มแล้ว
“เหงาสิคะหนูฟ้าแต่ถ้าหนูฟ้าต้องลำบากไปๆ กลับๆ ป้าก็จะอดทนค่ะ รถรามันติดขนาดนั้นหนูฟ้าจะเหนื่อยเกินไป”
“หนูเหงากว่าป้านิ่มแน่ๆ” พราวฟ้าตอบแล้วครุ่นคิดว่าเธอจะมีชีวิตอยู่เพียงลำพังได้ยังไง จริงอยู่ว่าพ่อกับแม่ห่วงและหวงเธอมากแต่เรื่องไปอยู่หอพักทั้งคู่กลับสนับสนุน
พ่อกับแม่บอกว่าการออกไปอยู่ด้วยตัวเองจะทำให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้จักรับผิดชอบมากขึ้นและก็เป็นการวัดใจด้วยว่าเวลาห่างหูห่างตาพ่อแม่ เธอจะทำตัวยังไงจะปล่อยตัวปล่อยใจจนเหลวแหลกเสียคนไหม
“ถ้าป้านิ่มง่วงก็นอนเลยนะคะไม่ต้องเอานมขึ้นไปให้หนูหรอก”
เมื่อทานมื้อเย็นเสร็จพราวฟ้าก็จะขึ้นไปอ่านหนังสือจนดึกดื่นทุกคืน ส่วนมากป้านิ่มจะเอานมอุ่นๆ มาให้เธอตอนสี่ทุ่มกว่า ป้านิ่มพักอยู่ในบ้านหลังเล็กติดกับบ้านใหญ่ของเธอ
“เจ้าเหมียวน่ารักจริง” สามทุ่มกว่าพราวฟ้าพักสายตาด้วยการเข้าไปดูเพจแมวต่างๆ ที่เธอตามไว้ในเฟสบุ๊ค เธอเป็นทาสแมวตัวจริงเสียงจริง ดูได้จากของทุกอย่างในห้องมีแมวเกลื่อนไปหมดทั้งที่นอน หมอน ผ้าม่าน เสื้อผ้า ของใช้ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีแมวอยู่ในนั้นเสมอ เจ้าเหมียวทั้งสองนอนกับเธอบนเตียงแต่เจ้าขนฟูก็สามารถเดินไปไหนต่อไหนได้สะดวกสบายเพราะประตูห้องเธอติดประตูแมวบานเล็กไว้ด้านล่าง
“เหมียวชายแดน” พราวฟ้าตามเพจแมวอยู่หลายสิบเพจแต่มีแค่เพจเหมียวชายแดนเท่านั้นที่เธอกดติดดาวไว้เพื่อที่จะไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว
แอดมินเพจคือทหารชายแดนที่จังหวัดปัตตานี ทุกสองสามวันพี่ทหารก็จะอัพรูปแมวในฐานพร้อมข้อความน่ารักๆ ที่เรียกว่าภาษาแมวให้แฟนเพจได้อ่าน เธอใจหายใจคว่ำทุกครั้งเวลาที่เพจไม่มีอะไรอัพเดทติดกันหลายๆ วัน เพราะกลัวแอดมินจะเป็นอะไร
ที่ฐานมีแมวอยู่ห้าสิบกว่าตัวตามคำบอกเล่าของแอดมินและก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เพราะแมวเหล่านั้นไม่ได้ทำหมัน การจะเดินทางลงไปพื้นที่อันตรายแบบนั้นเป็นเรื่องลำบากมาก ต้องใช้กำลังคนในการคุ้มกันไหนจะต้องหาที่พักให้สัตวแพทย์อีก พี่ทหารทุกคนจึงทำเท่าที่จะทำได้
นอกจากเพจจะอัพรูปแมวแล้วแอดมินก็ยังเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของทหารชายแดนให้แฟนเพจอ่านด้วย เธอคิดไม่ออกเลยว่าการต้องใส่เสื้อเกราะหนักกว่าสิบกิโล ถือปืนอันใหญ่มหึมา นอนกลางดินกินกลางทราย มันจะลำบากและทรมานขนาดไหน เวลาฝนตกพวกพี่ทหารๆ ก็วิ่งหลบฝนไม่ได้ถ้ายังอยู่ในหน้าที่พวกเขาต้องยืนตากฝนอยู่แบบนั้นจนกว่าจะออกเวร
“ง่วนแล้ว ตัวแนวไปนอนก่อนเนะ” นี่คือภาษาแมวที่แสนจะน่ารักคิขุที่ออกมาจากปลายนิ้วของทหารหาญ เธออ่านแล้วก็ได้แต่อมยิ้มให้กับความอารมณ์ดีของแอดมิน
“ฟ้า พ่อกับแม่กลับมาแล้วลูก” สี่ทุ่มนิดๆ ทั้งคู่ก็เดินเข้ามาหาเธอในห้อง
“ทานข้าวกันรึยังคะ”
“ทานแล้วลูก เหนื่อยเหลือเกินขอไปนอนก่อนนะหนูก็อย่านอนดึกมาก” แม่หอมแก้มเธอส่วนพ่อก็ลูบหัวเบาๆ แล้วก็เดินออกไป เด็กสาวกลับมาตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออีกครั้งเป้าหมายวันนี้คือนอนเที่ยงคืน
“หนูฟ้า จะเที่ยงคืนแล้วนอนเถอะค่ะ” นิ่มเห็นไฟในห้องนอนของหนูฟ้ายังไม่ปิดจึงอุ่นนมขึ้นมาให้
“ค่ะป้า หนูก็ว่าจะนอนแล้ว” ห้าทุ่มห้าสิบห้านาที พราวฟ้าลุกไปอาบน้ำแล้วกลับมาดื่นนมอุ่นๆ และเมื่อหัวถึงหมอนเธอก็หลับสนิททันที
