เขาเป็นหมอที่มีรักเดียวมาตลอดหลายสิบปี แอบเฝ้ามองน้องน้อยตั้งแต่แรกเกิด ส่วนน้องน้อยก็หาได้รักเขาแบบชู้สาวไม่ สำหรับจงกลนีแล้วเขาคืออาจารย์หมอหน้านิ่งหน้าเดียว ไร้อารมณ์ทางสีหน้า แม้แต่ยิ้มเขาก็ยิ้มไม่เป็น แต่ก็ตกใจเมื่อเขายิ้มให้ตัวเองคนเดียว จะบ้าเหรอเขาเป็นอาจารย์ของเธอ และเธอกก็เคารพเขามาตลอด จะให้รักได้ยังไงกัน ++++++ “เอ้า...ปากกา เซ็นเอกสารแล้วค่อยนอนต่อก็ได้” “ค่ะ” เธอรับปากกาที่เขายื่นให้พร้อมกับเซ็นชื่อตรงที่เขาชี้มือ “เรียบร้อย ตอนนี้เธอเป็นเมียฉันแล้วนะ” “ยังไงคะ?” ถามทั้งๆ ที่นั่งหลับ “ก็เราจดทะเบียนสมรส..
ในฐานะแพทย์ฝึกหัดอย่างจงกลนี พิทักษ์ หรือเจเจ วัย 23 ย่าง 24 ปี มีความฝันอยากเป็นหมอ อยากเป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทเหมือนลูกชายของเพื่อนแม่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝัน เขาเป็นพี่ชายที่แสนดี แสนดีจริงๆ สำหรับจงกลนีแล้วเขมณัฎฐ์ ปองรักษ์ อาจารย์หมอหรือหมอเข้ม วัย 35 ย่าง 36 ปี ที่เคารพนับถือมาตลอด เขาเป็นอาจารย์ของเธอ แถมยังเป็นทายาทคนเดียวของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังขึ้นชื่อที่สุดในยุคนี้ และถือว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทมือหนึ่งของโรงพยาบาลก็ว่าได้ ถึงเขมณัฏฐ์จะยังหนุ่ม แต่ความสามารถของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่แล้ว พ่อของเขาผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ หัวใจวายเ
ฉียบพลันจากไป เขาก็เข้ามาควบคุมบริหารอย่างเต็มตัว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเป็นแค่ผู้ช่วยของพ่อเท่านั้น
ในฐานะอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองอย่างเขมณัฏฐ์แล้ว เขามองดูเด็กสาวมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต จนตอนนี้มาเป็นลูกศิษย์ของเขา ใบหน้าที่สวยตามวัย ผิวพรรณขาวอมชมพู ใบหน้ารูปไข่ทำให้เขามองเพลินทุกครั้งที่เจอหน้าหรือพูดคุยกัน จะเป็นแพทย์โดยสมบูรณ์ได้ต้องเป็นแพทย์ฝึกหัดหนึ่งปีหลังจากที่เรียนจบหลักสูตร 6 ปีแล้ว
“อาจารย์หมอคิดอะไรอยู่คะ” จงกลนีถามอาจารย์หมอที่ตัวเองเคารพตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อตั้งแต่เข้ามาพบเขาในห้องทำงานส่วนตัว เขาก็เอาแต่จ้องมองเธอไม่พูดไม่จา ในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ของเธอต่างตั้งฉายาให้เขาว่า ‘อาจารย์หมอหน้าเดียว’
“เย็นนี้ไปไหนไหม” เขาถามคนตัวเล็กทันที
“ก็มีไปดื่มกับเพื่อนๆ ที่เป็นแพทย์ฝึกหัดด้วยกันค่ะ อาจารย์หมอ...”
“อยู่ด้วยกันสองคนไม่ต้องเรียกอาจารย์ก็ได้ เราคนกันเอง” เขารีบเอ่ยแทรกตัดประโยคของคนตัวเล็ก ไม่ชอบเลยที่เธอเรียกห่างเหินแบบนี้
“ค่ะหมอเข้ม” ไม่เรียกอาจารย์หมอ แต่ยังคงเรียกเขาหมอเหมือนเดิม
“ทำไมไม่เรียกว่าพี่เข้มเหมือนสมัยเด็กๆ ล่ะ” เขาขัดใจนัก คนตัวเล็กยังคงดื้อเหมือนเดิม แม้จะไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่เธอเรียนแพทย์ จนมาเจอกันเมื่อสองเดือนก่อน ตอนเห็นรายชื่อนักศึกษาจะมาฝึกงานด้วย เมื่อเห็นชื่อเธอ เขาดีใจมากที่จะได้เจอน้องสาวที่น่ารักของตัวเอง แต่พอมาเจอกัน การปฏิบัติตัวและการแสดงออกของเธอแตกต่างจากเมื่อครั้งยังเด็กจนเขารู้สึกน้อยใจและเสียใจอยู่ในที แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ตอนนี้ดิฉันไม่ใช่เด็กแล้ว เห็นทีจะไม่เหมาะค่ะ อีกอย่างที่นี่ก็โรงพยาบาลด้วย”
เธอเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเอง ใครจะอยากสนิทกับคนหน้าเดียวล่ะ ตอนไหนโกรธ ตอนไหนอารมณ์ดี แยกไม่ออกเลย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาและเห็นมาตลอด เขามีแต่หน้านิ่งๆ มองแล้วโลกมืดมนไปหมด ดูยังไงก็ไม่สดใส เสียดายหน้าตาหล่อเสียเปล่า แต่กลับยิ้มไม่เป็น
“แต่นี่ห้องทำงานส่วนตัวของพี่” เขาบอกเธอ
“ค่ะ แต่ก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะเราไม่ได้สนิทอะไรกัน ว่าแต่หมอเข้มมีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ พอดีจะรีบไปค่ะ เพื่อนๆ รออยู่”
“ไปดื่มร้านไหน”
“ก็ร้านนั่งชิลฟังเพลงเบาๆ แถวโรงพยาบาลเนี่ยแหละค่ะ” เธอบอก
“พักที่หอพักหรือคอนโด”
“ถามทำไมคะ”
“แม่พี่ให้ถาม จริงๆ วันนี้แม่ให้ชวนเจเจไปทานมื้อเย็นด้วยนะ ตั้งแต่เจเจมาเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลของเรา เจเจก็ยังไม่ได้แวะไปหาแม่พี่เลย และน้ายาก็โทรมาย้ำให้พี่ดูแลเราด้วย” ไม่รู้ทำไมเธอถึงมาฝึกงานที่กรุงเทพฯ ทั้งๆ ฝึกงานที่ขอนแก่นก็ได้ แต่ทำไมถึงทำเรื่องขอมาฝึกที่โรงพยาบาลของเขาด้วย ข้อนี้เขาไม่เข้าใจหญิงสาวว่าทำไมต้องมาลำบากตัวคนเดียวในกรุงเทพฯ ด้วย
“ขอบคุณนะคะ แต่ดิฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ และฝากบอกป้าขวัญด้วยนะคะ เดี๋ยวว่างๆ จะแวะไปหาที่บ้านค่ะ แต่วันนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะนัดเพื่อนไว้แล้ว” เธอบอกอีกฝ่าย
“รู้ว่าโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ แต่ยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี พักที่ไหน” เขายังคงถามคำถามเดิม
“พักที่หอพักที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ค่ะ”
“สะดวกสบายไหม”
“ก็โอเคค่ะ อยู่กับเพื่อนๆ” เธอบอกเขา
“มาอยู่คอนโดก็ได้นะ พี่มีคอนโดที่ไม่ได้อยู่ และอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเราด้วย” เขาบอกเธอ
“ไม่ดีกว่าค่ะ ดิฉันอยากอยู่กับเพื่อนๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวนะคะหมอเข้ม” พูดจบเธอก็ยกมือไหว้ลาอย่างคนมีมารยาทแล้วเดินไปยังประตูและเปิดออกจากห้องไป
เฮ้อ!
