นายหัว(เถื่อน) กระหายรัก เพราะเป็นลูกมาเฟียถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก จู่ๆ ก็ถูกแม่ตัดหางปล่อยวัดให้เผชิญชะตากรรมด้วยตนเอง เผชิญชะตากรรมไม่ว่า แต่วันแรกเธอก็ทำคนตายแล้ว เหตุการณ์ในวัยเด็กทำให้เธอไร้สติหยั่งคิด เผลอเข้าร้านหรูจนกินไวน์ราคาแพงหมดไปสองแสน แม้จะจำนำของในตัวจนหมดแต่ก็ไม่พอ เพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะรู้ เธอจึงเลือกใช้กายชดใช้แทน แต่ใครคิดว่าหลังจากสิ้นคิดคืนนั้น เธอก็ต้องพบปัญหาไม่รู้จบ
เจด้าปรายตามองเพื่อนร่วมชั้นเรียนในห้องพร้อมถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมเธอต้องมานั่งอยู่ที่นี่ท่ามกลางคนแปลกหน้า สถานที่ที่ไม่คุ้นเคย น่าโมโหชะมัด กะอีแค่เธอขัดคำสั่งพ่อแม่ไม่กี่ครั้งก็ถูกส่งกลับเมืองไทยแบบกะทันหันชนิดไม่ให้ตั้งตัว โดยบอกว่าเพื่อดัดนิสัยเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจของเธอ หึ ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่านั้นคือการ ถูกส่งให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยภาคธรรมดา แทนที่จะเรียนภาคอินเตอร์ให้สมกับฐานะสักหน่อย
เจด้าตัดสินใจเดินออกจากห้องเรียนที่แสนน่าเบื่อโดยไม่สนใจสายตาทุกคู่ที่มองเธอเป็นตาเดียว เมื่อมาถึงรถเก๋งคันงามเด็กสาวก็ออกคำสั่งทันที
“ไปที่ไหนก็ได้”
“ครับ” ลูคัส ชายวัยกลางคนรับคำสั้น ๆ ปิดประตูรถให้สาวน้อยคนงามที่ตอนนี้หน้าตาบึ้งตึง ในฐานะคนขับรถที่ทำงานกับตระกูลนี้มานานจึงขับรถไปยังสวนสาธารณะที่ใกล้ที่สุดทันทีอย่างรู้ใจ ในยามนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการพาเธอไปยังที่ที่ทำให้สาวน้อยรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อไปถึงเขาก็หาที่จอด ปล่อยให้เธอลงไปเพียงลำพัง
หญิงสาวลงจากรถแล้วไปเดินเล่นที่ริมบึง ระหว่างนั้นก็หยิบหินก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาเขวี้ยงลงน้ำเพื่อระบายอารมณ์ หลังจากนั้นไม่นานผู้เป็นแม่ก็ตามมาถึง
“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“พวกเขาแกล้งหนู หาว่าหนูไม่รู้เรื่องอะไร ทำอย่างกับหนูโง่งั้นแหละ เชอะ ลองมาคุยภาษาอิตาลีกับหนูสิ หรือไม่ก็มาประลองเทควันโดกับหนูสักเกมสองเกม ดูซิว่ายังจะกล้าปากดีอีกหรือเปล่า”
แอนนาส่ายหัวกับนิสัยไม่ยอมใครของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน เธอผิดเองแหละที่ตามใจเจด้าจนเกินไปตั้งแต่เล็ก ๆ มาถึงตอนนี้คิดจะดัดนิสัยลูกก็กลายเป็นว่าเหมือนโยนปัญหาให้อีกฝ่ายต้องเผชิญ แต่ทำอย่างไรได้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้จะเข้าทำนองไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ที่สำคัญเธอต้องพยายามใจแข็งไม่เหมือนที่ผ่านมา คิดแล้วเธอก็ได้แต่ดึงลูกสาวสุดที่รักเข้ามากอดปลอบ
“แม่ขอโทษ แต่แม่ก็ยังเชื่อว่าแม่คิดดีแล้วที่ส่งลูกมาเรียนที่นี่ ชีวิตในวันข้างหน้าน่ะมันไม่ง่ายหรอกนะ ไม่มีใครสามารถอยู่กับลูกได้ตลอดไป แม่จึงอยากให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เผื่อในวันที่ไม่มีคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือแม้แต่พ่อกับแม่คอยช่วยเหลือ”
“มีแต่ลุงลูคัสแหละที่ดีกับเจด้าที่สุด” เด็กสาวตัดพ้อขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม แอนนาได้แต่ยิ้มน้อยๆ และไม่คิดจะเถียง เพราะทุกวันนี้ลูคัสก็ทำเกินหน้าที่ตัวเองจนกลายเป็นความผูกพันไปแล้ว
“อดทนอีกหน่อยนะ เพื่ออนาคตของลูกเอง”
“ให้หนูเข้าเรียนภาคอินเตอร์ฯ ไม่ได้หรือคะ นะ ๆ แล้วหนูจะตั้งใจเรียนสุด ๆ ไปเลย” เจด้าต่อรอง ส่งสายตาอ้อนวอนคนเป็นแม่ ก่อนจะ พองแก้มด้วยรู้สึกขัดใจเมื่อได้รับคำตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า “ไม่ได้”
“ฮือออ หนูอยากตาย” เจด้าโอดครวญเมื่อแผนออดอ้อนไม่ได้ผลเหมือนที่ผ่านมา
“ลูกต้องรู้จักการถูกปฏิเสธซะบ้าง จำไว้ว่าทุกอย่างไม่ได้มาง่าย ๆ หรอกนะ อ้อ แม่เช่าหอพักใกล้ที่เรียนของหนูแล้วด้วย ใกล้มากจนเดินไปกลับได้เลยละ”
เจด้ามองแม่ที่ลุกขึ้นยืนขณะที่ยังคงพูดต่อ
“และแม่ก็จะให้เงินหนูไว้ใช้จ่ายอาทิตย์ละหนึ่งพันบาทเท่านั้น”
“แม่!!” เจด้าร้องเสียงหลง หนึ่งพันบาทเนี่ยนะ ข้าวมื้อเดียวก็หมดแล้ว
“ถ้าหมดก่อนครบอาทิตย์จะไม่มีการเพิ่มให้อย่างเด็ดขาด และอย่าคิดโทร.ไปขอพ่อหรือคุณตาล่ะ” แอนนาพูดดักทางอย่างรู้ทันลูกสาว
“โธ่ แม่ แล้วถ้าเงินหมด หนูจะเอาเงินที่ไหนกินข้าวล่ะ”
“งานก็คือเงิน ถ้ารู้จักทำงานก็มีเงินแลกข้าวกิน” แอนนาพูดทิ้งท้ายสั่งสอนลูกสาวก่อนเดินไปหาลูคัสที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ส่วนนาย ตอนนี้มีงานใหม่ต้องทำ”
ฮึ! แม้แต่ลุงลูคัสก็ยังถูกขัดขวางไม่ให้ช่วยเธอ เจด้าได้แต่คร่ำครวญในใจกับชะตาชีวิต ถูกให้ออกจากบ้านหลังโตย้ายมาอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย เรียนหนังสือร่วมกับนักศึกษาบ้าน ๆ
เมื่อเจด้าเปิดประตู หญิงสาวคนหนึ่งในห้องหันมามองแล้วรีบแนะนำตัว “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อมลฤดี เรียกสั้น ๆ ว่ามลก็ได้ ฝากตัวด้วยนะ เธอชื่ออะไรล่ะ”
แม่นะแม่ ใจร้ายชะมัด ส่งลูกสาวตัวเองมาอยู่ห้องเช่ารูหนูไม่พอ ยังให้มาอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า เจด้าเดินกระแทกเท้าไปที่เตียงนอน หยิบหมอนออกมาแล้วกรี๊ดใส่หมอนระบายอารมณ์
เมื่อกรีดร้องจนพอใจแล้วก็เงยหน้ามองเพื่อนร่วมห้องที่ทำหน้างง “ฉันชื่อ...” เจด้านิ่งไปสักพักก่อนตัดสินใจบอกชื่อไทยที่แม่ของเธอตั้งให้
มลฤดีมองเพื่อนใหม่ที่ดูท่าทางน่าจะแสบไม่เบา ก็พอจะเดาได้ว่าอนาคตที่ต้องอยู่ร่วมห้องกับสาวเจ้าอารมณ์คนนี้คงสนุกแน่ ๆ
“เธอเรียนคณะไหนเหรอ?”
เจด้าบอกชื่อคณะ ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็เรียนคณะเดียวกันแต่คนละห้อง
“ไปกินข้าวกันไหม” มลฤดีชวน ท้องเจด้าร้องพอดี เธอจึงพยักหน้า ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือแบรนด์เนมขึ้นคล้องแขน
“โอ้โฮ กระเป๋าใบนี้เหมือนของจริงเลย เมื่อวานฉันเองก็เห็นขาย ที่ในตลาด มีให้เลือกตั้งหลายสีแน่ะ”
เจด้าอึ้ง ก้มมองกระเป๋าเรือนแสนของตัวเองสลับกับหน้าคนพูด ช่างเถอะ จะเอาอะไรมากกับนักศึกษาจน ๆ คนหนึ่ง มีตาหามีแววไม่ และเธอเองก็ไม่จำเป็นต้องอวดจึงตามน้ำไป “หึ ๆ เพิ่งได้มาเมื่อวานน่ะ เหมือนของจริงจนแยกไม่ออกเลยเนอะ”
สองสาวลงมาที่ชั้นล่าง เห็นร้านอาหารตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามตึก แต่สะพานลอยที่จะข้ามไปอยู่ค่อนข้างไกล มลฤดีจึงฉุดมือเจด้าวิ่งข้ามถนน!!
“เดี๋ยว ๆ!!” เจด้าที่ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้รีบร้องห้าม แต่ไม่ทัน เสียแล้ว เสียงรถเบรกดังลั่นถนนพร้อมกับเจด้าที่หลับตาปี๋ คิดว่าตัวเองคงต้องตายกลายเป็นผีเฝ้าถนนแน่ ๆ ทว่าผ่านไปสักครึ่งนาทีก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ จึงลืมตาขึ้นมองก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ารถคันนั้นได้หักหลบเข้าข้างทางจนชนเข้ากับเสาไฟฟ้าเสียแล้ว
เจด้าเห็นว่าคนขับเหมือนจะยังมีสติอยู่เธอจึงจะวิ่งเข้าไปดู แต่จู่ ๆ มีรถอีกคันวิ่งตามมาด้านหลังอย่างเร็วก่อนชนรถคันที่คาเสาไฟอยู่เต็มแรง “โครม!!”
เจด้าแทบช็อก ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก มลฤดีฉุดเพื่อนให้ไปยืนบนเกาะกลางถนน เสียงรถกู้ภัยที่แล่นผ่านมาพอดีดังแสบแก้วหู เจ้าหน้าที่รีบลงไปช่วยผู้เคราะห์ร้ายที่มีเลือดท่วมตัวออกมาจากรถ
“ตายแล้ว...ผู้ชายคนนั้นตายแล้ว เราสองคนทำให้เขาต้องตาย” เจด้าพูดเสียงสั่น มือเย็นเฉียบ มลฤดีตั้งสติได้เร็วกว่า รีบพาเพื่อนข้ามไปอีกฝั่งทันที
“ถ้ามีใครถามก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นนะเข้าใจไหม พวกเรามาเห็นก็หลังจากที่รถชนกันแล้ว” มลฤดีกำชับขณะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ในร้านอาหารแล้ว
เนื่องจากตอนนั้นผู้คนต่างวุ่นวาย จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่ารถเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร เหตุการณ์ตรงหน้าพลอยให้เจด้านึกถึงตอนที่ตัวเองอายุห้าขวบ
มือของเจด้ายังคงสั่น อาการที่เคยหายแล้วเริ่มกำเริบอีกครั้ง “ฉันกลับห้องก่อนนะ” เจด้าบอกพลางลุกขึ้นเดินเหม่อออกจากร้านอาหารไปตามถนนเหมือนคนขาดสติ
เสียงเพลงดังแว่วเข้าหูทำให้หญิงสาวหันไปมอง มาจากร้านเหล้านั่นเอง เมื่อเห็นแสงไฟกะพริบหน้าร้านเท้าก็เดินเข้าไปอัตโนมัติ เมื่อหาที่นั่งได้แล้ว พนักงานก็มารับออร์เดอร์ เจด้าบอกชื่อไวน์ที่ตัวเองดื่มเป็นประจำ
พนักงานแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเหลือบเห็นกระเป๋าแบรนด์เนมของแท้จึงยกไวน์มาเสิร์ฟให้ เจด้ารินไวน์ดื่มหลายแก้วในเวลาอันรวดเร็ว เพราะนี่ไม่ใช่การดื่มเพื่อลิ้มรสชาติ แต่เพื่อให้ลืมเรื่องในอดีตและเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ผ่านไปไม่นาน หญิงสาวเพียงลำพังก็ดื่มไวน์หมดไปสองขวด
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ทำให้เธอเมา มีแค่อาการเหม่อลอยที่ยังคงอยู่ เมื่อคิดว่าได้เวลากลับแล้วเธอก็หยิบกระเป๋าลุกเดินออกไป “เดี๋ยวคุณ!!” เสียงพนักงานเรียกและรีบวิ่งตาม
“คุณยังไม่จ่ายเงิน”
เจด้าพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าถือ แต่กลับพบว่ามีแค่ธนบัตรหนึ่งพันบาทใบเดียว โธ่เอ๊ย ลืมไปเลยว่าตอนนี้เธอถูกจำกัดการใช้เงิน
พนักงานเห็นท่าทีหญิงสาวก็ถอนหายใจพลางพึมพำ ว่าแล้วเชียว ซวยตั้งแต่หัววัน หลังจากนั้นก็พาเธอไปยังห้องเจ้านายที่อยู่ด้านในของร้าน ประตูปิดลงแล้ว แต่เจด้ายังคงก้มหน้า
เสียงเข้มของชายในห้องสั่งให้นั่งเธอก็นั่ง “พอจะโทร.หาคนที่บ้านให้มาจ่ายได้ไหม”
คนกินแล้วไม่จ่ายเป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยครั้ง แต่ส่วนมากจะแกล้งเมาเอะอะโวยวายแล้วชิ่งหนี แต่ผู้หญิงคนนี้นอกจากไม่หนีแล้ว ยังเดินเข้ามาในอาการที่สงบนิ่ง หญิงสาวไม่พูดไม่จา สักพักจึงเงยหน้าแล้ววางกระเป๋าแบรนด์เนมลงบนโต๊ะ “กระเป๋านี่ราคาประมาณหนึ่งแสน ส่วนกระเป๋าสตางค์ประมาณห้าหมื่น พอไหม”
พีรพัฒน์นึกดูถูกในใจ เด็กคนนี้น่าจะยังเรียนไม่จบ แต่กลับมีของแพง ๆ ติดตัว แสดงว่าคงไม่พ้นทำงานอย่างว่าสินะ
คนที่ขึ้นบกได้ไม่นานหลังจากอยู่ที่เกาะมาหลายเดือน ด้วยความรู้สึกอดอยากปากแห้ง เห็นคนตรงหน้าก็รู้สึกสนใจ เขาแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง “ชดใช้ได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละ”
ไวน์สองขวดราคาเกือบสองแสน มองอย่างไรก็ขาดทุน ถ้าเขาซื้อกินข้างนอกยังถูกกว่าด้วยซ้ำ หรือว่าควรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนดี
พีรพัฒน์ลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะไปหาหญิงสาวแล้วเชยคางเธอให้เงยขึ้นเพื่อจะมองหน้าให้ชัดกว่าเดิม อืม ยิ่งดูก็ยิ่งสวย “คืนเดียวแลกกับหนี้ทั้งหมด”
ข้อเสนอนี้หมายถึงอะไรมีหรือเจด้าจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าพ่อแม่รู้เรื่องอาการเหม่อลอยของเธอกำเริบอีก ก็คงต้องสืบหาสาเหตุจนกระทั่งรู้ว่าเธอเป็นต้นเหตุให้คนตายวันนี้ ทีนี้ละเธอได้ถูกตัดหางปล่อยวัดอย่างแน่นอน
“ได้” เพียงคำเดียวของเธอกำลังจะเปลี่ยนชีวิตตนเองในวันข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
คนที่หื่นกระหายเพราะขาดเรื่องบนเตียงมานานพาหญิงสาวไปยังห้องด้านหลัง จากนั้นสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้าออกเพื่อชมเรือนร่างงดงาม จุ๊ ๆ สวยทุกส่วนไม่มีที่ติจริง ๆ พีรพัฒน์นึกในใจก่อนถอดเสื้อผ้าของตนเองออกและก้มลงจูบเธอ โดยไม่คิดที่จะเล้าโลมให้เสียเวลา ชายหนุ่มจัดการยัดท่อนเอ็นยักษ์ของตัวเองเข้าไปในกายของเธอทันที
เจด้ากรีดร้องแล้วขยับหนี คนกระหายมองโคนตรงปลายที่ติดเลือดมา “เฮ้ย!”
“เธอไม่เคย” เจด้าส่ายหน้าแล้วยกผ้าห่มขึ้นปิดร่างกาย มองอีกฝ่ายที่กำลังด่าตัวเอง
“แล้วจะเอายังไงต่อดี” เธอที่หวาดกลัวเขา กลับกลัวพ่อแม่จะรู้มากกว่าจึงบอกไปว่า “ต่อให้จบเถอะ คุณบอกว่าแค่คืนเดียวนี่”
ในเมื่ออีกฝ่ายอนุญาตแล้ว มีหรือผู้ชายอย่างเขาจะปฏิเสธ
“ผมจะเบามือที่สุด” ตอนแรกเขาคิดว่าหญิงสาวจะเชี่ยวชาญ กลับกลายเป็นว่านี่เป็นครั้งแรกของเธอ เขาจึงต้องทำอย่างเบามือ ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไปในตัวเธอทีละนิดจนมิด
“อื้อ” เจด้าสะดุ้งพร้อมแอ่นหน้าอกตอบรับอย่างอัตโนมัติ พีรพัฒน์ก้มลงดูดมันอย่างหื่นกระหาย เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง หลังจากนั้นจึงได้พบกับความเร่าร้อนที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เสียงเหนื่อยหอบของเจด้าทำให้คนตรงหน้ารู้สึกพอใจ เขามองหญิงสาวที่นอนหลับตาอย่างเหนื่อยล้า จึงก้มลงหอมแก้มเธออีกครั้ง อยากจะรังแกเธอให้มากกว่านี้ ให้สมกับความอัดอั้นที่สะสมมานาน หากเขาไม่กลัวแม่สาวน้อยจะตื่นตระหนกเสียก่อน คิดว่าคืนนี้เธอคงไม่ได้นอน
“ผมมีความสุขมาก”
เธอเหนื่อยแต่ก็ต้องคิดถึงวันข้างหน้า “ฉันไม่ติดค้างคุณแล้วนะ” เจด้าลืมตามองเขา
“ว่าแต่คุณพอมีตำแหน่งว่างในร้านบ้างไหม ฉันอยากทำงาน” สำหรับเจด้าเงินแค่หนึ่งพันบาทต่ออาทิตย์ไม่พอแน่ ๆ
พีรพัฒน์มองใบหน้างาม คิดว่าแค่เธอนอนกับเขา เขาก็พร้อมจะเลี้ยงดูเธออย่างดี
“ถ้าผมจะเลี้ยงดูคุณ...”
เจด้าส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้า
“คุณบอกว่าแค่คืนเดียว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้อีก ฉันอยากทำงานหาเงินเอง คุณพอจะมีงานว่างไหม ถ้าไม่มีฉันไปหาที่อื่น ก็ได้”
โอ้ เด็ดเดี่ยวจริง ๆ พีรพัฒน์ไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ถูกเขาพรากความบริสุทธิ์ แต่เธอกลับไม่คิดจะต่อรองหรือเรียกร้องเงินเพิ่ม หนำซ้ำยังของานเขาทำ ถ้าไม่ให้ก็พร้อมจากไปโดยง่าย
“ถ้าคุณอยากทำงาน ผมมีตำแหน่งว่างพอดี”
เจด้าหันไปมองร่างเปลือยที่เดินมายื่นนามบัตรให้ “พรุ่งนี้บ่าย สามโมงเข้ามาที่ร้าน ผมจะสอนงานคุณก่อนเริ่มงาน ร้านอาหารของเราส่วนมากให้บริการลูกค้าระดับสูง ดังนั้นจะผิดพลาดไม่ได้ เข้างานสี่โมง ออกงานตอนเที่ยงคืน”
เจด้าพยักหน้าเข้าใจ และรู้สึกโชคดีที่เวลางานกับตารางเรียน ไม่ชนกัน เธอจึงออกจากห้องแล้วกลับที่พักโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองเขาเลยสักนิด
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
นราเป็นเพียงหญิงสาวยากชน ต้องทำงานแลกเงินแต่เธอก็มีตุลย์แฟนหนุ่มที่มีฐานะดีคอยช่วยเหลือตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มีคนที่ดีพร้อมไว้ข้างกายเช่นกัน เพราะรักจึงยอมเลิก เธอจึงเลือกที่จะหอบลูกในท้องจากไปเพื่อให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้น ดีกว่าที่จะอยู่กับคนแบบเธอแม้หัวใจจะเจ็บปวดมากเท่าไรก็ตาม
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"