ก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาพาฉันมาเจอกับอะไร... ทำไมอยู่ๆชีวิตฉันถึงต้องมาข้องเกี่ยวกับพวกคนรวยที่เป็นถึงทายาทมหาวิทยาลัยชื่อดังสองแห่งอย่าง Destinesia และ Vania ที่กำลังมีเรื่องบาดหมางจนแทบจะฆ่ากัน มิหนำซ้ำตัวฉันเองและใครบางคนในความทรงจำที่ฉันกำลังตามหา ก็ดันเป็นสาเหตุหลักของปัญหาที่ว่า ปัญหา...ที่ต้องแลกด้วยชีวิต ความสูญเสีย...ที่ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองก็มีส่วนในเรื่องนี้
“ไชโย~!!! ในที่สุดลูกแม่ก็ได้ทุนเรียนมหาลัยแล้ววว... แถมยังเป็นมหาลัยไฮโซชื่อดังอย่าง Destinesia ซะด้วย แม่เห็นเขาเล่าต่อๆกันมาว่าข้างในเริ่ดมากกก ห้องอาหารสุดหรู ห้องเรียนแอร์แปดตัว ห้องสมุดกว้างสุดลูกหูลูกตา สระว่ายน้ำก็ใหญ่เบ้อเร่อ แล้วก็อะไรอีกน้าาา....”
“เก่งจริงๆลูกพ่อ ประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่าครอบครัวเราก็ไม่ใช่ไก่กาอาราเล่นะจะบอกให้ ฮ่าๆๆ”
“พี่นี่สุดยอดไปเลยแฮะ เป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัว ผมดีใจที่เกิดเป็นน้องพี่ แค่นี้ก็ไม่อายเพื่อนละดิ!!”
เฮ่อ...
เชื่อเหอะตอนนี้ฉันกำลังนั่งทำหน้าเหมือนหมาป่วยฟังทุกคนพรรณนาถึงความเลอค่าของ Destinesia มหาวิทยาลัยที่หรูที่สุดในย่านนี้ที่ตัวเองตกกระไดพลอยโจรไปได้ทุนเรียนฟรีตลอดหลักสูตรแบบงงๆ
ส่วนสตอรี่การได้ทุนเรียนฟรีที่แสนวุ่นวายนี้ มันเกิดจากความบังเอิญที่มีรถยนต์สุดหรูคันหนึ่งขับหลงมาในละแวกบ้านแล้วเกิดน้ำมันหมดกลางทางพอดี เด็กสาว ม.ปลายจบใหม่สวยใสบริสุทธิ์อย่างฉัน ระหว่างปั่นจักรยานกลับจากโรงเรียนมาเห็นเข้าก็เลยให้ความช่วยเหลือพี่สาวคนนั้นด้วยการไปตามคนมาช่วยก็แค่นั้น
ย้ำอีกทีนะ เหตุเกิดจากน้ำมัน ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดเนี่ย มันมีแค่นี้เลยจริงๆ
แต่ก็นะ เพราะดันมารู้ทีหลังว่าพี่สาวที่ฉันช่วยไว้คือ 'คุณไลลา' ทายาทนักธุรกิจพันล้าน เจ้าของกิจการหลากหลายสายงานทั้งในและต่างประเทศเนี่ยสิ แถมมหาลัย Destinesia ที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นธุรกิจในเครือของครอบครัวเธอด้วย เพราะงั้นฉันเลยได้รับจดหมายเชิญไปเรียนต่อเพื่อทดแทนบุญคุณแบบเล่นใหญ่ได้อีก และไม่ต้องพูดถึงเรื่องจดหมายส่งผิดบ้านเลย เพราะสิ่งที่มันเอ็กซ์คลูซีฟกว่านั้นอีกคือจดหมายเชิญดันจ่าหน้าซองถึง 'สาวน้อยผู้ใจดี' พร้อมกับแนบรูปที่แอบถ่ายฉันตอนปั่นจักรยานมาแบบเจาะจงสุดฤทธิ์ว่าต้องเป็นคนนี้!!
เหอะๆ อันที่จริงแอบคิดว่าส่งน้ำมันพืชหรือน้ำมันเบนซินมาที่บ้านสัก 30 ลิตรก็น่าจะเป็นการตอบแทนที่เพียงพอแล้วนะ แต่ชนชั้นอีลิทคงเสพติดความอลังการ ซึ่งมันแสนเว่อร์วังซะไม่มี
อ้อ...แล้วนอกจากจะได้เรียนฟรี ที่นี่ยังมีค่าครองชีพให้ด้วย หรือพูดง่ายๆก็คือมีเงินค่าใช้จ่ายให้ฟรีทุกเดือน เรียกว่าเหลือกินเหลือใช้เลยแหละถ้าเทียบกับชีวิตปกติของฉันที่เป็นอยู่
และที่พีคไปกว่านั้นอีก ฉันได้สิทธิ์นั่งรออยู่ที่บ้านเฉยๆ ก็มีชุดนักศึกษาและอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็นมากมายส่งมาให้ถึงที่บ้านเลย อดคิดไม่ได้ว่าขนาดจะรับนักศึกษาใหม่ที่นี่ก็ยังคงความไฮโซอวดรวยอีกหรอเนี่ย ทำไมใครต่อใครถึงชอบความฟู่ฟ่าของที่นี่นักนะ นี่ฉันผิดปกติหรือว่าชินกับการอยู่แบบจนๆไปแล้ว วุ่นวายจริงๆ
“ทุกคนคะ!!!”
สุดท้ายฉันก็ต้องโพล่งออกมาด้วยความเบื่อหน่ายกับท่าทางดีอกดีใจจนเกินเหตุของพ่อแม่และน้องชาย ทำเอาทุกคนเงียบกริบแล้วหันมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“แอลไม่ได้อยากเรียนที่นี่สักหน่อย พรุ่งนี้ก็จะไปถอนตัวและคืนของพวกนี้ให้เขาแล้วล่ะ”
“ไม่ได้! / ไม่ได้!! / ไม่ได้!!!”
ให้ตายสิ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ทุกคนในบ้านมีความเห็นตรงกันยกเว้นฉัน
“พี่ถอนตัวไม่ได้เด็ดขาด! ผมบอกเพื่อนไปหมดแล้วว่าพี่ได้เรียนมหาลัยไฮโซ แถมเด็กห้องสี่ก็ยังรับรักผมเพราะเหตุผลนี้ด้วยอ่ะ”
โอ้...เหตุผลช่างเลอะเทอะและบ้าบอมบ์ากโขว่ามะ
“ใช่ๆ แม่ก็เล่าให้คนในตลาดฟังแล้ว ทุกคนพร้อมใจกันลดค่ากับข้าวให้เราด้วย”
เยี่ยมยอด มหัศจรรย์ มิน่าทำไมวันนี้ได้กินแต่อะไรดีๆอ่ะ
“ส่วนพ่อก็..”
พรึ่บ!
“พอแล้วค่ะ หยุดเลยนะ!”
ฉันอาศัยจังหวะนี้ยกมือห้ามเพราะเดาได้เลยว่ามันคงเป็นอะไรที่ง้องแง้งไม่ต่างกันแหงๆ
“พ่อ! แม่! ไอ้โอห์มแกด้วย! หนูจะใช้ชีวิตที่นั่นยังไง ลองคิดดูสิคะ บ้านเราก็ใช่ว่าจะรวยล้นฟ้า การอยู่ในสังคมแบบนั้นหนูไม่ชินหรอกนะ”
นี่พูดจริงไม่ได้พูดเล่น สังคมจอมปลอมของพวกคนรวยน่ะ น่ากลัวจะตายชัก
“โธ่เอ๊ยเรื่องแค่นี้เอง ก็ปรับตัวสิลูก ใช้ชีวิตไฮโซซะบ้างโก้จะตาย ค่าครองชีพก็มีเยอะแยะ แม่ไม่ขอแบ่งมาใช้หรอกโอเคนะ ลัลล้าลัลลาาา~”
เหอะๆ แล้วไหงภาพตัดไปที่แม่ยืนตั้งหน้าตั้งตาฮัมเพลงรดน้ำต้นไม้ได้ล่ะนั่นน่ะ
“ไม่ค่ะ! ให้ตายยังไงหนูก็ไม่เรียนที่นั่นเด็ดขาด! ไม่รู้ล่ะ ออกไปข้างนอกนะคะ บ๊ายยย~”
ว่าแล้วฉันก็เดินดุ่มๆออกมาโดยไม่สนใจจะฟังเสียงตะโกนไล่หลังของคนในบ้านสักนิดอ่ะ
“อะ..อ้าว เดี๋ยวสิยัยลูกคนนี้ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนเลยนะ!”
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิพี่แอล กลับมาก่อนดิพี่!!!”
“ไอ้แอลโว้ย นี่พ่อยังไม่ได้พูดสักคำเลยนะเนี่ย!!!”
.
.
.
ไม่กี่นาทีต่อมา
ตอนนี้ฉันกำลังเดินอยู่ริมถนนโดยมีปลายทางคือสวนสาธารณะ K ที่นั่นเป็นที่ประจำเวลาที่ฉันหงุดหงิดหรือคิดอะไรไม่ออก
คือไม่ใช่ไม่เข้าใจนะว่าทุกคนในครอบครัวอยากให้ฉันได้ดี การเรียนมหาลัยไฮโซแบบนั้นผลพลอยได้ที่ตามมาหลังเรียนจบมันก็มีเยอะอยู่ ทั้งมีบริษัทรองรับ ฐานเงินเดือนสูง แถมไปที่ไหนใครก็ต้องการ แต่ใครจะไปมองแต่อนาคตได้ล่ะ ฉันน่ะอยู่กับปัจจุบันก่อนไม่ดีกว่าหรอ
เฮ่อ...ถอนหายใจรอบที่ร้อยของวันแล้วมั้งเนี่ย
Destinesia หรอ?
มหาลัยไฮโซหรอ?
ใครจะยอมทิ้งคนในครอบครัวไปใช้ชีวิตสุขสบายกันล่ะ แค่ชื่อมหาลัยก็บอกอยู่แล้ว
Destinesia…
มาจากคำว่า destination + amnesia
‘เวลาที่เราตั้งใจไปสถานที่แห่งหนึ่งแต่พอไปถึงแล้วกลับลืมว่าไปทำไม’
นั่นแหละความหมายของที่นี่
เห็นร่ำลือว่าเป็นสถานที่ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันหมดทุกอย่าง ให้เดามันคงเป็นสวรรค์ชั้นดีเลยสินะใครๆถึงเทิดทูนที่นี่กันนักน่ะ
“ระวัง!!!”
หืม...
เอี๊ยดดดดด
“เฮ้ย! เกือบตายแล้วมั้ยนังหนู เดินอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลยฮะ!!!”
ละ..แล้วไม่รู้อะไรเป็นอะไรอ่ะ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก อยู่ๆก็มีเสียงเบรครถลากยาวดังสนั่นหวั่นไหวหน้าสวนสาธารณะ K พร้อมกับเสียงลุงแก่ๆคนนึงที่เปิดกระจกตะโกนด่าฉัน นี่ดีนะโดนใครสักคนกระชากแขนให้หลบทิศทางของรถลุงแกที่พุ่งมาจนล้มอยู่ข้างฟุตบาทเนี่ย ไม่งั้นกลายเป็นผีเฝ้าสวนสาธารณะไปละ
“จิ๊!”
ฉันนั่งปัดเศษทรายที่เปื้อนเข่าออกก่อนจะนึกขึ้นได้เลยหันขวับไปมองคนข้างๆที่ยังคงจับแขนกันไว้แล้วก้มหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่
ผู้หญิงหรอ... เธอเป็นคนช่วยฉันไว้สินะ
“ขอบคุณนะคะ เอ่อ คะ..คุณ!”
แล้วทันทีที่เธอเงยหน้าก็เล่นเอาตกใจเลยล่ะ พี่สาวคนนี้อีกแล้ว ใบหน้าสวยๆของเธอฉันจำได้ดี คุณไลลาคนนั้นนี่.. จังหวะที่ฉันกำลังตกใจ เธอก็ทำหน้ามุ่ย ขมวดคิ้วเบาๆแล้วบ่นอุบอิบมาทันที
“เด็กบ้า คิดไรอยู่ถึงเดินไม่สนโลกแบบนี้ฮะ”
“ขะ..ขอโทษค่ะ เจ็บตรงไหนมั้ยคะ”
หยึ๋ย... จะซวยมั้ยเนี่ย คุณหนูพันล้านมาช่วยฉันจนล้มก้นจ้ำบ๊ะอยู่ที่พื้นแบบนี้ นี่ฉันจะโดนจับตัดหัวรึเปล่า
“ไม่เป็นไร เธอล่ะ”
“ที่จริงก็ยังงงๆอยู่เลยค่ะว่ารถวิ่งมาจากทางไหนอ่ะ”
ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาหาทิศทางรถ แต่อดคิดไม่ได้เลยแฮะว่านี่ฉันเหม่อขนาดนี้เลยรึไงเนี่ย ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปหาพี่สาวที่นั่งอยู่ช่วยประคองให้เธอลุกขึ้น
แล้วพอตั้งใจมองใกล้ๆ ใบหน้าขาวผ่องเป็นประกายกับผิวพรรณที่ดูมีน้ำมีนวลก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอเป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูล เป็นคนที่มีเสน่ห์มากจนแอบรู้สึกผิดที่ทำให้ผิวสวยๆนั่นถลอกเลยนะเอาจริง
“หึ..ตลกดีนะ เจอเธอทีไรมีเรื่องทุกที นี่มาเดินเล่นหรอ?”
“ค่ะ ฉันชอบมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ มันสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยล่ะ เวลาคิดอะไรไม่ออกหรือไม่สบายใจก็รู้สึกดีขึ้นทุกทีเลย”
“ขนาดนั้นเลย แล้วถ้าวันนึงมันหายไปล่ะ?”
“ก็คงเหมือนขาดที่พึ่งทางใจมั้งคะ”
พอฉันพูดไปแบบนั้น คุณไลลาก็นิ่งไปพักนึงเลยก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามกัน
“ได้จดหมายกับของใช้ทั้งหมดแล้วใช่มั้ย?”
แล้วคำถามของเธอก็ทำฉันคิดเรื่องทุนขึ้นมาได้เลยรีบพยักหน้า
“ค่ะ ตั้งใจจะเอาไปคืนให้อยู่พอดีเลย”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากเรียนที่นั่น?”
โป๊ะเชะ! จังหวะนี้ฉันคือส่ายหน้ารัวๆเลยจ้า ส่ายหน้าที่แปลว่าไม่อยากเรียน ฉันไม่ไหวหรอกนะ สังคมที่หรูหราเกินตัวแบบนั้นน่ะ คนตรงหน้าก็เลิกคิ้วมองมา
“เหตุผลล่ะ?”
“ฉันไม่คู่ควรหรอกค่ะ ดูคุณสิคะ แล้วดูฉันสิ ดูยังไงฉันก็ไม่เหมาะกับที่นั่นหรอก”
“ทั้งที่ทุกอย่างฟรีก็ไม่เอาหรอ?” ใบหน้าสวยๆมองกันงงๆ แต่ไม่ก็คือ...
“ไม่ค่ะ ถือว่าเราหายกันแล้วนะคะ ช่วยบอกสถานที่คืนของให้ด้วยค่ะ”
“เธอนี่แปลกคนนะ”
“หืม?”
“ก็มีแต่คนอยากเข้าเรียนที่นี่จนตัวสั่น แล้วนี่..เธอชื่ออะไร?”
เหอะๆ ท่าทางมองฉันเหมือนตัวประหลาดนี่มันยังไงกันนะ ไม่ว่ากี่ทีก็ไม่ค่อยชินเลยแฮะ สายตาคนรวยที่จ้องกันแบบนี้น่ะ
“ฉัน...แอลค่ะ”
“อืม...รุ่นพี่ไลลา”
“คะ?”
“ต่อไปเรียกฉันว่ารุ่นพี่ไลลา และเธอ..แอล..ถ้าวันเปิดเทอมฉันไม่เจอเธอ ฉันจะสั่งรื้อสวนสาธารณะนี้ซะ!”
“ทำไมล่ะคะ!!”
ได้ฟังแบบนั้นเล่นเอาฉันตกใจจนโพล่งออกไปเลยล่ะ แล้วรุ่นพี่ไลลาคนนี้ก็กระตุกยิ้มเหมือนมีเลศนัยบางอย่าง
“ก็เพราะว่าดูพระอาทิตย์ตกบนดาดฟ้า Destinesia มันสวยกว่าที่นี่ตั้งเยอะ และเธอควรไปดูที่นั่นมากกว่า”
.
.
.
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา..
ฉันวุ่นๆกับงานพิเศษรับจ้างส่งหนังสือพิมพ์กับแจกใบปลิวช่วงวันหยุดจนลืมนึกถึงเรื่อง Destinesia ไปพักใหญ่ ลืมบอกไปว่าบ้านฉันเปิดร้านขายบะหมี่เล็กๆ ในที่ดินผืนน้อยของตัวเอง ซึ่งที่ร้านก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมาก แค่โอห์มน้องชายฉันก็ช่วยพ่อแม่ได้สบายอยู่แล้ว ฉันเลยหารายได้เสริมเพื่อแบ่งเบาภาระอีกทาง
และแน่นอนว่ายังมีอีกเรื่องที่สำคัญ คือฉันยังไม่ได้เอาของทั้งหมดไปคืนรุ่นพี่ไลลา เพราะหลังจากวันนั้นก็ไม่เคยเจอเธออีกเลย แถมเธอก็ไม่ได้ให้ที่อยู่เอาไว้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีความกดดันบางอย่างที่แวะเวียนมาแทนเธออยู่ตลอด คือจดหมายที่ออกแนวข่มขู่เรื่องการรื้อสวนสาธารณะ K ทิ้ง ถึงจดหมายไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ส่งตามเคย แต่มันก็เดาได้เลยว่าเป็นรุ่นพี่ไลลา
“แอล พรุ่งนี้ก็จะเปิดเทอมแล้วใช่ไหมลูก แม่จะได้เห็นลูกใส่ชุดนักศึกษาของ Destinesia สักที ตื่นตันใจจริงจริ๊ง ลูกแม่ต้องสวยมากแน่ๆ”
เหอะๆ
ฉันได้แต่ยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกผิดเบาๆ ก็ไม่ได้อยากจะดับฝันแม่หรอกนะ แต่ไม่รู้จะบอกแม่ยังไงดี...
เสียใจด้วยค่ะแม่ หนูสมัครเรียนที่มหาลัย Vania ไปแล้ว และแน่นอนว่าพรุ่งนี้หนูจะใส่ชุดนักศึกษาของ Vania ค่ะ
ได้อยู่นะ หรือจะบีบน้ำตา...
แม่คะอย่าให้แอลไปเรียนที่นั่นเลย แอลกราบล่ะคะ ฮือออ กระซิกๆ
ไม่เอาอ่ะ น้ำเน่าไปป่ะ
เฮ่อ...ถ้างั้นไม่บอกละกันถึงตอนนั้นแม่คงเข้าใจอ่ะ
ฉัน...สาวน้อยดาวเสาร์กับเรื่องวุ่นๆของ "เทพบุตรดาวพุธ" ผู้ชายถืออาวุธที่แม่หมอทำนายว่าเป็น "เนื้อคู่" ในใจก็คิดมาตลอดเลยนะว่าต้องเป็นคนในเครื่องแบบแน่ๆ แต่แล้วอยู่ๆดันหลงเข้าไปในดงมาเฟียได้ไงไม่รู้...
เพราะมีหน้าที่สำคัญต้องทำ แต่ก็โดนรุ่นน้องจอมป่วนอย่างเลโอ Nightshade มาวุ่นวาย ตามจีบไม่เว้นแต่ละวัน "ทฤษฎี 21 วัน" เลยถูกใช้เป็นไม้ตายเด็ดของฉัน คิดว่ามันจะกันคนกะล่อนอย่างหมอนี่ให้พ้นทางได้มั้ย?!
“เป็นอย่างที่เคยเป็นมันดีแล้ว” ประโยคปฎิเสธสั้นๆ ดังก้องในหัวฉันตลอดเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายที่บินกลับมาตามคำสั่งที่เจ้าตัวน่าจะลืมมันไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนึง คนที่เคยปฏิเสธ..จะเป็นฝ่ายมาขอคบกับฉันซะเอง!
ใช้ชีวิตสงบสุขมาได้ตั้งนาน แต่กลับต้องมาอึมครึมเพราะดันไปมีเอี่ยวกับสมาชิกแก๊งค์เทพเจ้าประจำมหาลัย แถมไอ้บ้านั่นยังพ่วงตำแหน่ง "ว่าที่ผู้นำแก๊งค์มาเฟีย" ที่กำลังโดนตามล่าด้วยไง เหอะๆ แบบนี้ฉันจะมีชีวิตรอดต่อไปมั้ยให้ทาย?
แอบหื่นไปมั้ยถ้าจะบอกว่าวันเกิดปีนี้ ของขวัญอย่างเดียวที่ฉันอยากได้คือจูบที่แสนเต็มใจจากเขา... ♥ รุ่นพี่รันเวย์ของฉัน ♥ แล้วใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะจัดให้ตามนั้น แถมยังไม่ใช่แค่จูบ! ฉันได้รุ่นพี่ตัวเป็นๆเข้ามาอยู่ในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นมันบ้ามากที่จะบอกว่าอยู่ๆฉันก็ได้เป็นผู้หญิงของเขาด้วย!
“ที่พูดนี่คิดรึยัง?!” พอพายุ Nightshade พูดมาแบบนั้น ฉันเลยพยักหน้าออกไปช้าๆ แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจในคำถามนั้นเหมือนกัน “คิดแล้ว...ฉันว่าแย่กว่าการเป็นผู้หญิงของนาย คือเคยรักนายแต่จำมันไม่ได้มากกว่า”
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