เมื่อสามปีก่อน ถังเฟิงพบเจอกับจ้าวหยิงหยิงโดยบังเอิญ เนื่องจากความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งงานกับตระกูลจ้าว และแอบช่วยเหลืออย่างลับ ๆ สิ่งนี้ทำให้ตระกูลจ้าวรุ่งเรืองโชติช่วงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแบบทุกวันนี้ ถังเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเธอในเวลานี้ก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าตระกูลจ้าวกำลังวางแผนจะกินบนเรือนขี้บนหลังคา
เมื่อเห็นเหล่าบรรดาแขกมากันพอสมควรแล้ว จ้าวติงเทียน ผู้นำตระกูลจ้าวก็เชิญให้ทุกคนทยอยกันนั่งลง
ทันทีที่ถังเฟิงนั่งลง สีหน้าของจ้าวติงเทียนก็เคร่งขรึมแล้วก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนว่า “ถังเฟิง ไม่อนุญาตให้ลูกเขยที่แต่งเข้าฝ่ายหญิงนั่งร่วม ทำไม ลืมกฎระเบียบไปแล้วเหรอ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังเฟิงก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในทันที
คนจำนวนไม่น้อยเริ่มพากันซุบซิบนินทา พวกเขาดูมีสีหน้าเหน็บแหนม บางคนถึงกับหยิบโทรศัพท์ออกมาแอบบันทึกวิดีโอไว้ด้วย ต่างกำลังรอดูอะไรสนุก ๆ
คิ้วของถังเฟิงขยับเขยื้อน
ตลอดสามปีที่ผ่านมา ตระกูลจ้าวพัฒนาก้าวหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขาก็เริ่มรังเกียจเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้กฎระเบียบที่แสนอัปยศอดสูนี้จึงถูกตั้งขึ้น
แต่ว่า ถึงแม้ว่าตอนอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ถังเฟิงจะไม่นั่งร่วมโต๊ะหลักได้ แต่อย่างน้อยตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงสาธารณะข้างนอกก็ไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้
จู่ ๆ วันนี้จ้าวติงเทียนก็สร้างความลำบากใจขึ้นมา ถังเฟิงรู้สึกได้ถึงพิรุธบางอย่างแล้ว
“พ่อ งานในวันนี้พวกเรา...”
ยังพูดไม่ทันจบ จ้าวตง น้องชายแท้ ๆ ของจ้าวหยิงหยิงก็ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างหยาบคาย “พี่เองก็รู้ว่านี่มันคืองานอะไร ปกติแล้วตอนอยู่ที่บ้านก็เชื่อฟังว่านอนสอนง่ายเหมือนกับหมาปั๊ก แล้วทำไมวันนี้พอมีคนที่มีหน้ามีตามากันมากมายขนาดนี้ จู่ ๆ ก็อยากจะเสแสร้งขึ้นมาแล้วล่ะ อยากจะอวดให้ตัวเองดูมีสถานภาพที่สูงส่งเหมือนกันงั้นเหรอ หืม”
จ้าวตงเป็นคนนิสัยโอหังอวดดี ปกติแล้วก็ชอบก่อปัญหามากมาย ล้วนแต่เป็นเพราะถังเฟิงแอบช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาก็คงจะถูกฆ่าตายไปตั้งนานแล้ว
หลิวซู่อวิ๋น แม่จ้าวชักสีหน้า สบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน พร้อมกับพูดเหน็บแนมว่า “ถังเฟิง ถ้าในตอนนั้นหยิงหยิงไม่ได้รับนายมาเลี้ยงดูเนื่องจากความสงสาร นายจะมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้เหรอ ตอนนี้ตระกูลจ้าวของฉันโดดเด่นอย่างมากในเมืองหนานอวิ๋น นายก็ควรจะวางตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งของตัวเอง หยุดมาทำตัวไร้ยางอายที่นี่ได้แล้ว”
จ้าวตงรีบพยักหน้าพูดขึ้นมาทันที “พูดถูก! แม้แค่เลี้ยงหมา หมายังรู้จักตอบแทนบุญคุณเจ้าของเลย คนไร้ประโยชน์แบบพี่มีแต่จะลากให้ตระกูลจ้าวของพวกเราพลอยเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้น ทำไมถึงไร้ยางอายขนาดนี้กันนะ”
โดดเด่นอย่างนั้นเหรอ
วางตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งงั้นเหรอ
ลากให้ตระกูลจ้าวพลอยเดือดร้อนไปด้วยงั้นเหรอ
เหอะ
ถังเฟิงอดขำไม่ไหว
เดิมทีเขาเป็นยอดทหาร ผ่านระดับ A B C D จนถึงระดับ S ที่แทบจะไม่มีใครทำถึงได้มาแล้ว
นี่ก็เป็นเพราะว่าเขานั้นแตกต่างจากคนทั่วไปตั้งแต่กำเนิด มีพลังวิเศษอยู่ในร่างกาย พละกำลังมหาศาล กลไลการทำงานของร่างกายอยู่เหนือหลักวิทยาศาสตร์
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังก่อตั้งพรรคเทียนเหิง สหภาพทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ในอดีต นั่นมันถือเป็นการดำรงอยู่ระดับมหาอำนาจเลยก็ว่าได้ในทั้งใต้หล้า
เพียงแต่เนื่องจากเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่สามารถบรรลุระดับS+ได้ เขาถึงได้ปิดผนึกตัวเองไปเป็นเวลาสามปี แล้วก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับพลังวิเศษนั่นในร่างกายของตัวเองให้กระจ่างด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงยุบพรรคเทียนเหิงแล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเพื่อที่จะลงหลักปักฐาน
อีกสามวัน เขาก็จะถูกปลดผนึกแล้ว ถึงตอนนั้นตระกูลจ้าวก็จะรู้ว่าเขาเป็นการดำรงอยู่แบบไหน
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีบุญวาสนานี้แล้ว
เมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ของถังเฟิง จ้าวติงเทียนเบิกตากว้างและพูดต่อว่าด้วยความโมโห “ถังเฟิง! นี่มันท่าทีอะไรกัน กำลังหัวเราะพวกเราอยู่งั้นเหรอ”
ถังเฟิงไม่แยแสสนใจต่อคำถามของเขา ถึงขนาดที่ขี้เกียจจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนกลุ่มนี้แล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือท่าทีของจ้าวหยิงหยิง แต่เวลานี้พอหันไปหาจ้าวหยิงหยิง เธอกลับไม่พูดอะไรทั้งนั้น ท่าทางแบบนี้มันเทียบเท่ากับการยอมรับไปโดยปริยาย ทำให้ถังเฟิงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก
“หยิงหยิง คุณเองก็คิดแบบนี้เหมือนกันเหรอ” ถังเฟิงถามขึ้นมาอย่างไม่ยอมตัดใจ
ใครจะไปรู้ว่าจ้าวหยิงหยิงจะสาธยายออกมาอย่างยาวเฟื้อยด้วยถ้อยคำที่ชอบธรรม