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานทันที มองเธอจนประตูปิดแนบสนิท ทำไมน้องน้อยที่เคยตามติดเขาสมัยเด็ก พอโตมาถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ ตลอดเวลาที่เธอมาฝึกงานที่นี่ มาเป็นลูกศิษย์คอยเดินตามเขาตลอดการสอนที่มีเคสพิเศษๆ สำหรับนักศึกษาแพทย์ เขาพยายามมากเพื่อจะเข้าหาเธอ แต่เหมือนว่าจงกลนีจะสร้างกำแพงขวางทางเขาไว้
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
“ครับแม่ขวัญ” เขาคว้าโทรศัพท์มากดรับสายพร้อมกรอกเสียงทุ้มสุภาพส่งไปในสาย
“ว่ายังไงหมอเข้ม เจเจจะมาทานข้าวเย็นกับเราไหม”
“เจเจมีนัดแล้วครับแม่”
“แม่อดเจอน้องเลย งั้นไม่เป็นไรลูก ว่าแต่เย็นนี้ลูกจะกลับมากินมื้อเย็นกับแม่ไหมหมอเข้ม หรือว่าติดเวรรึเปล่าเย็นนี้”
“วันนี้ว่างครับแม่ขวัญ อีกอย่างใครจะปล่อยให้แม่ที่รักกินข้าวเย็นคนเดียวครับ” คำพูดกับใบหน้าที่แสดงออกมาต่างกันลึกลับ ก็หน้าของเขายังคงนิ่งตึงเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่คำที่พูดนั้นเป็นคำพูดเอ่ยแซวหยอกเย้าผู้เป็นแม่ แต่ก็นั่นแหละสำหรับเขาไม่ว่าจะเสียใจ โกรธ หรือมีความสุข เขาก็มีหน้าเดียว
“จ้า งั้นแม่สั่งเด็กทำของโปรดลูกไว้นะ”
“ครับแม่ ขอบคุณนะครับ”
“จ้า ขับรถกลับบ้านดีๆ นะลูก”
“ครับ เจอกันที่บ้านนะครับ” แล้วก็กดวางสายจากแม่ที่รักแล้วอ่านเอกสารตรงหน้าต่อเพื่อจะได้เซ็นอนุมัติงบประมาณให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้านไปทานมื้อเย็นกับคุณแม่ที่รักของตัวเอง
หลังทานมื้อเย็นอิ่มแล้ว สองแม่ลูกก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ลูกชายอ่านหนังสือเกี่ยวกับระบบประสาทเป็นผลงานวิจัยของต่างชาติ ส่วนแม่ก็ปักผ้าเช็ดหน้าเป็นงานอดิเรกเหมือนที่เคยทำทุกวันยามว่าง นอกจากปักผ้าเช็ดหน้าแล้วก็มีทำสวน ปลูกต้นไม้ จัดสวน
“หมอเข้ม” นางวางมือจากผ้าที่ปักอยู่เอ่ยเรียกลูกชายที่สนใจแต่หนังสือในมือ
“ครับแม่ขวัญ” เขาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองไปยังแม่ที่นั่งอยู่โซฟาตัวยาวตรงข้ามตัวเอง
“เมื่อไหร่ลูกจะมีสะใภ้ให้แม่ และมีหลานให้แม่สักที แม่เหงานะหมอเข้ม”
“ยังไม่ถึงเวลาครับ”
“แล้วเวลาของหมอเข้มมันคือเมื่อไหร่ ตอนนี้สามสิบห้าย่างสามสิบหกแล้วนะลูก หมอเข้มแก่แล้วนะ”
นางล่ะเหนื่อยใจกับลูกชายจริงๆ ไปดูตัวก็หลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่ก็ไปทำหน้านิ่งๆ มึนๆ ไร้อารมณ์ให้คู่ดูตัวหงุดหงิดหนีกลับตลอด จนตอนนี้ไม่มีใครกล้าให้ลูกสาวนัดดูตัวกับลูกชายของนางแล้ว แม้จะหล่อ โปรไฟล์ดี เพียบพร้อมทางฐานะด้านการเงินและงาน แต่ก็ไม่มีใครต้องการ เพราะเขมณัฏฐ์นั้นไร้ซึ่งอารมณ์ตอบสนองกลับสาวๆ ที่มาดูตัวทุกครั้ง พูดอะไรก็ไม่แคร์ใครจนสาวๆ หวาดกลัว ยิ่งหน้าดุๆ ด้วยแล้วยิ่งทำให้น่ากลัวไปอีก
“แล้วหน้าน่ะหัดยิ้มบ้าง หัดยิ้มในกระจกวันละครั้งสองครั้งบ้างก็ดีหมอเข้ม แม่ล่ะอยากรู้จริงๆ เลยยามลูกรักษาคนไข้ลูกหน้าไร้ความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า”
“ที่ผมรักษามาก็มีตายแค่ไม่กี่คนนะครับ ที่เหลือคือรอดและมาขอบคุณผมด้วยซ้ำ” เขาตอบแม่พร้อมหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย นั่นแหละคือยิ้มของลูกชายนาง
“เฮ้อ! ชาตินี้แม่จะได้เห็นหน้าสะใภ้และหลานไหมเนี่ย ถ้าลูกยังเป็นแบบนี้ เพื่อนๆ ของแม่ก็ไม่กล้าส่งลูกสาวมาดูตัวด้วยแล้วนะหมอเข้ม”
“แม่จะรีบไปไหนครับ ผมยังไม่รีบเลย อีกอย่างตอนนี้ผมก็ดูๆ อยู่” เขาบอกแง้มเล็กน้อยในท้ายประโยค นั่นแหละทำให้ขวัญตาลุกจากโซฟาตัวที่ตัวเองนั่งไปนั่งเบียดลูกชายทันที
“ว่าไงนะหมอเข้ม หมอเข้มมีดูๆ แสดงว่าตอนนี้มีคนที่ชอบแล้วใช่ไหม”
“ก็ชอบมาตั้งนานแล้วครับ เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น” เขาตอบเสียงเรียบ
“ลูกเต้าเหล่าใครหมอเข้ม” นางเขย่าแขนลูกชายด้วยความอยากรู้
“ถึงเวลาแม่ขวัญก็รู้เองแหละครับ รับรองแม่ขวัญจะรักเธอแน่นอน เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ แม่ขวัญก็รีบนอนนะครับ พรุ่งนี้ต้องใส่บาตรให้พ่อแต่เช้า”
“ให้แม่เตรียมของใส่บาตรให้ด้วยไหมหมอเข้ม”
“ครับ หนึ่งชุดเหมือนเดิม”
“จ้า งั้นลูกไปนอนพักผ่อนเถอะ รีบๆ พาสะใภ้มาไหว้แม่เร็วๆ นะลูก ถ้าช้าแม่จะให้ลูกไปดูตัวกับลูกสาวเพื่อนแม่อีกนะ เห็นว่าเดือนหน้าจะกลับมาจากสเปน”
“ครับผม” เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
ส่วนขวัญตาก็รีบลุกกลับมานั่งที่เดิมของตัวเองแล้วดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะสองทุ่มเองจึงโทรหาเพื่อนรักที่อยู่ขอนแก่นอย่างจรรยาทันที เพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องลูกชายหน้าเดียวของตัวเอง ก็นางกลุ้ม เครียด กลัวว่าลูกชายจะเป็นอีแอบ ตั้งแต่เป็นหนุ่มจนตอนนี้ยังไม่เคยมีแฟนหรืออาจจะมีแต่นางไม่รู้ก็ได้ แต่คือไม่มีแหละ เพราะไม่เคยเห็นเขมณัฏฐ์เล่าเรื่องผู้หญิงหรือพาผู้หญิงมาบ้านเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่หน้าตาก็ดี รูปร่างก็ดี ดีกว่าพระเอกดาราหนังเสียด้วยซ้ำ แต่กลับไม่สนใจผู้หญิงที่ไหนเลย ทั้งที่สาวๆ ที่นัดดูตัวนั้นก็สวยใช่เล่น แต่เจ้าลูกชายก็ทำเสียเรื่องทุกครั้ง เพราะบุคลิกหน้าตาของเจ้าตัวดีนั่นแหละที่ทำให้สาวๆ หนีไปหมด
เกือบหนึ่งพันปีที่เฝ้ามอบถวายชีวิตของตัวเองคอยรับใช้นายท่านนาสูร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอนาคตตัวเอง เขากลับเคว้งคว้างเดินไม่ถูก และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อโชคชะตาส่งเด็กน้อยตัวเล็กอายุไม่กี่เดือนมาให้เขาได้ดูแล ‘เดหลี’ เขาดูแลเด็กน้อยไม่ต่างจากลูก แม้จะรู้ดีว่าอนาคตเด็กคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ‘พาที’ นั่งใช้ความคิดอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นของบ้านที่ตนเองและเดหลีอาศัยอยู่ด้วยกัน เพลานี้เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เผลอแป๊บเดียวจากเด็กน้อยงอแงเอาแต่ใจ นอนตัวแดงแบเบาะ ตอนนี้รู้ความและขี้อ้อนมาก “คุณพาทีคะ คุณพาทีคะ” “หืม! เด็กน้อย” คนถูกเรียกหันมาหาเจ้าของเสียงเล็กสดใสของหนูน้อยวัยเจ็ดขวบ “แต่งงานคืออะไรคะ?” หนูน้อยเกาะแขนของผู้เปรียบเสมือนพ่อของตนเอง “คือคนสองคนรักกัน แล้วก็แต่งงานกัน เดี๋ยวโตขึ้นเดหลีก็จะเข้าใจเอง” พาทีลูบหัวหนูน้อยหน้ากลมที่แนบแขนตัวเองและกำลังแหงนเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าตัวเอง เหมือนเขาที่กำลังก้มมองหน้ากลมๆ อ้วนๆ ของหนูน้อย “งั้นโตขึ้นเดหลีจะแต่งงาน และคุณพาทีต้องแต่งงานกับเดหลีด้วยนะคะ” “แต่งงานน่ะแต่งได้ แต่กับฉันไม่ได้เดหลี” “ทำไมไม่ได้คะ เดหลีรักคุณพาที ถ้าไม่แต่งกับคุณพาทีจะให้หนูแต่งกับใครคะ” หนูน้อยเจ็ดขวบตอบอย่างฉะฉาน ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ และ ‘แต่งงาน’ “โตขึ้นเธอจะรู้เองเดหลี ตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันเอานมร้อนไปให้ดื่มก่อนนอนนะ” “อุ้มค่ะ” หนูน้อยยอมผละแขนสั้นๆ ที่กอดแขนใหญ่ออกมากางให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองกลับห้องนอน พาทียกยิ้มเอ็นดูท่าทางของหนูน้อยแล้วก็ช้อนอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาพาเดินกลับห้องนอนด้วยเวลานี้ดึกมากแล้ว
“อ่ะ...อื้อ” เธอเบิกตากว้างในความมืดสลัวเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกคุกคามยามดึก “ชูว์! ฉันเองเด็กน้อย” เขายกมือมาปิดปากเธอพร้อมบอกให้รู้ว่าคือเขา “คุณนาสูร” “ใช่ ฉันเอง ก็บอกแล้วไงว่าเจอกัน” “ฟ้าอยู่” “เธอไม่ตื่นหรอก” เขาบอกตอบกลับ “แต่ไม่ได้นะคะ เราจะ...” “ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันหิวมาหลายวันแล้วน้อง เธอก็รู้ว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน” เขารีบบอกสวนกลับโดยที่เธอยังพูดไม่สุดประโยคความ “พรุ่งนี้ฟ้าก็กลับแล้ว” เธอบอกพร้อมดันเขาไปนอนข้างๆ ตัวเองที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ “ไม่มีพรุ่งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องการวันนี้เด็กน้อย ขอเถอะนะ เพื่อนเธอไม่มีทางตื่นถ้าฉันไม่สั่งให้ตื่น เรามามีความสุขกันเถอะนะ ฉันรู้ว่าเธอเองก็โหยหาฉัน” มือใหญ่สอดเข้าไปในใต้ผ้าห่มแล้วบีบเคล้นเต้าของเธอ “อ่ะ...อื้อ คะ...คุณนาสูร ยะ...อย่าทำแบบนี้ค่ะ น้องอาย ถึงฟ้าจะไม่ตื่น แต่ฟ้าก็นอนอยู่ข้างๆ นะคะ” พึ่บ! แล้วผ้าห่มที่เธอแบ่งกันกับเพื่อนห่มนั้นก็ถูกถลกดึงรั้งขึ้นไปคลุมหัวของฟ้าใสทันที --- สวัสดีนักอ่านทุกคนค่ะ ณิการ์ขอฝากรูปเล่มนิยายเรื่อง “นาสูร” ภายใต้นามปากกา “ยักษ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องราวของยักษ์ที่มาอายุนับพันกว่าปีกับมนุษย์สาวคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นนิยายแฟนตาซีอีโรติกค่ะเรื่องนี้ “นาสูร” เป็นยักษ์ที่หิวกามมาก กินดุมาก เขาไม่สนใจเนื้อเท่ากับลีลารักบนเตียง และ “พุดซ้อน” ก็สนองตัณหาของเขาได้ดีทีเดียว แล้วเขาทั้งสองจะรักกันได้ยังไง เมื่อทั้งสองต่างแตกต่างกัน มาลุ้นไปกับความรักของยักษ์และมนุษย์ด้วยกันนะคะ
เรื่อง “มังกรกัณฐ์” นามปากกา “ยักษ์” ภาคต่อ “นาสูร” ด้วยนะคะ นิยายชุดนี้จะมี 3 เรื่องนะคะ นาสูร(อีบุ๊กพร้อมโหลด),มังกรกัณฐ์(อีบุ๊กพร้อมโหลด) และกลืนกิน(กำลังเขียน) วันนี้ฝากเรื่อง “มังกรกัณฐ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องของลุกชายพ่อนาสูรมาลุ้นไปกับความรักความหื่นและความเอาแต่ใจของหนุ่มลูกครึ่งยักษ์กันนะคะ
“ไอ้พร้อม ไอ้ห่า มึงมันหยาบเกินคน มึงไม่เป็นลูกผู้ชาย” “ก่อนจะว่าแบบนั้น มึงดูเอ็นกูยัง มึงดูเอ็นกูแข็งร้อนขนาดนี้ มึงยังปากดีว่ากูไม่เป็นลูกผู้ชายอีกเหรอ”
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนสองคนไม่เคยเจอกัน ไม่เคยรู้จักกัน แต่ต้องมาแต่งงานกัน แน่นอนว่าการคลุมถุงชนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะคนแก่ทั้งสองที่ให้คำมั่นสัญญากัน พวกเขาที่เป็นหลานจึงจำต้องแต่งงานกัน "น่านน้ำ" หนุ่มเจ้าของไร่กาแฟ กับสาวมั่น "พิมพ์มาดา" ที่ต้องมาเจอกัน ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังใครง่ายๆ ต่างคนต่างดื้อ และการคลุมถุงชนครั้งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น แล้วเรื่องราววุ่นวายจึงเกิดขึ้น หนี....ใช่ต้องหนีเท่านั้น....