“เชิญจ้ะ ตามสบายนะ” กอบสุขบอกด้วยเสียงสั่นๆ เพราะดำรงไม่ได้มาคนเดียวแต่พาเพื่อนมาอีกสองคน “คุณกอบจำเรื่องที่เคยบอกผมได้ไหมครับ” ดำรงถาม “จำได้จ้ะ เรื่องนั้นใช่ไหม” “คุณกอบต้องพูดให้ชัดเจนนะครับ กระซิบบอกผมคนเดียวก็ได้เพราะทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพียงทางเดียวเท่านั้นคือคุณกอบยินยอม” “ฉันอยาก xxx” กอบสุขสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเชิดหน้าบอกอย่างมั่นใจ เธอต้องการมันและไม่ใช่เรื่องผิดบาปใดๆ ที่ผู้หญิงอยากทำแบบนี้ หากมันไม่เดือดร้อนใคร ทำไมจะทำไม่ได้ เพื่อนๆ ของดำรงไม่รีรอเมื่อคนชวนมาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
♡ แรกๆ ก็เอ็นดู หลังๆ ก็อยากให้ดูเอ็น ♡ บางส่วนจากนิยาย: กิตตินอนมองเอมิลี่แต่งตัวอย่างเพลิดเพลินแล้วความคิดซุกซนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากให้เธอใส่เสื้อผ้าเลยให้ตายสิ อยากถอดเสื้อจัง อยากถอดกางเกงด้วย ชุดชั้นในก็ไม่ต้องใส่หรอกบดบังของสวยๆ ทำไม “แล้วพี่โก้ไม่แต่งตัวเหรอคะ” “แต่ง … แต่งครับ รอเดี๋ยวเดียวนะ” กิตติต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านลงก่อน “พี่โก้ไม่อยากไปใช่ไหมคะ” เอมิลี่เดินกลับไปหาคนที่ยังไม่ลงจากเตียง “อยากครับ ไปสิไปกันเลย พี่แต่งตัวอึดใจเดียวก็เสร็จแล้ว” “ไม่จริงหรอกค่ะ ทำอยู่ตั้งนานกว่าพี่โก้จะเสร็จ” คำเตือน: มีการสูญเสีย มีเหตุการณ์สะเทือนใจ
มิรา กนกชนากาญจน์ดีไชเนอร์ชื่อก้องโลกของห้องเสื้อแบรนด์ดังจากมิลาน อดีตทายาทมหาเศรษฐีคนเดียวของเจ้าสัวปราณ เธอกลับมาบ้านในรอบสิบสองปีหลังจากถูกยื่นคำขาดจากท่านเจ้าสัวว่าจะยกทุกอย่างให้ปถวีกับหลานสาวฝาแฝดของเธอมิราจำต้องพับเก็บความโกรธและทิฐิมานะเอาไว้ รีบกลับมาทวงคืนมรดกหลายพันล้านคืน เธอจะไม่ยอมให้ใครฮุบสมบัติที่เป็นของเธอไปอย่างเด็ดขาด ไม่แม้แต่จะยอมให้สักเศษเสียวกระเด็นไปถึงทายาทนอกสายเลือดอย่างเขา เหมืองปราณปุราอดีตเหมืองใหญ่ที่สุดของเมืองกาญจน์ที่ล่มสลายลงหลายสิบปีถูกกลับมารื้อพื้นขึ้นมาอีกครั้งจากน้ำมือของ “ปถวี”เขาพลิกพื้นผืนดินที่ปล่อยทิ้งร้างมานานให้กลายเป็นฟาร์มปศุสัตว์ครบวงจร ขยายไร่จากสองพันไร่ให้เป็นห้าพันไร่ภายในระยะเวลาเจ็ดปี “ไม่แต่งก็ได้...แต่สมบัติจะถูกแบ่งตามพินัยกรรม” ชายชราบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ไม่ได้! หนูไม่ยอมให้สมบัติไปตกอยู่ในมือปลิงเปลือกทองอย่างหมอนั่นเด็ดขาด” “ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องแต่ง ปู่ให้เลือกว่าจะจดทะเบียนกันเงียบๆ หรือ จัดพิธีใหญ่โตที่สุดแต่ไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้”
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
นายปฐพี พลพิพัฒ อายุยี่สิบแปดปี ชายหนุ่มรูปหล่อ ร่างสูงใหญ่กำยำผิวขาว เขาเกลียดผู้หญิงทุกคนเข้าไส้ ใครเข้าใกล้ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคือปีศาจในคราบเทพบุตรชัดๆ แต่ทำไมนะจีน่าจึงตกหลุมรักเขา นางสาวจีน่า ไนลา อายุยี่สิบสี่ปี ใบหน้าของเธอนั้นคมเหมือนกับสาวลูกครึ่ง เพราะมารดาของเธอเป็นคนอังกฤษ บิดาของเธอชื่อสรวิช ซึ่งความสวยของจีน่านั้นไม่เป็นรองใคร ดวงตาของเธอกลมโตจมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูปสีชมพูระเรื่อ ใครเข้าใกล้ต่างก็ชอบในความน่ารักสดใสของเธอ แต่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวได้เก็บเรื่องราวบางอย่างไว้ในใจตลอดเวลา เมื่อคนที่เธอตกหลุมรักเขากำลังจะแต่งงานด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้น คือพี่สาวแท้ๆ ของเธอ ความรักของเขาและเธอจะลงเอยยังไงฝากด้วยนะคะ
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด