เพื่อทดแทนบุญคุณของผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง การแต่งงานและละทิ้งความฝันคือสิ่งที่เขาต้องการจาก“เธอ”
เพื่อทดแทนบุญคุณของผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง การแต่งงานและละทิ้งความฝันคือสิ่งที่เขาต้องการจาก“เธอ”
โอ๊ย!!
“อะไรกันลูก แค่นี้เอง” หญิงสาววัยสามสิบปีนิดๆ ยิ้มจนตาปิดให้กับความน่ารัก น่าเอ็นดูของลูกสาวตัวน้อย
ยามว่างหลังจากทำการบ้านเสร็จ เธอมักจะยกตะกร้าหวายใบขนาดย่อมที่บรรจุไหมพรมสีหวานมานั่งถักทอกับลูกสาวของเธอ
งานฝีมือที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ใจเย็นและความอดทน เธอหวังว่าการถักพรมไหมจะช่วยให้ลูกสาววัยกำลังเข้าสู่วัยรุ่นไม่หมกมุ่นไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น
“ตวัดหัวเข็มแล้วจิ้มลงในห่วง จากนั้นก็คล้องไหมพรมเกี่ยวขึ้นมาทางเดิม แล้วม้วนหัวเข็มรอดระหว่างช่องออกมาก็จะได้ลายแบบนี้”
“โอ๊ย! หงุดหงิดๆ นิลไม่ทำแล้ว”
“โธ่เอ๊ย! ลูกแม่”
เด็กน้อยตวัดเข็มโครเชต์ควักเส้นด้ายสีสวยนุ่มฟูตามที่แม่บอกทุกขั้นตอน แต่ทว่ายิ่งทำเจ้าไหมพรมก็ยิ่งพันกันยุ่งเหยิงไปหมด กิจกรรมเสริมสร้างความสมาธิและอดทนนี้มันยิ่งให้เธอหงุดหงิดอารมณ์เสียมากกว่าได้ความใจเย็น
เด็กหญิงวัยสิบสองปีอยากไปนั่งดูหนังฟังเพลงแบบที่วัยรุ่นทั่วๆ ไปเค้าทำกันมากกว่า
แม่มักจะให้เธอฝึกความอดทนด้วยการนั่งหลังขดหลังแข็งถักผ้าพันคอลายง่ายๆ ให้เสร็จสักผืน
และด้วยความเป็นเด็กผสมกับความใจร้อนของปลานิล เธอจึงบ่ายเบี่ยงบอกแม่ว่าผ้าพันคอผืนหนาคงไม่มีโอกาสได้ใช้จริง เพราะประเทศไทยอากาศร้อนตับจะแลบ
“มันน่าเบื่อจะตายไปแม่ ทำเสร็จแล้วก็ใช่ว่าจะได้ใช้...” เด็กส่งเสียงออดอ้อน
“เอาน่า...ค่อยๆ ถักไปจนกว่าจะเสร็จนะลูก”
“...”
.
.
.
6 ปีต่อมา
“นางปลาเน่า แกจะพันผ้าเน่าๆ ของแกถ่ายรูปด้วยเหรอ”
“แล้วมันไม่ได้เหรอ...”
“ก็ต้องไม่ได้สิวะ! นี่มันบัตรนักศึกษานะเว้ย”
“ก็มันได้ความรู้สึกเหมือนแม่อยู่ใกล้ๆ นี่หน่า” เจ้าตัวกำผ้าพันคอสีแดงสดที่เธอถักมันจนเสร็จตั้งแต่ตอนประถม นี้เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ความอบอุ่นของแม่อันเป็นที่รักเพียงคนในชีวิตของเด็กสาววัยเพียง 18 ปีคนนี้
“อย่ามาต่อมน้ำตาตรงนี้นะเว้ย”
“โธ่เอ๊ยภีม! ปลาก็แค่คิดถึงแม่เฉยๆ ปลาไม่ได้เศร้าสักหน่อย”
“จะไปรู้เหรอ! ฉันกลัวว่าแกจะมาน้ำตาแตกถ้าในรูปไม่มีผ้าพันคอของแม่ติดอยู่” เด็กสาววัยเดียวกับปลานิลแซวเพื่อนรักคนสนิท
เพราะตั้งแต่ที่ภีมรู้จักกับปลานิลตอนประถม ชีวิตของปลานิลก็ไม่เคยห่างจากไอ้ผ้าพันคอไหมพรมผืนนี้สักครั้ง
บัตรประชาชนเอย รึรูปอะไรก็ตามแต่ต้องมีผ้าเน่าสีแดงนี้ร่วมเฟลมตลอด
“ปลานิล?”
“หึ่ม!?”
เจ้าของตอบรับคำเพื่อนโดยที่ตนเองยังนั่งหันหลังให้ แต่แล้วก็ต้องมองตามเพราะยัยเพื่อนสาวสะกิดจนเจ็บแขน
“แก๊งหมอ!!”
“อะไรของแกภีม” คนขี้รำคาญหันไปเอ็ดเพื่อนสาว
ปลานิลมองตามฝูงชนขบวนใหญ่ พวกรุ่นพี่แห่อะไรกันก็ไม่รู้ ราวกับมีขบวนพาเหรด
“นางปลาเน่า แกดูพวกศิษย์เก่าพวกนั้นสิ”
“ทำไมภีม!!” คนถูกสะกิดแว้ดเสียงสูง
ด้วยนิสัยส่วนตัวไม่ค่อยสนใจเรื่องคนอื่นหรอก สนก็แต่เรื่องเรียน เรื่องเงินและงานพิเศษเท่านั้น
1 วันมีค่าเท่ากับ 24 ชั่วโมง แต่สำหรับปลานิลแล้วหนึ่งวันสำหรับเธอ ทำไมมันจึงน้อยกว่าคนอื่นนัก น่าจะมีเวลาทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่านี้
“นั้นมันแก๊งเทวดานางฟ้าชัดๆ เขาว่ากันว่า ดาวเดือนของมหาลัยเรามาจากคณะแพทย์ทั้งนั้นเลยนะ”
“อืม...แล้ว!?” คนฟังไม่สนใจได้แต่ถามไปอย่างนั้น เพราะนางภีมมันพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด เดี๋ยวจะงอนหาว่าไม่สนใจฟังสิ่งที่นางพูด
“ตอนเย็นมีกิจกรรมรับน้องที่ทางมหาลัยจัดด้วย วันนี้งานใหญ่เลยนะปลา รวมทุกคณะเลย”
“เอ่อ...แล้ว”
“แกก็แหกตาดูเหล่าบรรดาเทวดานางฟ้าตรงนั้นสิ พวกเรามีโอกาสได้ทำกิจกรรมกับพวกรุ่นพี่พวกนั้นด้วยนะ ตัวTOPของแต่ละคณะ และส่วนใหญ่ก็จบไปแล้ว” หญิงสาวประคองสองแก้มซ้ายขวาของปลานิลแล้วบิดบังคับให้เธอหันมองเหล่าบรรดาลูกรักของพระเจ้าที่เดินพาเหรดเชิญชวนน้องๆ
“ฮึ! เย็นนี้คุณท่านจะพาไปทานข้าว”
“โธ่! อีกแล้วเหรอ” ภีมทำเสียงอ่อย
เพราะเพื่อนรักไม่อยู่ทำกิจกรรมด้วย เธอต้องอยู่คนเดียวมันก็จะเหงาๆ
“อีกแล้วซะที่ไหนกัน ตั้งแต่สอบติดปลาก็เพิ่งว่างไปทานข้าวกับคุณท่านวันนี้แหละ”
“โอเคๆ ไว้ฉันจะถ่ายรูปไปอวดนะ แกพลาดแล้วแหละ เขาบอกว่าวันนี้รวมตัวท็อปของทุกปีเลยด้วย”
“จ้า!!...ขอให้ได้รุ่นพี่หล่อๆ สักคนเนาะ”
“นางปลาเน่า! คนอย่างฉัน....ไม่เอาหรอกนะ”
“ถามจริง?”
“คนหล่อๆ มีเป็นร้อย จะเอาแค่คนเดียวทำไมก่อน...ห้ะ!”
ภีม!!!
ฮ่าๆๆๆ
เสียงหัวเราะร่าตามประสาเพื่อนระหว่างสองสาวหน้าตึกคณะมัณฑนศิลป์ แล้วเมื่อถึงเวลาเย็นต่างคนจึงต่างแยกย้ายไปทำกิจของตนเอง เด็กสาวยังมีธุระสำคัญกับคนสำคัญที่รอให้เธอไปพบในคืนนี้
เขาเกิดจากเศษเสี้ยวหนึ่งที่คุณแค่ทิ้งไว้ในตัวฉันเท่านั้น นั่น! ไม่ใช่ “ความรัก” // ภาคต่อตอนจบจาก 'เสน่หาคู่นอน'
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
© 2018-now MeghaBook
บนสุด