แต่หนีไปไงมาไงมา "รัก" กันได้ไง ที่สำคัญหนีไปหนีมามาเจอพ่อคน "เซ็กส์จัด" ใช่ค่ะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเซ็กส์จัดจนต้องยอมแพ้....และเธอก็ชอบความหื่น ห่าม ถ่อย ของคนที่ชังหน้าแบบไม่รู้ตัว......และน่านน้ำก็หลงเจ้าสาวจอมดื้อแบบไม่ตั้งใจรักเช่นกัน...... ------------ “นายทำบ้าอะไรของนาย” “ลงโทษเมีย” น้ำคำห้วนๆ ตอบกลับทันควัน พร้อมกับจ้องหน้าสวยที่ตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในตัวเขาอยู่ในที แล้วเรื่องอะไรเขาต้องสนใจสายตาเกลียดชังที่หล่อนส่งมาให้ด้วยเล่า ในเมื่อพิมพ์มาดาเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นายน่าน” เธอสั่งเสียงแข็งไม่ยอมเช่นกัน พร้อมดิ้นหนีจากแรงกดของบุรุษที่คร่อมเหนือตัวเองอยู่ในตอนนี้ เขาบังคับให้เธอพิงไปกับพนักโซฟาและตัวเขาก็คร่อมกักร่างเธอไว้ โดยมีสองมือใหญ่กดหัวไหล่เธอให้อิงพิงไปกับพนักเก้าอี้ สองมือทุบตีไปกับหน้าอกแกร่งแต่เหมือนกับว่าทุบกำแพงหินผาเจ็บมือเสียแรงเปล่า “ทำไมฉันต้องปล่อยด้วย เธอคิดยังไงถึงไปคบกับไอ้ปลัดธนูนั่นทั้งๆ ที่มีฉันเป็นผัวทั้งคน หรือฉันคนเดียวไม่พอฮึดา” โน้มหน้าลงไปเอ่ยข้างหูเธอพร้อมกับกัดดึงหูเธอแรงๆ ด้วยความโมโห “โอ๊ย! ฉันเจ็บนะไอ้ซาดิสม์!” “ก็กัดให้เจ็บ ถ้าไม่เจ็บจะกัดทำไมวะ บอกฉันมาไปถึงไหนต่อไหนกับมันแล้ว” เงียบ! ปากช่างเจรจาของสาวจอมพยศเม้มแน่นไม่ปริปากตอบเมื่อเขาถาม และนั่นยิ่งกระตุ้นไฟโทสะในอกของน่านน้ำไปใหญ่ “ฉันถามเธออยู่ทำไมไม่ตอบ” เขากระชากเสียงถามเธอดังกว่าเดิม และครั้งนี้ก็บีบหัวไหล่ของเธอที่กดไปกับพนักโซฟาด้วย “เจ็บนะเว้ย! นายมันบ้าไปแล้วนายน่าน นายมันคนซาดิสม์ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันเจ็บ” ทุบตีแขนของเขาให้นำพามือที่บีบหัวไหล่ตัวเองออก ตอนนี้ดวงตาสวยสดใสได้อาบล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือจากหัวไหล่แต่เขากลับทำตรงกันข้ามคือบีบแรงกว่าเดิม “ฉันไม่ใจอ่อนกับน้ำตาของผู้หญิงอย่างเธอหรอกนะดา อย่ามาบีบน้ำตาปัญญาอ่อนต่อหน้าฉัน” น้ำเสียงเฉียบขาดเอ่ยขึ้นพร้อมกับผละมือข้างขวามาบีบคางเล็กของเธอให้แหงนเงยเชิดหน้าขึ้นสบตาตนเอง แล้วเขาก็โน้มลงไปบดขยี้ปากอวบอิ่มสีระเรื่อที่เม้มแน่นของหล่อนจริงๆ ในเมื่อไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้ว เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการทำให้พิมพ์มาดาจำ จำว่าร่างกายของหล่อนคือของเขา นายน่านน้ำไม่ใช่ของใครอื่นที่ไหน ผู้ชายหน้าไหนก็ห้ามแตะ เพราะเนี่ยคือสมบัติของเขา ถ้าเขาไม่ยกให้ใครหน้าไหนก็ห้ามพาหล่อนหนี “อ่ะ อื้อ.....
หอบผ้าหอบผ่อนข้ามน้ำทะเลเพื่อมาบอกเขาว่า "ท้อง" กับเขา นึกว่าเขาจะดีใจเธอคิดผิด เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากนั่นคือความใจร้ายของเขา ทำไมกัน ทำไมเขาถึงจงเกลียดจงชังเธอนัก --------------- “พี่จะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอท้อง” “พี่มาร์คก็พาไวน์ไปตรวจสิคะ และก็พาฝากท้องด้วย ที่ไวน์มาที่นี่เพราะไวน์มาหาพ่อให้ลูก ไวน์ยังไม่ได้บอกทุกคนหรอกค่ะว่าไวน์ท้อง” “ยังไงพี่ก็รับผิดชอบเธอไม่ได้ พี่ไม่ได้รักเธอไวน์ ได้ยินไหม พี่ไม่ได้รักเธอ พี่มีแฟนแล้วและพี่ก็รักเธอมาก ถึงไวน์จะท้อง พี่ก็จะรับแค่ลูก แต่ตัวไวน์ พี่ไม่ต้องการ เรื่องลูกถ้าท้องจริงพี่ยินดีรับแน่นอน” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พูดตามที่สมองประมวลผลออกมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจยอมรับวรนิษฐ์ได้ เขาไม่ได้รักเธอและไม่เคยคิดจะรักด้วย “หมายความว่ายังไงคะ พี่มาร์คจะไม่รับผิดชอบไวน์เหรอคะ พี่มาร์คได้ไวน์แล้วและพรากพรหมจรรย์ไวน์ไปด้วย” “ผู้ชายสมัยนี้เขาไม่แคร์พรหมจรรย์กันแล้วไวน์ ไวน์เองก็น่าจะรู้ดีว่ายุคนี้มันยุคไหนแล้ว ไวน์ก็โตที่เมืองนอก ไวน์น่าจะรู้ดี” “สำหรับคนอื่นไวน์ไม่รู้ แต่สำหรับไวน์มันสำคัญมาก ยังไงพี่มาร์คก็ต้องรับผิดชอบไวน์ แต่งงานกับไวน์ ถ้าพี่มาร์ครับผิดชอบ ไวน์จะบอกคุณย่ากับคุณพ่อว่าไวน์ท้อง” “อย่ามาขู่พี่” “ไม่ได้ขู่ ไวน์พูดจริงทำจริง” “คิดว่าพ่อกับคุณย่าจะบังคับพี่ได้งั้นเหรอ จำไว้ว่าพี่ไม่มีวันรักเธอ เรื่องลูกพี่จะรอเขาคลอดแล้วเอามาเลี้ยงเอง ผู้หญิงคนเดียวที่พี่รักคือแพร” พูดจบแล้วเขาก็ลุกเดินออกจากห้องของเธอไปด้วยความเดือดดาล กล้านัก กล้าขู่เขาว่าจะบอกพ่อกับคุณย่า คิดว่าเขาแคร์เขาสนใจรึไง เชิญเลย แต่ถ้าจะให้รับผิดชอบไม่มีทาง เขาไม่ได้รักวรนิษฐ์ --------- “นี่มันอะไรกันไวน์” เมื่อปลายสายกดรับสาย เขาก็กระชากเสียงถามไปในสายทันที “อะไรคะ?” เธอถามเขาอย่างงงๆ ไม่เข้าใจในความหมายของเขา “ก็หมายศาลไง ฟ้องหย่าเหรอ” “อ้อ...ค่ะ ก็พี่บอกไม่ยอมหย่าเอง ไวน์เลยต้องพึ่งศาล” “นี่เอาจริงเหรอ?” “แล้วไวน์บอกเหรอคะว่าพูดเล่น ถ้าไม่อยากให้ถึงศาลก็ยอมเซ็นใบหย่าให้ไวน์สิคะ เรื่องจะได้จบๆ” “ไม่มีทาง! ยังไงพี่ก็ไม่หย่าหรอก ไม่รักพี่แล้วเหรอ?” เขาถามเธอในท้ายประโยคและหวังว่าเธอจะตอบกลับมาว่า ‘รัก’ แต่กลับตรงกันข้าม
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี