กฎข้อที่หนึ่งของการเป็นเด็กคุณดิน ... ‘ห้ามรัก’
กฎข้อที่หนึ่งของการเป็นเด็กคุณดิน ... ‘ห้ามรัก’
ลมหายใจถูกพรูออกครั้งแล้วครั้งเล่ายามนึกถึงเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ล้อกันเล่นแน่ๆ...
เธอน่ะหรือจะตั้งครรภ์ ผลตรวจจากแล็บของโรงพยาบาลประจำจังหวัดจะต้องคลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน บ้าจริง โรงพยาบาลตั้งใหญ่ ผิดพลาดขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
เสียงจอแจของผู้คนที่อยู่ภายในอาคาร เสียงประกาศจากเจ้าพนักงาน เสียงล้อเลื่อนจากวีลแชร์ และอีกสารพัดเสียงที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ กลับไม่ดังเข้าโสตประสาทของ ‘ว่าที่คุณแม่’ เมื่อประสาทการรับรู้ถูกปิดทุกทาง แม้แต่สายตายังพร่ามัวจนมองอะไรได้ไม่ชัดเจน
“คุณมลุลี วรสุวรรณ เชิญพบแพทย์ค่ะ”
ไร้การเคลื่อนไหวของเจ้าของชื่อ
เจ้าพนักงานย้ำ “คุณมลุลี วรสุสรรณ ถึงคิวแล้วค่ะ!”
ร่างระหงสะดุ้งโหยง รีบยันปลายเท้าลงบนพื้นแล้วหยัดยืนด้วยความเร่งรีบ ปากก็ส่งเสียงอ้อมแอ้ม “ค่ะๆ” แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องที่อีกฝ่ายผายมือให้
มลุลีมาโรงพยาบาลตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากอดรนทนรับมือกับความผิดปกติของร่างกายตัวเองไม่ไหว ประจำเดือนเลื่อนจากเดิม จนตอนนี้ก็ยังไม่มา ผนวกกับปวดท้องโดยไร้สาเหตุ ทานยาแล้วก็ยังไม่ทุเลา เมื่อมาถึงก็ได้รับการตรวจจากคุณหมอ ผลของมันทำให้จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องก้าวเข้าสู่กระบวนการฝากครรภ์อย่างช่วยไม่ได้
แม่และเด็ก...บนสมุดสีชมพูทำหัวใจดวงน้อยสะดุดกึก
มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ
แต่มันเป็นไปแล้ว ผลตรวจบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้ราวๆ สามสัปดาห์ สมุดที่ถืออยู่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าตนกำลังจะได้เป็นแม่คน ที่ถ้าหากถามถึงความพร้อม...ไม่มีเลย ไม่มีด้านไหนที่มลุลีจะพร้อมมีลูก
ด้านฐานะอาจจะไม่ใช่ยาจก แต่ลำพังตัวเธอก็ไม่ได้มีเงินเก็บมากพอที่จะเลี้ยงเด็กหนึ่งคน เธอเพิ่งทำงานจริงๆ จังๆ ได้ไม่นาน ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าตั้งตัวได้ ฉะนั้นแล้วอย่างไรก็ไม่นับว่าพร้อม
ด้านร่างกายเธอคือคนอายุยี่สิบห้า สำหรับคนอื่นวัยนี้พร้อมมีลูกแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่มีความพร้อมใดๆ อย่างมลุลี นี่มันค่อนข้างเร็วเกินไป ส่วนด้านสภาพจิตใจนับว่าสาหัส เธอไม่อยากท้อง ไม่อยากมีพันธะมาคล้องคอ
เพราะ ‘เขา’ ก็ไม่อยากมีเหมือนกัน...
สมุดฝากครรภ์ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย ก่อนร่างระหงจะค่อยๆ ก้าวเดินออกจากตัวอาคารเพื่อเดินทางกลับที่พัก
จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนเผลอชนเข้ากับเด็กตัวเล็กคนหนึ่งที่วิ่งโผล่พรวดมา เป็นเหตุให้ของเล่นในมือเด็กน้อยตกลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น
“ขอโทษนะคะ” เธอรีบขอโทษขอโพย แล้วจึงยอบกายลงไปที่พื้น
เด็กคนนั้นก็ไม่รอช้า รีบทรุดตัวลงข้างๆ เพื่อช่วยเก็บของของตน เด็กเล็กยิ้มแป้น “ขอโทษครับพี่สาว โก๋วิ่งไวเอง”
ในขณะนั้น หางตาก็เห็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการยืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ ในมือมีตุ๊กตาและของเล่นสำหรับเด็กเหมือนชิ้นที่ตกพื้น
“โก๋วิ่งชนพี่คนสวยเหรอ”
พี่คนสวยระบายยิ้มให้เด็กแฝด ลุกขึ้นยืนพลางส่งของเล่นคืนเจ้าของ “แค่อุบัติเหตุค่ะ ไม่เป็นไร ยังไงเด็กๆ ก็เดินกันดีๆ นะคะ”
สองเสียงสอดประสานเพื่อรับคำอย่างหนักแน่น มลุลีจึงเดินออกจากบริเวณนี้เพื่อเดินทางกลับ ทว่าก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดอาการขาตายขึ้นมาดื้อๆ เมื่อสายตาสบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้ามาทางที่ตนยืนอยู่
อาจไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว พวกเขาเพียงแค่เดินมาที่เด็กแฝดทั้งสอง
มลุลีทราบดีว่านั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตน แต่สมองก็ไม่สามารถสั่งการให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้ เพราะคล้ายจะโดนสะกดด้วยสายตาคู่คมของ ‘ใครบางคน’ ที่อยู่ในกลุ่มนั้น
สองสายตาสบเข้าหากันอย่างมิอาจหลบเลี่ยงไปได้ เข็มนาฬิกาถูกหยุด โลกทั้งใบของมลุลีพลันนิ่งสนิท หัวใจบีบรัดจนก่อเกิดอาการเจ็บแปลบในทรวง
กลีบปากล่างถูกขบเม้มจนเป็นเส้นตรง ทันทีที่เรียกสติกลับมาได้เรียวขาสวยก็ก้าวออกไปจากบริเวณนี้ทันที โดยมีสายตาแห่งความสงสัยใคร่รู้เหลียวมองตาม จนกระทั่งแผ่นหลังบอบบางพ้นไปจากครรลองสายตา
เสียงหวานดังขึ้น “ปาเก๋า ปาโก๋ แม่บอกว่าอย่าวิ่งไงคะ” แม้จะเอ็ดลูก แต่คุณแม่ก็ยังไม่แสดงท่าทีโมโหร้าย ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น “เดี๋ยวล้มก็เจ็บตัวอีก”
ว่าที่คุณพ่อลูกสองมองดูหลานรักด้วยความเอ็นดู เขากระชับอ้อมกอดลูกสาววัยสิบเดือนแล้วพูดแหย่น้องสาว “ก็ซนเหมือนแม่มัน ไม่กล้าให้น้องอีฟเล่นด้วยหรอกแบบนี้”
ขณะก้าวเดินไปยังลิฟต์ วรัสยาอดจะเบ้ปากใส่ญาติผู้พี่ไม่ได้ “ยุอัสให้ทำหมันเถอะมั้ง ไม่ต้องมีถึงสี่หรอก”
คนโดนพาดพิงระบายยิ้มให้เพื่อนที่พ่วงตำแหน่งน้องสาวสามี เธอไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่รู้สึกว่าความปรารถนาของปราชญาธิปที่อยากมีลูกสี่คนนั้นมันจะเกิดขึ้นจริง อย่างตอนนี้ที่ลูกคนแรกเพิ่งอายุได้สิบเดือน พ่อเจ้าประคุณเขาก็ส่งคนที่สองมาอยู่ในท้องเธอเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้ว
ทำให้นอกจากรติรสที่อายุครรภ์สี่เดือน ก็มีเธอที่ต้องใส่ชุดคลุมท้อง ซึ่งหากพัณณ์พิศอยู่ด้วยในตอนนี้ก็จะมีคนท้องถึงสาม
ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับน้องสาวเพราะเขารู้ดีว่าอย่างไรตนเองก็ได้มีลูกสี่คนสมใจหวังอย่างแน่นอน ก็ขยันออกปานนี้
ระหว่างอยู่ในลิฟต์ คุณแม่ลูกสามก็เอ่ยขึ้นอีก “แต่ลูกยายก้านน่าห่วงอยู่นะ ผู้หญิงด้วย เลือดแม่คงแรงน่าดู”
ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้อย่างดี
ที่ทุกคนต้องพากันมาโรงพยาบาลก็เพราะเหตุนี้ กุสุมาลย์คลอดลูกสาวคนแรก คนสนิทจึงพากันมาเยี่ยมกันให้ควั่ก รวมถึงทางกลุ่มแก๊งสะใภ้และครอบครัว ที่พอรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นกลุ่มคนขนาดย่อมเลยทีเดียว ดีที่ธนบดีติดงานของพรรค ผนวกกับพัณณ์พิศมีอาการแพ้ท้องอ่อนๆ จึงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะเข้าลิฟต์ทีเดียวครบทุกคนได้หรือไม่ก็มิอาจล่วงรู้
ครอบครัวของวรัสยาก็ห้าคนเข้าไปแล้ว ด้านพ่อคนที่สองของหนุ่มๆ อีกสี่ชีวิต ที่ลูกคนหนึ่งผู้เป็นพ่ออุ้มไม่ยอมปล่อย ใครจะมาวอแวยายหนูอีฟที่เป็นดั่งเจ้าหญิงของเขาไม่ได้เลย อีกชีวิตอยู่ในท้องของอัสมา ไหนยังครอบครัวของอรัณย์อีกสาม แต่สามที่ว่านั่น หนึ่งในนั้นก็อยู่ในท้องของภรรยาคนสวยของเจ้าตัว
คนที่มีแค่ตัวคนเดียวเห็นจะมีแต่เขา...ดิฐากร
อัสมายิ้มกว้างกว่าเก่า “คุณเฉื่อยเจองานหินเลยนะ เหมือนมีน้องก้านเพิ่มมาอีกคน จะรับมือยังไงไหว”
ขณะที่ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ เสียงทุ้มนุ่มหูก็ดังขึ้น “แต่ถ้ามีแบบอัสอีกคน คุณโปรดรับมือไหวนะ”
แก้มนวลซับสี รีบเดินลิ่วๆ ออกจากลิฟต์ โดยมีคุณสามีนักหยอดเดินอุ้มลูกตามไปติดๆ
จีรกิตติ์และวรัสยาก็พาลูกๆ เดินไปยังห้องพักฟื้นของลูกสาวผอ. โรงพยาบาล หัวเราะคิกคักอะไรกันไปเรื่อยตามประสาครอบครัวอารมณ์ดี
อรัณย์ก็ไม่น้อยหน้า เดินกุมมือรติรสพลางกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่างด้วยท่าทีรักใคร่
เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องพัก ก็พบกับพี่ใหญ่เช่นชยางกูรที่นั่งอยู่ข้างเตียง โดยที่บนเตียงนั้นเป็นคุณแม่ป้ายแดงและลูกสาวคนแรกของพวกเขา
ภายในห้องพักฟื้นไม่ได้มีเพียงคนมาใหม่เท่านั้น แต่ผอ. โรงพยาบาลซึ่งได้เป็นคุณตาของหลานคนที่สอง ต่อจากหลานคนแรกที่เกิดจากกินรีก็อยู่ที่นี่ รวมไปถึงคุณนายขวัญเรือนและลูกชายคนเล็กที่รีบมารับขวัญหลานสาว
เด็กแฝดและน้องสาวของพวกเขารีบนำของเล่นที่ตั้งใจซื้อมาฝากน้องไปให้ในทันทีที่มาถึง ผู้คนต่างพูดคุยและแสดงความยินดีกับการมีอยู่ของ ‘ยายหนูกี้’ ลูกสาวคนแรกของช่างก้านกับพ่อเฉื่อย
วรัสยาเป็นคนขี้เล่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นคุณพ่อมือใหม่เหมือนจะมีน้ำตาคลอหน่วยจึงอดแหย่ไม่ได้ “พี่เฉื่อยเหมือนจะร้องเลย ไม่รู้ว่าดีใจที่ได้ลูกสาวหรือกำลังร้องเพราะกลัวรับมือกับยายก้านจูเนียร์ไม่ได้กันแน่”
แม้แต่นายแพทย์เรวัชกับคุณนายขวัญเรือนยังกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ได้ เพราะพวกท่านเห็นพ้องต้องกันกับวรัสยาว่าหลานสาวคนนี้จะต้องมีเชื้อแม่แกแรงแน่ๆ คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย
ตำรวจหนุ่มเสริม “ถ้าเฮียเป็นคนเลี้ยงก็คงเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ คนหนึ่งแหละครับพี่กาด แต่ถ้าเจ๊เลี้ยง”
คุณแม่ป้ายแดงปั้นหน้างอใส่น้องชาย “หา! เจ๊เลี้ยงแล้วมันจะทำไมล่ะผู้หมวด”
เป็นคุณนายขวัญเรือนที่โพล่งขึ้น “ยังจะถาม เอาเป็นว่าให้เฉื่อยเป็นคนเลี้ยงลูกน่ะดีแล้ว จะได้เป็นผู้เป็นคน ถ้าลูกเลี้ยงเองม้ากลัวหลานม้าเป็นลิงเป็นค่างมาก”
“ป๊า ม้าว่าหนู”
บิดายิ้มกริ่ม กล่าวอย่างเป็นกลาง “ที่ม้าพูดมาก็มีเหตุผล”
ชยางกูรที่เห็นภรรยาเริ่มหน้างอก็ยกมือไปลูบศีรษะอย่างนึกเอ็นดู “ไม่เป็นไร ลูกเหมือนก้านก็ไม่เป็นไร”
เจ้าหล่อนถึงได้ยิ้มออก
“แต่อย่าเหมือนมากก็พอ”
เสียงหัวเราะเข้ามาครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่
บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ มองไปทางไหนก็เจอแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยิ่งในสายตาของผู้จัดการร่ำเมรัยด้วยแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่ ที่ได้มองดูพวกมาดเยอะที่ครั้งหนึ่งต่างก็ส่ายหน้าให้กับคำว่า ‘เมีย’ ทว่าบัดนี้ทุกคนดันมีสาวสวยอยู่ข้างกายพร้อมกับลูกน้อยที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตคู่
แม้แต่ไอ้เพื่อนตัวดีที่เอาแต่พล่ามว่ารติรสเป็นน้องสาวเพื่อน ตอนนี้ก็ติดอยู่ในโลกสีชมพูจนบางทีอดจะนึกหมั่นไส้ไม่ได้
เพราะคนเยอะเกิน ไหนยังมีแต่คนมีคู่ ดิฐากรที่รับขวัญหลานเสร็จเรียบร้อยจึงเลือกที่จะปลีกตัวออกมาด้านนอก
ขายาวก้าวไปนั่งพักยังบริเวณสวนหย่อมที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ สายลมพัดปะทะผิวกายพอให้รู้สึกดี แต่ก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะพัดเพื่อพาปมที่หัวคิ้วให้คลายออก
ฝ่ามือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขายาวเพื่อหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แล้วจึงแตะไปที่แอปพลิเคชันสีเขียวเพื่อทำการสอบถามอะไรบางอย่าง ด้วยปฏิกิริยาของเธอยามเจอหน้าเขานั้นมันผิดปกตินัก
คุณดิน: เป็นอะไรรึ ทำไมต้องมาโรงพยาบาล
รออยู่เกือบสิบนาทีกว่าข้อความของเขาจะถูกอ่าน
มิ้ม: เปล่าค่ะ สบายดี
คุณดิน: คนสบายดีที่ไหนจะมาโรงพยาบาล
มิ้ม: ปวดหัสค่ะ
ไม่ว่าจะตอนไหน มลุลีก็นิ้วเบียดไม่เปลี่ยน
คุณดิน: มากไหม
เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ คิ้วเข้มก็มุ่นหนักกว่าเก่า แค่พิมพ์ไม่กี่คำให้เขาคลายกังวลมันยากนักหรือ
คุณดิน: ไม่เห็นบอกเลยว่าไม่ค่อยสบาย ถ้าบอกจะได้พามา
คุณดิน: แล้วกลับยังไง ขี่รถไหวเหรอ ฉันเสร็จธุระแล้วล่ะถ้าเธอจะกลับพร้อมกันก็ได้
มิ้ม: ไม่เป็นไรค่ะ
คุณดิน: อย่ารั้น เกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำยังไง
มิ้ม: เปล่ารั้นค่ะ
เธอมันโคตรหัวรั้นเลยต่างหากยายมิ้ม!
คุณดิน: เพราะนิสัยแบบนี้ไง ฉันถึงไม่ชอบเธอ
มิ้ม: ไม่ต้องย้ำค่ะ รู้แล้วว่าไม่รัก
คุณดิน: รู้ก็ดี
มิ้ม: แต่มิ้มก็ไม่ได้รักผู้จัดการเหมือนกัน
ทีอย่างนี้แล้วพิมพ์ไม่ผิดสักคำ
ว่าแต่ว่าอวดดีเสียจริงนะ แล้วหมาตัวไหนมันเพิ่ง ‘บอกรัก’ เขากัน ใช่หมาที่ชื่อ มลุลี หรือเปล่า?
ปากดี
เห่าเก่ง
ใครจะชอบ...
⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
นิยายชุด ‘เธอ...’ ที่เกี่ยวข้องกัน
➊ เธอ...ที่ไม่น่าไปหลงรัก (จัด X ผักกาด)
↬Status :: จบแล้ว
➋ เธอ...ที่ไม่โปรดปราน (โปรด X อัสมา)
↬Status :: จบแล้ว
➌ เธอ...ที่ไม่เข้าตา (เฉื่อย X ก้าน)
↬Status :: จบแล้ว
➍ เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก (อาร์ม X ตี้)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➎ เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา (ดิน X มิ้ม)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➏ เธอ...ที่ต้องสงสัยว่าจะไม่ถูกรัก (ใบ X เอื้อ)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
'เจ้าเป็นว่าที่ชายาของข้า จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง หรือต้องให้ข้าเสกทายาทเข้าท้องเสียก่อน’ ใครจะไปคิด ว่าการบังเอิญไปเก็บดอกไม้ที่ใครบางคนเผลอทำตกเอาไว้จะมีแวมไพร์มา 'จองรัก' จองผลาญไปตลอดกาล หากกล่าวถึงกุหลาบ หลายคนอาจนึกถึงเรื่องราวโรแมนติกประหนึ่งนิยายหวานซึ้งเพียงเท่านั้น แต่สำหรับหญิงสาวอย่าง ลินิน การได้มาพบกุหลาบดอกหนึ่งเข้าโดยบังเอิญกลับทำให้ชีวิตของเธอพลิกผันไปตลอดกาล เมื่อมันนำพาเธอไปพานพบกับเจย์เดน แวมไพร์ ที่มีอยู่มานานหลายศตวรรษ นอกจากนี้ เขายังหวงของรักมากเสียด้วยสิ แต่การมาของเขานั้นก็นำคำสาปรักมาสู่เธอด้วย
© 2018-now MeghaBook
บนสุด