แนวยูริสายโหด เลขาสาวหมวยกับบอสสาวหน้าอินเตอร์ บอสสาวทำทุกอย่างเพื่อจะให้ได้นางเอกมาครอบครอง
แนวยูริสายโหด เลขาสาวหมวยกับบอสสาวหน้าอินเตอร์ บอสสาวทำทุกอย่างเพื่อจะให้ได้นางเอกมาครอบครอง
พ่ายรักบอสสาวร้ายมารยา
ตอน ตบเจ้าของบริษัท
ยามเช้าตรู่ในเมืองหลวงที่ผู้คนพลุกพล่าน หนุ่มสาววัยทำงานกำลังเดินและวิ่งอยู่บนฟุตบาทอย่างรีบร้อน
ท่ามกลางหลายพันชีวิตที่กำลังดิ้นรน สาวหน้าใสคนหนึ่งกำลังยืนนิ่ง เงยมองท้องฟ้าและยิ้มอย่างมีความหวัง เธอสวมแว่นสายตาอันใหญ่ดูน่ารักแบบอาหมวย
"วันนี้หนูจะสัมภาษณ์งาน ขอให้ผ่านด้วยเถิด"
ซ่า!
หมวยอฐิษฐานจบฝนก็ลงเม็ดพลันใด ผู้คนต่างแตกกระเจิงหาที่หลบ สาววัยยี่สิบสองกลับเดินยิ้มเข้ามาหน้าตึกใหญ่ ที่ทำการบริษัทอสังหาแนวหน้าของประเทศ
เสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวและกระโปรงแหวกข้างสีดำเปียกชุ่ม เรือนร่างเพรียวขาวและส่วนสูง168ซม.มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูกระจกทางเข้าตึกสูงระฟ้า
"มาสัมภาษณ์งานค่ะ" หมวยเอ่ยและยื่นใบนัดจากฝ่ายบุคคลให้หนุ่มร่างใหญ่
"ตำแหน่งอะไรครับ" รปภ.ที่ยืนคุมประตูถาม
"เลขานุการผู้บริหารค่ะ" หมวยตอบและจับแว่นสายตากระชับให้เข้าที่
"เชิญครับ เอ่อ ผมแนะนำให้เช็ดเสื้อผ้าและจัดผมให้เข้าที่ก่อนนะครับ'
"ห๊ะ ยังไม่ดีหรือคะ" หมวยถามและยืนเขย่งเท้าส่องเงาตัวเองในประตูกระจก
"คือคุณเอสเทอร์ค่อนข้างเนี๊ยบเลยน่ะครับ" หนุ่มร่างใหญ่กำยำตอบ
"อ้อค่ะ เดี๋ยวไปจัดการข้างในนะคะ" หมวยเอ่ยแล้วก้มลอดแขนรปภ.วิ่งเข้ามาในตึก เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็เกือบจะถึงเวลานัดหวุดหวิด เธอรีบวิ่งมากลิฟท์แล้วเข้ามายืนส่องกระจกในลิฟท์ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับผมและเสื้อไปพลางๆจนลืมกดชั้นที่จะขึ้น
"ตาย แป้งหลุด เห็นรอยช้ำเลย" หมวยเอ่ยขณะเอียงใบหน้ารูปไข่หน้ากระจก เห็นรอยแผลฟกช้ำที่แก้มจางๆ เป็นรอยที่เธอโดนแฟนตบตอนทะเลาะกันเมื่อวันก่อน
มือน้อยล้วงแป้งพับในกระเป๋าสะพายข้างออกมา
จู่ๆประตูลิฟท์ก็เปิดออก อุ๊ย! หมวยตกใจหมุนตัวมากดชั้น99
"ชั้นไหนคะ" เธอถามสาวสวยในชุดสูทกระโปรงหนังแหวกข้างสีดำ พอเจ้าของเรือนร่างที่สูงราวๆ170ไม่ตอบเธอก็หันมามองและอ้าปากค้าง
ผู้หญิงที่เธอถามกำลังยืนกอดอก ใบหน้าสวยคมอินเตอร์แบบสาวลูกครึ่ง อายุอานามก็ราวๆยี่สิบต้นๆ
ผมยาวสลวยสีน้ำตาลแดง ผิวพรรณเนียนขาว สัดส่วนเพรียวสง่า หาตำหนิใดไม่เจอเลย
"คุณ จะไปชั้นไหนคะ" หมวยถามย้ำ.
"มาสัมภาษณ์งานเหรอ" สาวสวยถามกลับ
"ค่ะ"
"งั้นไปชั้นเดียวกันกับเธอแหละ" สาวสวยตอบโดยไม่หันมอง
ชิ! หมวยเบ้ปากก่อนจะหันข้างมาส่องกระจกแล้วเติมแป้งปิดรอยช้ำที่แก้มขวา จู่ๆสาวสวยก็แอบมองด้วยความสงสัย
หล่อนเพิ่งสังเกตุเห็นว่าเด็กสาวคนข้างๆเป็นสาวไทยเชื้อสายจีนที่ขาวสวยหน้าใสวัยพอๆกัน
"หืม แก้มไปโดนอะไรมา" สาวสวยเอ่ยแล้วเดินเข้าโอบเอว แขนอีกข้างพาดบ่าหมวยและเอามือยกจับแก้มขวาอันนิ่มนุ่มในสภาพมองกระจกไปพร้อมๆกัน
"ไม่มีอะไรค่ะ" หมวยตอบและปัดมืออันเรียวสวยออกจากแก้มตัวเอง
อุ๊ย! จู่ๆเธอกลับโดนหล่อนจับหมุนตัวไปยืนมองหน้าแบบหายใจรดกัน
มือข้างขวาของหล่อนยกจับคางหมวยให้เงยขึ้น นิ้วโป้งลูบริมฝีปากสีชมพูอันนุ่มนิ่มอิ่มเอิบของหมวยแบบปาดจากขวามาซ้าย
หลังมืออีกข้างลูบแก้มขวาที่เป็นรอยฟกช้ำบางๆ
"ความสวยของเธอไม่ควรต้องโดนใครทำร้ายเลยนะ"
"อย่ารักคนอื่นจนโง่"
สาวสวยพ่นลมปากใส่หน้าหมวย ขณะที่เธอยืนตัวแข็งทื่อ
หล่อนค่อยๆก้มลงมาช้าๆจนปลายจมูกโด่งพุ่งจิ้มจมูกน้อยของหมวยจนบู้บี้สีแดง
จุ๊บ! ริมฝีปากสีแดงอันเรียวบางบดเม้มริมฝีปากชมพูอันนุ่มนิ่มของหมวยอย่างโหยหา
นี่คุณ! หมวยเพิ่งได้สติ เธอผงะถอยแล้วง้างแขนขึ้นสูง ฟาดมือน้อยลงบนใบหน้าอันคมสวยจนสะบัดหัน
เพี๊ยะ!
ฮิ! ๆ สาวสวยกลับแสยะยิ้มโดยไม่มีเสียงร้องซักแอะ
ติ๊ง! ลิฟท์เปิดตรงหน้าชั้น99พอดิบพอดี
แก๊ก! ๆ ๆ หมวยรีบวิ่งออกมาด้วยอาการสับสน ทั้งโมโหและอับอาย แววตาของผู้หญิงคนเมื่อคู่ช่างน่ากลัว เหมือนกับว่าหล่อนสามารถรู้ความลับอะไรก็ตามของเราได้ทั้งหมด
แฮ่ก! ๆ ๆ สาวแว่นมายืนหอบหายใจอยู่หน้าห้องผู้บริหาร เลขาหน้าห้องเห็นเข้าก็ลุกเดินดุ่มๆมาหาด้วยความร้อนรน
"คุณหมวยมาแล้วเหรอคะ รีบเข้าไปรอข้างในเลยค่ะ"
"ค่ะ" หมวยตอบเลขาสาวแล้วเดินเข้ามายืนในห้องผู้บริหาร เธออ้าปากค้างเมื่อเห็นห้องทำงานส่วนตัวที่กว้างขวาง
เดินไปรอบๆห้องเห็นโต๊ะทำงาน โต๊ะรับแขก ทีวีจอใหญ่และมีแม้กระทั่งเตียง วิวข้างนอกมองเห็นในมุมมอง180องศา เห็นแม่น้ำ ท่าเรือ และเมืองแทบทั้งหมด
แก๊ก! ๆ ๆ สาวสวยในชุดสูทและกระโปรงหนังแหวกข้างเพิ่ฝเดินตามเข้ามาด้วยรองเท้าส้นสูง
โครม! ประตูห้องทำงานปิดลงด้วยเสียงดังจนสาวแว่นหันกลับมา
"คุณ" หมวยอ้ำอึ้งขณะมองหน้าสาวสวยที่แก้มแดงเป็นรอยมือ
"นั่งสิ" หล่อนเอ่ยและผายมือไปทางโซฟารับแขกหน้าทีวีจอยักษ์
"คุณคือ"
"คุณเอสเทอร์เหรอคะ" หมวยเอ่ย
"ใช่ นั่งสิ" บอสสาวตอบ
"เมื่อกี๊หนูขอโทษนะคะ คือหนูขอสละสิทธิ์สัมภาษณ์ค่ะ" หมวยยกมือไหว้แล้ววิ่งผ่านหน้าบอสสาวไปดื้อๆ
ทว่าพอมาจับประตูห้องกลับเปิดไม่ออก มันแน่นและหนักอึ้งอย่างผิดปกติ
"มันล็อคจากข้างนอกน่ะ เธอออกไปไหนไม่ได้หรอก"
"จนกว่าฉันจะสัมภาษณ์เสร็จ"
คุณเอสเทอร์เอ่ยขณะลงมานั่งไขว่ห้างรอบนโซฟาหรู
นิยายผู้ใหญ่ แนวฮาเร็มชาย นางเอกเป็นคุณหนูวัย18ปี เธอชอบยั่วคนสวน คนขับรถ ใจแตก มั่วสวาท nc 18+
แนวโคแก่กินหญ้าอ่อน สาวใหญ่กับหนุ่มๆมหาลัย nc pwp 3p 18+ เรื่องราวของป้าแม่บ้านวัยสี่สิบ หล่อนเป็นแม่บ้านในมหาลัยที่ต้องวนไปทำความสะอาดในตึกต่างๆแต่ละคณะทุกสัปดาห์ ไม่รู้เพราะความเส่นห์แรงหรือเคยเป็นนักแสดงนางร้ายจอมมารยามาก่อน ป้าแม่บ้านสามารถตกนักศึกษาชายที่หล่อๆมากินตับเกือบครบทุกคณะ
ในยุคก่อนสงครามโลก ยังมีการค้าทาส ในดินแดนแถบเอเชียที่ไม่ระบุชื่อและสถานที่ตั้ง มีปราสาทแห่งหนึ่งตั้งตะหง่านอยู่ริมหน้าผาบนเขาสูง เจ้าปราสาทคือสามีนางเอก เขาเป็นขุนนางชั้นสูง เขาชอบซื้อทาสชายหลากเชื้อชาติมาเลี้ยง ใช้งานพวกเขาหนัก และมักจะให้นางเอกมีอะไรกับคนแปลกหน้าพวกนั้นเพื่อให้เขานั่งดูอย่างมีอารมณ์
นางเอกแต่งงานกับสามีแก่ เขาเป็นเสี่ยเจ้าของร้านทองที่รวยมาก ทว่านกเขากลับไม่ขันและอ่อนปวกเปียก นานๆจะมีเซ็กกับเมียรัก เดือนละครั้งสองครั้ง นางเอกทนความอยากไม่ไหวแต่ก็ไม่อยากมีชู้ ไม่อยากนอกใจสามี เธอจึงแอบมีอะไรกับเจ้าแสนรักที่เลี้ยงไว้ในบ้าน
โกนัมจุนคือคนดีที่ตายแล้วได้เกิดเป็นยมฑูต มีหน้าที่สังหารคนเลวที่ถึงคราวต้องตายเพื่อเอาวิญญาณมันไปลงโทษในนรก และรับวิญญาณคนดีที่เสียชีวิตเพื่อส่งขึ้นสวรรค์ เขามีพี่เลี้ยงยมฑูตรุ่นพี่ชื่อเด็กหญิงจีวอน เธอเป็นเด็กแปดขวบมาร้อยปีแล้วและไม่โตขึ้นอีกเลย
เรื่องสั้นแนวมีชู้ fwb ลับๆ นอกใจ แอบแซ่บ 3p 4p หลายบุคคลหลากเหตุการณ์ จบในตอนสองตอน
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
ครอบครัวเสิ่นเลี้ยงดูเซี่ยซางหนิงเป็นเวลา 20 ปี และเธอเองก็ถูกเอาเปรียบมาเป็นเวลา 20 ปีเช่นกัน วันหนึ่ง พวกเขาตามหาลูกสาวตัวจริงพบ และเซี่ยซางหนิงก็ถูกไล่ออกจากตระกูลเสิ่น ได้ยินมาว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอกำลังเผชิญกับความยากลำบากอย่างหนัก แต่ความเป็นจริง พ่อแม่ทางสายเลือดของเธอเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองไห่ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดที่ตระกูลเสิ่นไม่สามารถเอื้อมถึงได้ ตระกูลเสิ่นที่คอยดูว่าเซี่ยซางหนิงจะต้องตกอับอย่างน่าสมเพช แต่กลับต้องตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวตนของเซี่ยซางหนิง ผู้มีอิทธิพลในการเงินระดับโลก วิศวกรระดับแนวหน้า นักแข่งรถอันดับหนึ่งของโลก... เธอยังมีความสามารถที่ซ่อนอยู่อีกกี่อย่างกันแน่ คู่หมั้นยกเลิกการหมั้นกับเซี่ยซางหนิง อย่างไรก็ตาม เมื่อเซี่ยซางหนิงไปออกเดทกับพี่ชายฝาแฝดของเขา เขากลับปรากฏตัวขึ้นและสารภาพรักกับเธอ
เจียอี หญิงสาวที่เติบโตมาในชนบทกับคุณตาคุณยาย เธอมีช่องในโซเซียลถ่ายทอดชีวิตชนบท การทำไร่ ทำนา ทำสวน ทำอาหาร จนมีผู้ติดตามเกือบล้านคน แต่แล้วในหนึ่งที่เธอถ่ายทำตอนขึ้นเขาหาของป่า เธอพลัดตกจากเขาจนวิญญาณของเธอทะลุมิติไปในยุคโบราณ
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด