ความพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว กลับเปลี่ยนชีวิตของเขาและเธอไปตลอดกาล... เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ธีระหลงคิดว่า เธอคือใครอีกคนที่เขารักหมดหัวใจ ค่ำคืนแห่งความมืดมนผ่านพ้นไปพร้อมความบริสุทธิ์ที่ถูกพราก แต่ถึงอย่างนั้นลลิลกลับไม่แม้แต่จะเรียกร้องสิ่งใดและทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่ได้ยุติแค่ตรงนั้น เมื่อเธอรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้องลูกของเขา...
“ยินดีด้วยนะ สาวน้อย”
“ขอบคุณพี่คินนะคะ ที่ทำให้ลิลมีวันนี้” เรือนร่างบอบบางเข้าสวมกอดคนตัวสูงกว่าด้วยความซาบซึ้งใจ
“เพราะความพยายามของลิลต่างหาก” ชายหนุ่มกอดตอบพร้อมใช้มือข้างหนึ่งลูบเรือนผมนุ่มสลวยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพูดต่อ
“นี่ถ้าท่านทั้งสองยังอยู่ คงภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มากแน่ๆ”
อนาคินจ้องมองไปยังภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังภายในโถงทางเดินของบ้านซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกในครอบครัวโดยมีเขาที่ตอนนั้นอายุประมาณสิบแปดปียืนอยู่ข้างหลัง ส่วนน้องสาวที่เพิ่งจะห้าขวบนั่งตรงกลางระหว่างบิดาและมารดา สีหน้าของทุกคนฉายชัดถึงความสุขอย่างชัดเจน
แต่แล้วในอีกสิบปีต่อมาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป เมื่อทั้งสองเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปเจรจาธุรกิจ ชายหนุ่มจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโรงแรมหรูย่านใจกลางเมืองอย่างเต็มตัว รวมถึงการดูแลน้องสาวเพียงคนเดียวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา
“ท่านต้องภูมิใจในตัวลูกชายด้วยสิคะ พี่คินทั้งดูแลโรงแรม แล้วยังต้องมาดูแลน้องสาวคนนี้อีก” ลลิลคลายอ้อมกอดแล้วเงยใบหน้าหวานละมุนมองพี่ชายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานจนเห็นฟันขาว
“ก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยนี่ ในเมื่อน้องสาวคนนี้ไม่เคยทำให้พี่ผิดหวัง”
“…”
“เพราะฉะนั้น วันนี้ก็สนุกให้เต็มที่ละ พี่จัดขึ้นเพื่อลิล”
“ไม่ใช่ว่าที่จัดงานใหญ่ขนาดนี้เพราะอยากเห็นเพื่อนสาวสวยๆ อ้ะ! พี่คิน ลิลเจ็บนะ” ยังไม่ทันที่ประโยคนั้นจะถูกพ่นจนจบก็โดนอีกฝ่ายส่งมะเหงกลงบนหน้าผากจนเธอต้องยกมือขึ้นคลำป้อยๆ
“คิดไปถึงไหนนะเรา พี่แค่จัดงานให้สมเกียรติของเด็กเกียรตินิยมจากฮาวาร์ดก็เท่านั้น ส่วนของขวัญไว้ให้เดือนหน้าแล้วกัน”
“เอ๊ะ ทำไมถึงนานขนาดนั้นล่ะคะ”
“เถอะน่า”
“พี่คินยิ่งทำให้ลิลอยากรู้นะเนี่ย”
“เฮ้ย ไอ้คิน ไอ้ธีร์มาแล้ว” จู่ๆ เสียงหนึ่งดังมาจากประตูทางเข้าบ้านขัดจังหวะบทสนทนาของสองพี่น้อง
“เออๆ เดี๋ยวตามไป” อนาคินตะโกนตอบกลับเพื่อนชายคนสนิททั้งที่ยังไม่เห็นหน้า ก่อนจะหันมาบอกกล่าวน้องสาวแล้วเดินออกไป
“พี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันในงาน”
เมื่อยืนอยู่เพียงลำพัง เสียงดนตรีเริ่มแว่วเข้ามาในหู ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่เธออาศัยมาตั้งแต่เกิดด้วยความคะนึงหาความทรงจำครั้งอดีต เพราะเหตุนี้เธอจึงเลือกจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้าน
หญิงสาวก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังสวนหลังบ้านที่ถูกประดับประดาด้วยไฟหลากสีสัน ทว่าระหว่างทางสายตาสะดุดกับร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็กสีดำและรองเท้าหนังวาววับสีเดียวกันกำลังยืนหันหลังท่าทางเหมือนคุยโทรศัพท์มือถือ
ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมา สิ่งของในมือกลับถูกเขวี้ยงลงบนพื้นหญ้าจนกระเด็นไปอีกทาง ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนั้นเพื่อรวมกลุ่มกับบรรดาเพื่อนฝูง
“มีความสุขอย่างกับน้องสาวได้แต่งงานนะมึง”
คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่จากหนุ่มแว่นอย่างเอเดย์ทำเอาสีหน้าของอนาคินเปลี่ยนมาเรียบเฉย อีกทั้งคำพูดยังแข็งกระด้างกว่าเดิม
“ลิลเพิ่งจะยี่สิบสองปี”
“แต่น้องมันก็ถึงวัยที่จะมีความรักได้แล้วนะมึง ดูอย่างพวกเราสิปีนี้จะสามสิบห้ากันแล้วยังแห้วอยู่เลย”
“หุบปากเถอะน่า” คนหวงน้องสาวแสดงท่าทางรำคาญอย่างไม่ปิดบัง แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะสะทกสะท้าน
“บางทีน้องสาวมึงอาจจะมีแฟนอยู่แล้วก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ไม่มี”
“ที่มึงมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าจ้างคนไปสืบ”
“กูแค่เป็นห่วงน้อง”
“ความเป็นส่วนตัวนะ มึงรู้จักมั้ยวะ?” เอเดย์ถึงกับส่ายหน้า พลางหันไปมองแก้วตาดวงใจของเพื่อนซึ่งนั่งพูดคุยอยู่กับบรรดาเพื่อนฝูงของเธอซึ่งล้วนบินมาจากต่างประเทศด้วยกันทั้งนั้น
แต่จะว่าไป ความหวงน้องสาวเกินเหตุของเพื่อนก็พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง ในเมื่ออีกฝ่ายสวยหวานปานนางฟ้าขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหน้าน่าทะนุถนอม เรือนผมสีน้ำตาลแดงที่ขับให้ผิวขาวจัดของเธอยิ่งขาวผ่องเป็นยองใย
“เคลิ้มเชียวนะมึง”
เสียงนั้นเรียกสติของเอเดย์ให้หวนคืนมาอีกครั้ง แต่คนที่ชอบแกล้งเพื่อนอย่างเขาไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น
“กูจีบน้องมึงได้มั้ย”
“แดกส้นทีนกูแทนเถอะมึงอะ”
“เออๆ กูไม่กวนแล้วก็ได้ ว่าแต่ไอ้ธีร์มันหายหัวไปไหนของมันวะ”
“นั่นไง พูดถึงก็มาพอดีเลย ตายยากชิบ” อนาคินปรายตาไปยังร่างสูงของเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามา
ธีระนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเพื่อนทั้งสองแล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วคริสตัลสีใสเพื่อรินหยาดน้ำสีอำพันลงในนั้น ก่อนจะกระดกดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายไปหลายแก้ว โดยไม่ลืมหยิบบุหรี่จุดสูบราวกับต้องการระบายความอัดแน่นในใจผ่านควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมา
“เรื่องเดิมอีกแล้วใช่มั้ย” เอเดย์เปิดปากถามทันทีที่เห็นท่าทางของเพื่อนโดยมีอนาคินตามสมทบ
“มึงตัดใจเถอะว่ะ”
“พวกมึงคิดว่ากูไม่เคยพยายามเหรอ”
“ก็แล้วทำไมถึง...” อนาคินยังเอ่ยไม่ทันจบ คำตอบที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงแค่นหัวเราะก็ถูกพ่นออกมา
“เธอกำลังจะแต่งงาน”
“เฮ้ย!” คนอย่างเอเดย์ยังรู้สึกตกใจแทบไม่เชื่อหูตัวเองทำให้ธีระพูดย้ำอีกครั้ง
"เธอกำลังจะแต่งงานอาทิตย์หน้า"
“ทำไมสายฟ้าแลบขนาดนั้นวะ อย่าบอกนะว่า…”
“เธอท้อง” น้ำเสียงเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปากหยักลึก นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นฉายความเจ็บปวดออกมายากจะทานทน
ความเงียบเข้าปกคลุมจนได้ยินเสียงพูดคุยจากอีกฟากอย่างชัดเจน อนาคินที่กำลังจับจ้องอยู่ที่เพื่อนเริ่มปริปากอีกครั้ง
“แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อะไรล่ะที่ว่าดี เธอท้อง เธอกำลังจะแต่งงาน หรือเพราะผู้ชายคนนั้นไม่ใช่กู” พูดพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง
“มึงตั้งสติหน่อยไอ้ธีร์” เอเดย์พยายามปราม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีสติอย่างเห็นได้ชัดจนเพื่อนต้องคอยดึงสติอยู่หลายรอบ..
หลังจากงานเลี้ยงเลิกประมาณเที่ยงคืน ลลิลเข้าห้องนอนทันที ทว่าเพราะเจ็ทแล็กทำให้เธอนอนพลิกตัวไปมาจนถึงตีสองพร้อมฟังเสียงข้างห้องซึ่งเป็นห้องนอนของพี่ชายที่มีเสียงอะไรบางอย่างเล็ดลอดเข้ามา ทำให้เธอรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่นอนเช่นเดียวกัน
หญิงสาวลุกพรวดนั่งบนเตียง คิดว่าจะไปเคาะประตูดีหรือไม่ในเมื่อถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ อีกทั้งช่วงที่บิดามารดาไม่อยู่ ทุกครั้งที่เธอไม่สามารถข่มตาหลับได้จะมีพี่ชายคอยลูบศีรษะจนเธอหลับใหลอย่างง่ายดาย
ลลิลตัดสินใจเดินออกไปจากห้องนอนของตัวเองแล้วเคาะประตูเรียกชื่อเจ้าของห้อง ครั้นเมื่อลองบิดลูกบิดปรากฏว่าไม่ได้ล็อกจึงลองเปิดแล้วเดินเข้าไปโดยไม่คิดอะไรท่ามกลางแสงสลัวจากไฟหัวเตียง
“พี่คิน ลิลนอนไม่หลับ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดไม่ต่างจากเด็ก ทว่าเมื่อเธอมองไปบนเตียงสีดำสนิทกลับพบเพียงความว่างเปล่า
“กลับมาแล้วเหรอ”
น้ำเสียงยานคางของใครบางคนดังขึ้นจากข้างหลังบริเวณหน้าห้องน้ำจนเธอรีบหันขวับไปมอง เสี้ยววินาทีต่อมาร่างกายกลับถูกเจ้าของเสียงนั้นสวมกอดไว้แน่นแทบหายใจไม่ออก
“อย่าไปจากพี่เลยนะ” คนที่ยืนตัวแข็งทื่อเพราะความงงงวยพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของร่างสูง
“อ้ะ! อื้อ”
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ประคองใบหน้าเธอแล้วทาบทับริมฝีปากลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยายามสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไป กลิ่นลมหายใจทำให้เธอรู้ว่าเขาดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เข้าไปมากมายเพียงใด
"อื้อ!!" หญิงสาวพยายามผลักอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัว ทว่าเรี่ยวแรงของเธอแทบสู้คนเมาอย่างเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ กระทั่งจังหวะที่เผลออ้าปาก เรียวลิ้นอุ่นร้อนถูกสอดแทรกเข้าไปในที่สุด
เมื่อพี่ชายตัวดีของเธอ...พาน้องสาวของมาเฟียหนุ่มหนีไป อลิสจึงต้องตกเป็นผู้รับกรรมและรอจนกว่าน้องสาวของเขาจะกลับมา แต่ดูเหมือนว่า..การได้มาอยู่กับเขากลับทำให้เธอล่วงรู้ความลับอะไรบางอย่าง ความลับ...ที่พวกเขาพยายามปกปิดเธอมาตลอด “ในเมื่อไม่ยอมบอกว่าพี่ชายของคุณมันพาน้องสาวของผมไปซ่อนไว้ที่ไหน ผมก็จะกักขังคุณไว้ที่นี่” “ก็บอกว่าฉันไม่รู้ไง” “มันก็ช่วยไม่ได้ และผมจะเอาคุณจนกว่าพี่ชายตัวดีของคุณจะโผล่หัวมา แต่ก็ไม่รับรองนะว่ากว่าจะถึงตอนนั้น อะไร อะไร ของคุณมันจะไม่หลวมไปซะก่อน” “ไอ้...” จุ๊ป อืมส์ “ฉันจะฆะ..อาส์” “หึ คุณก็เคลิ้มไปกับผมทุกครั้งอยู่ดี”
วันวิวาห์ ตกหลุมรักผู้อุปการะของเธอตั้งแต่แรกพบ หญิงสาวพยายามทำทุกอย่างให้เขาภาคภูมิใจ แต่ดูเหมือนว่าสายตาคู่นั้นจะมองเห็นแค่เพียงเด็กที่ก่อปัญหาวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน... เธอ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อก้าวข้ามเส้นบางๆ ระหว่างความสัมพันธ์ รามิล นักธุรกิจเจ้าของโรงแรมหรูอย่าง A.W.HOTEL ถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับวันละหลายรอบ เมื่อเด็กที่เขาอุปการะไว้เจ็ดปีก่อนกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดอีกครั้ง... เขา พยายามรักษาระยะห่าง แต่เธอดันชอบเข้ามาในระยะประชิด กระทั่งวันที่ทั้งสอง ตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่า... สิ่งเดียวที่เธอต้องการจากเขาคือ ความรัก แต่สิ่งเดียวที่เขาต้องการจากเธอคือ ความลับ สุดท้ายแล้วความรักที่มาพร้อมความลับมันจะลงเอยแบบไหนกัน?
เพราะ One night stand ครั้งนั้น... ทำให้นักธุรกิจหนุ่มหล่อวัยสามสิบห้า ต้องมาหลงเสน่ห์เด็กสาววัยยี่สิบเอ็ดอย่างเธอ!! "ไหนคุณบอกว่าเรื่องระหว่างเราเป็นแค่ one night stand ไงคะ" "แล้วถ้าผมไม่ได้อยากให้มันจบลงแค่นั้นล่ะ" "คะ?" "มาอยู่กับผม รับรองว่า คุณจะได้ทุกอย่างที่อยากได้" "ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย" "เพราะไม่ว่ายังไง คุณก็ไม่มีทางหนีผมพ้นหรอก..." "นี่คุณ!" "บอกว่าให้เรียกพี่ภามไง หรือถ้าไม่ถนัดเรียกที่รัก ก็ได้ แต่ถ้ายาวไปเรียกผัว เฉยๆก็ได้เหมือนกัน"
แอร์โฮสเตสสาวสวยที่คบกับแฟนมาห้าปีถูกบอกเลิกอย่างไร้เยื่อใย โดนบอกเลิกว่าเจ็บแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บยิ่งกว่าคือ.. เขาพาผู้หญิงคนนั้นมาหยามถึงที่และบอกข่าวดีที่ว่าเขาทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกัน! ความเจ็บปวดจากการถูกนอกใจทำให้เธอขาดสติและต้องการประชดชีวิต... จึงไปนอนกับผู้ชายที่เธอจำไม่ได้แม้กระทั่งใบหน้าของเขา!!
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
หากความรักของเราเปรียบเหมือนแก้วใบหนึ่ง แก้วใบนี้คงร้าวจนใกล้แตกเต็มที อีกฝ่ายต้องการประคองรักนี้ไว้อย่างอดทน แต่อีกคนกลับทำลายจนหัวใจของเธอย่อยยับแหลกลาน ความอดทนของคนเรามีวันที่สิ้นสุดน่ะ “หย่า” คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเขาไปในที่ชอบ ๆ ทางใครทางมัน แต่เมื่อเวลาพัดผ่าน ด้วยเหตุผลของกามเทพ ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และเมื่อได้พบหน้าเธอ เขาขอแก้ตัว และบอกเธอว่า เขายังรักเธอ ทว่าในวันที่เธอเดินจากไป เธอมีลูกน้อยติดท้องมาด้วย และปัญหาของคนเป็นแม่ เจ้าเด็กน้อยหนูอยากจะมีพ่อครับ แล้วเธอควรทำอย่างไรต่อไป ++++++++++ คำโปรย เมื่อเข้าไปถึง และเห็นภาพตรงหน้า ปริญเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ในอ้อมกอดและวงแขนของเขา มีร่างผู้หญิงคนหนึ่ง และสิ่งที่ทำให้หัวใจของทอดาวสลาย ทั้งสองคนกำลังจูบกัน เพล้ง... ข้าวของในมือร่วงลงไป พร้อมกับร่างของทอดาวที่แทบทรุด เธอเซไปจนปะทะกับฝาบ้าน คนสองคนที่กำลังจูบกันอยู่รีบผละออกจากกันแล้วหันมามอง ทอดาวแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำไป เธอไม่เคยคิดเลยว่าปริญเขาจะทำแบบนี้กับเธอ ทำอะไรที่แสนทุเรศในบ้านที่เป็นเรือนหอของเธอกับเขา ทอดาวน้ำตาคลอ เธอพยายามประคองสติโดยใช้ฝาผนังเป็นที่พึ่ง ‘แล้วลูกของเราล่ะ และนี่คืออะไร มันหมายความว่ายังไง ทำไมเขาทำแบบนี้กับฉัน’ ความคิดอันแรก ครอบครัวของเธอต้องแตกแยกแล้ว พร้อมกับคำถามเกิดขึ้นมามากมายในหัวของทอดาว เธอหน้าถอดสีซีดจางจนไม่มีสีเลือด สิ่งที่น่าเจ็บปวด เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นเธอที่เป็นภรรยาของปริญแล้วจะกระดากอายถอยห่างจากสามีของชาวบ้าน แต่ไม่เลย สองมือของหล่อนคนนั้นยังสอดรัดเอาลำตัวและหน้าอกของตัวเองเบียดไปกับผิวแขนของปริญ
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง