นิยายเรื่องนี้เป็นแนวท่านประธานคลั่งรักค่ะ “ลูคัส” กับ “ปิ่นปัก” มาลุ้นไปกับความรักของท่านประธานขี้หวงกับเมียเด็กจอมเย็นชากันนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นแนวท่านประธานคลั่งรักค่ะ “ลูคัส” กับ “ปิ่นปัก” มาลุ้นไปกับความรักของท่านประธานขี้หวงกับเมียเด็กจอมเย็นชากันนะคะ
ร่างใหญ่บิดตัวไปมาบนเก้าอี้ที่นั่งอยู่เมื่อพนักงานทุกคนออกไปจากห้องประชุมกันหมด จะเหลือก็แต่ตนกับเลขาส่วนตัว เขาจึงบิดตัวผ่อนคลาย สี่ชั่วโมงกับการประชุมหาข้อตกลงเรื่องธุรกิจที่ส่งไปเมืองจีนมีปัญหา และกว่าจะหาข้อสรุปได้ก็กินเวลานานจนตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว
“ท่านประธานคะ”
เสียงเล็กหวานทำให้เขาต้องยืดตัวนั่งตัวตรงแล้วก็มองเจ้าของต้นเสียงคุ้นเคยที่ตนได้ยินทุกวัน
“เราอยู่กันแค่สองคน ไม่ต้องมากพิธีหรอกปิ่นปัก”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ที่นี่ที่ทำงาน อีกอย่างตอนนี้ดิฉันยังทำหน้าที่เลขาอยู่”
“อือ...แต่ตอนนี้ก็เลยเวลาเลิกงานแล้ว ทำไมไม่กลับล่ะ”
“ก็ท่านประธานยังไม่กลับ เป็นเลขาจะกลับก่อนท่านประธานได้ยังไงคะ”
อือ!
ลูคัส ทรัพย์วิเศษ วัย 35 ปี ลูกครึ่งไทย-สเปน มารดาเป็นลูกครึ่งไทย-สเปน ส่วนบิดาเป็นคนไทยแท้ และเขาเป็นทายาทรุ่นที่เจ็ด สืบทอดบริษัท “T Home Furniture” เป็นบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ลักซ์ชัวรี่อันดับต้นๆ ของเมืองไทย และมีชื่อเสียงในต่างประเทศ
ปิ่นปัก โชคเจริญ วัย 26 ปี หญิงสาวที่เติบโตมาในครอบครัวธรรมดา แต่ว่าได้รับโอกาสดีๆ ได้เข้ามาทำงานในบริษัทใหญ่อย่างบริษัท T Home Furniture แม้ว่าในตอนแรกจะยากลำบากในการทำงานเป็นเลขาของท่านประธานหนุ่ม แต่ก็ผ่านมาสองปีแล้วกับตำแหน่งเลขาท่านประธาน และถึงเธอจะเป็นเพื่อนสนิทกับโอลิเวีย น้องสาวท่านประธาน เป็นเพื่อนบ้านบ้านติดกันก็ได้หาใช้ความสนิทเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ไม่ ทุกอย่างที่เธอได้มาในวันนี้คือความสามารถของเธอทั้งนั้น
“ท่านประธานจะกลับหรือว่าจะทำงานที่บริษัทต่อคะ เดี๋ยวดิฉันจะได้ชงกาแฟให้ค่ะ”
“ไม่ล่ะ จะกลับบ้าน แล้วเนี่ยวันนี้ไม่ได้ขับรถมาใช่ไหม กลับพร้อมพี่แล้วกัน” แล้วประธานหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวคนอื่นเห็นจะไม่เหมาะค่ะ ดิฉันนั่งรถเมล์กลับดีกว่าค่ะ”
“จะนั่งรถเมล์กลับทำไม ไหนๆ เราก็กลับทางเดียวกันอยู่แล้วนี่”
“อย่าดีกว่าค่ะ มันไม่เหมาะ ขอตัวก่อนนะคะ” แล้วปิ่นปักก็เดินออกจากห้องประชุมไป เธอไม่นั่งรถออกไปกับประธานหนุ่มหลังเลิกงาน ด้วยกลัวว่าจะตกเป็นขี้ปากของพนักงานคนอื่นๆ ในบริษัท
ลูคัสมองตามแผ่นหลังเลขาแล้วก็บุ้ยปากเล็กน้อยแล้วเดินตามออกไป
กว่าจะถึงบ้านก็หกโมงกว่า รถติดมาก ใช้เวลานั่งรถเมล์เป็นชั่วโมงกว่าจะถึงป้ายรถเมล์หน้าปากซอยของบ้าน พอมาถึงก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์มาบ้านของตน เป็นแบบนี้ประจำเวลาไม่ได้ขับรถไปทำงานเอง
“กลับมาแล้วเหรอลูก” ปราณีถามลูกสาวที่เดินห่อไหล่เข้ามาในบ้าน สภาพดูกระเซอะกระเซิงจนนางอดยิ้มขำไม่ได้
“สวัสดีค่ะแม่ณี วันนี้มีอะไรทานมั่งคะ ปิ่นปักหิวจังค่ะแม่” เธอเดินห่อปากเข้าไปในห้องนั่งเล่นทิ้งตัวลงบนโซฟา
“เมื่อเช้าเราบอกอยากกินข้าวผัดปู แม่เลยให้น้าหมูทำให้น่ะ”
“ขอบคุณนะคะแม่ณี เดี๋ยวปิ่นปักไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องก่อนนะ แล้วเรามาทานมื้อเย็นด้วยกันค่ะ”
“อือ...เดี๋ยวแม่ไปให้น้าหมูเตรียมโต๊ะทานข้าวรอ”
“ค่ะแม่” แล้วเธอก็ลุกจากโซฟาที่เพิ่งทิ้งตัวนั่งออกไป
นางปราณียิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเล็กแล้วก็ลุกจากโซฟาที่นั่งไปหาแม่บ้านของตัวเองเพื่อให้เตรียมโต๊ะทานมื้อเย็น
กำลังทานมื้อเย็นกันสองคนแม่ลูกเหมือนทุกวัน เพราะตั้งแต่สามีจากไป ลูกสาวคนโตแต่งงานแยกออกไปอยู่ข้างนอกกับสามี ก็เหลือกันสองคนในบ้านหลังนี้ แม้บ้านหลังไม่ใหญ่มาก แต่พอเหลือกันสองคนก็ดูหลังใหญ่ ถึงจะมีแม่บ้านอาศัยอยู่ด้วยก็ตาม
“แม่คะ ที่ร้านอาหารเป็นยังไงมั่งคะตอนนี้” ปิ่นปักถามแม่ถึงร้านอาหารจีน ธุรกิจของครอบครัว
“ก็เรื่อยๆ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจีนมีมาทุกวัน”
“แสดงว่ารายได้ดีใช่ไหมคะ”
“อือ...แล้วงานที่ทำของหนูล่ะปิ่นปัก”
“ก็เรื่อยๆ ค่ะแม่ณี งานเลขาก็มีหนักบ้างเบาบ้างแล้วแต่วันค่ะ วันไหนสินค้ามีปัญหา วันนั้นปิ่นปักไม่อยากจะพูดเลยค่ะแม่ณี”
“ไม่สู้ลาออกมาช่วยแม่ดูแลร้านอาหารจีนดีกว่าเหรอปิ่นปักฮึ”
“แม่คะ ให้ปิ่นปักทำงานอีกสักสามปีนะคะ เดี๋ยวจะลาออกมาช่วยงานที่บ้านค่ะ อีกอย่างพี่ปักมุกก็ช่วยงานที่ร้านอยู่”
“แต่พี่เราก็มีร้านขายยาที่ต้องดูแลนะ ไม่ได้มาช่วยแม่ที่ร้านบ่อยๆ”
“วันหยุดปิ่นปักก็ช่วยแม่ณีที่ร้านตลอดนี่คะ”
“พรุ่งนี้หยุด ลูกจะเข้าร้านแทนแม่ใช่ไหม”
“ค่ะ ปิ่นปักจะดูแลร้านเอง แม่ณีก็อยู่บ้านพักผ่อนที่บ้านนะคะ ทานกันเถอะค่ะ เดี๋ยวปิ่นปักต้องดูซีรีส์อีกค่ะ”
อือ!
คนเป็นแม่ครางรับ แล้วก็พากันสนใจมื้อเย็นของตนต่อ แต่แล้วบรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เงียบอีกครั้งก็กลับมามีเสียง เมื่อมีเสียงร้องไห้สะอื้นดังเข้ามาก่อนเจ้าตัวจะมา และไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร
“พี่ปักมุกคงทะเลาะกับพี่วิทย์อีกแล้วสินะแม่ณี” ปิ่นปักวางช้อนในมือลงกระทบจานแล้วมองไปทางหน้าประตูทางเข้าห้องรับประทานอาหารก็เห็นพี่สาววิ่งร้องไห้สะอื้นเข้ามา
ฮือๆๆ
“ครั้งนี้หนูจะหย่ากับพี่วิทย์จริงๆ แล้วนะคะแม่ อึก! ฮือๆๆ” วิ่งมากอดแม่ที่นั่งทานข้าว
“กี่ครั้งแล้วล่ะพี่ปักมุก” ปิ่นปักเห็นพี่สาวพูดแบบนี้ตลอดเวลาที่ทะเลาะกับพี่เขย
“ใจเย็นๆ ก่อน ครั้งนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เขามีกิ๊ก อึก! ฮือ...” ปักมุกผละออกมาจากแม่มาตอบแล้วดึงเก้าอี้ข้างๆ แม่ออกนั่งพร้อมยกมือเช็ดน้ำตา
“พี่ยังไม่ชินอีกเหรอพี่ปักมุก กี่ครั้งแล้วที่พี่จับได้ พี่วิทย์ก็ไม่เห็นเลิกนิสัยเจ้าชู้สักที”
เห็นร้องไห้แบบนี้กลับบ้านมาทุกครั้งเวลาจับได้ว่าสามีมีกิ๊ก แต่สุดท้ายก็กลับไปตายรัง พวกผู้ชายเจ้าชู้พวกนี้น่าขยะแขยงนัก เพราะเห็นชีวิตแต่งงานพี่สาวเป็นแบบนี้เลยทำให้ปิ่นปักปิดใจไม่ยอมเปิดใจให้ใครเข้ามาทำร้ายตัวเอง และทำให้อยากครองตัวเป็นโสด แต่ติดตรงอยากมี ‘ลูก’ นี่สิ แต่แค่อยากมีแค่ ‘ลูก’ นะ ส่วนสามีไม่จำเป็น และยุคสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องแต่งงานมีสามีก็สามารถมีลูกได้ แค่มีเงิน และตอนนี้เธอก็เก็บเงินได้มากพอแล้วสำหรับที่จะทำให้ตัวเองท้องลูกหนึ่งคนได้
“เธอไม่เข้าใจพี่หรอกปิ่นปัก เธอไม่เคยมีความรัก” คนเป็นพี่สาวตอบกลับน้องสาว
“แต่ปิ่นปักก็ไม่ได้โง่ให้ผู้ชายสวมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“ปิ่นปัก!” ปักมุกเอ่ยด้วยความโกรธ
“พอได้แล้วลูก ว่าแต่ทานอะไรมารึยังปักมุก” ปราณีปรามลูกสาวก่อนที่จะทะเลาะกันใหญ่โต
“หนูทานไม่ลงหรอกแม่ณี ผัวหนูมีกิ๊กนะคะ”
“แต่ยังไงก็ต้องกินข้าวนะปักมุก หมูตักข้าวผัดให้ปักมุกหน่อย” นางร้องเรียกสั่งแม่บ้านให้ตักข้าวมาให้ลูกสาวคนโตตัวเองที่หน้าเปียกปอนไปด้วยน้ำตา
“ปิ่นปักอิ่มแล้วนะคะแม่ณี” แล้วปิ่นปักก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มแล้วลุกเดินจากไปปล่อยให้แม่อยู่ปลอบใจพี่สาวต่อ
โอลิเวียเดินหอบเอกสารเข้าบ้าน ช่วงนี้เธอยุ่งกับการหาข้อมูลและคัดหาพ่อพันธุ์ที่ดีที่จะมาบริจาคอสุจิให้เพื่อนรักตนเอง แต่ก็หาผู้ชายที่มีคุณสมบัติที่ดียากเหลือเกิน ถึงจะเจอ แต่เขาจะยอมบริจาคอสุจิให้ไหม นั่นค่อยมาลุ้นกันต่ออีกที และอีกอย่างคนที่จะบริจาคอสุจิจะยอมจดทะเบียนสมรสกับเพื่อนเธอไหมเนี่ยสิ
อุ๊ย!
เธอไม่ระวังเดินชนกับคนที่เดินสวนมาพอดีจนเอกสารในมือหลุดมือกระจายเต็มพื้น
“พี่ลูคัส”
“ทำไมไม่มองทาง” ลูคัสเอ่ยตำหนิน้องสาวแล้วย่อตัวก้มลงเก็บเอกสารให้น้องสาว ขณะเก็บเอกสารช่วยน้องสาวอยู่นั้น เขาก็ไล่สายตาอ่านผ่านๆ
“เนี่ยอะไรโอลิเวีย?” ลูคัสดึงเอกสารหนึ่งแผ่นไว้ไม่ยอมให้เจ้าของ
“อะไรคะพี่ลูคัส”
“ทำไมมีข้อมูลเกี่ยวกับการทำกิฟต์ฮึ” เขายืนขึ้นเต็มความสูง
โอลิเวียได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้าเงยหน้าสบตาพี่ชาย
“ตอบพี่มา อย่าบอกนะว่าคิดจะทำกิฟต์”
“ไม่ใช่โอลิเวียสักหน่อย”
“ไม่ใช่แล้วทำไมต้องอ่านเอกสารพวกนี้”
“ปิ่นปักต่างหากค่ะ อุ๊บ!” ไม่ทันแล้ว ยกมือปิดปากไม่ทันแล้ว แม้เพื่อนรักบอกว่าให้ปิดเป็นความลับ ปิดมาตลอดหนึ่งปี แต่วันนี้ความลับมาแตกเสียแล้ว แถมคนที่รู้ก็ดันเป็นพี่ชายเผด็จการของเธออีก
“ว่าไงนะ ปิ่นปักเพื่อนเราน่ะเหรออยากทำกิฟต์”
“เอ่อ...โอลิเวียขอตัวนะคะพี่ลูคัส” แล้วโอลิเวียก็วิ่งเข้าบ้านไป ไม่สนใจเอกสารอีกแผ่นในมือพี่ชายของตน
ลูคัสในเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว เขาตั้งใจจะมาว่ายน้ำผ่อนคลายก่อนมื้อเย็นสักหน่อย แต่ตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะไปว่ายน้ำแล้ว ร่างใหญ่หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านตามคนที่วิ่งหนีตนเพื่อจะเค้นเอาความจริงเรื่องนี้
ปึก! ปึก! ปึก!
มือใหญ่ทุบตีประตูห้องน้องสาวให้มาเปิดประตูให้ตนเอง
“โอลิเวียเปิดประตู” เสียงเข้มห้วนตะโกนสั่งเจ้าของห้องพร้อมทุบประตูเรียก
ปึก! ปึก! ปึก!
“ทุบอะไรหนักหนาพี่ลูคัส” เจ้าของห้องโวยวายพร้อมเปิดประตูห้อง
พอประตูห้องเปิดออก ร่างใหญ่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวก็แทรกตัวเข้าไปในห้อง
“มีอะไรคะพี่ลูคัส”
“มันหมายความว่ายังไง เล่ามาเดี๋ยวนี้” ลูคัสถามพร้อมยื่นกระดาษที่ตนถืออยู่ในมือให้น้องสาว
เฮ้อ!
โอลิเวียรู้นิสัยพี่ชายดี ถ้าอยากรู้ต้องได้รู้ และตนก็หนีไม่ได้แล้วจึงถอนหายใจแล้วปิดประตูห้องเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนนุ่ม
ลูคัสเดินตามน้องสาวไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างโอลิเวีย
“ว่ามา คิดจะทำอะไรกับปิ่นปัก”
“เปล่าสักหน่อย”
“เปล่าแล้วทำไมต้องทำกิฟต์ รู้ไหมว่าการจะมีลูกหนึ่งคนต้องแต่งงานก่อนถึงจะมีได้ และเขาถึงจะยอมทำกิฟต์ให้”
“รู้ค่ะ ตอนนี้โอลิเวียกับปิ่นปักกำลังหาคนที่จะบริจาคอสุจิให้อยู่ค่ะ และจะขอให้เขาจดทะเบียนเป็นสามีให้ด้วยค่ะ”
“คิดน้อย” ลูคัสเอ่ยสั้นๆ
“คิดน้อยอะไรคะ โอลิเวียกับปิ่นปักเตรียมกันมาเป็นปี ตอนนี้ก็เจอคนที่จะไปขอให้ช่วยได้แล้วค่ะ”
“ไร้สาระ!”
“อย่ามาดูถูกความตั้งใจของปิ่นปักนะคะพี่ลูคัส พี่ไม่รู้หรอกว่าปิ่นปักน่ะอยากมีลูกแค่ไหน”
“แล้วทำไมไม่มีแฟนแต่งงานดีๆ ล่ะ จะทำกิฟต์ทำไม”
“ก็เพราะผู้ชายดีๆ มันไม่มีไงคะ จึงอยากมีแค่ลูกไม่อยากมีผัว”
“เฮอะ! ดีเสียจริงความคิดเด็กสมัยนี้ เลิกคิดเรื่องพวกนี้ได้เลย พี่ไม่ยอมให้เราสองคนทำอะไรเด็กๆ แบบนี้หรอกนะ แล้วผู้ชายที่ไหนจะยอมจดทะเบียนแค่ในนามแล้วบริจาคอสุจิให้”
“ไม่ลองถามจะรู้ได้ไงคะ อีกอย่างเราก็ไม่ได้ให้บริจาคฟรี จดทะเบียนฟรีสักหน่อยค่ะ เรามีค่าจ้าง อีกอย่างระยะเวลาสองปีเอง หรือถ้าท้องก่อนกำหนดสัญญาก็หย่าได้ทันที เพราะเราต้องการแค่ลูกไม่ได้ต้องการพ่อ”
“ถ้าผู้ชายคนนั้นมันคิดอยากทำอะไรปิ่นปักเพื่อนเราจะทำยังไงโอลิเวีย”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ พี่โอบออกจะแสนดี อบอุ่น เขาไม่มีทางคิดเรื่องแบบนั้นกับปิ่นปักแน่นอนค่ะ”
“เฮอะ! โลกสวยจริงๆ”
“โลกสวยอะไรกันพี่ลูคัส อีกอย่างมีแค่พี่โอบแล้วตอนนี้ที่เหมาะที่สุด”
“แน่ใจว่ามีแค่นี้ที่เหมาะสม”
“แล้วจะมีใครอีกนอกจากพี่โอบ รุ่นพี่ของโอลิเวียกับปิ่นปัก”
“คิดดีๆ โอลิเวีย”
เธอขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
“ไม่มีแล้วจริงๆ นะคะพี่ลูคัส”
“พี่ชายของเธอไงโอลิเวีย” ว่าจะไม่พูดแล้ว แต่น้องสาวก็คิดไม่ออก มองไม่เห็นตัวเองสักที ลูคัสจึงเอ่ยบอก
“ฮะ! พี่ลูคัสเนี่ยนะ พี่จะยอมเป็นสามีในทะเบียนสมรสให้ปิ่นปักและยอมบริจาคอสุจิให้เพื่อนโอลิเวียจริงๆ เหรอคะ”
“ก็ดีกว่าให้เพื่อนโอลิเวียไปจดทะเบียนกับคนอื่นไม่ใช่เหรอ สู้จดทะเบียนสมรสกับคนที่ตนคุ้นเคยตั้งแต่เด็กไม่ดีกว่าเหรอ” ลูคัสเอ่ยอย่างมีเหตุผล
โอลิเวียเห็นด้วยกับความคิดของพี่ชายตน
“พี่ลูคัสพูดมามีเหตุผล แต่ปิ่นปักไม่ยอมแน่นอนค่ะ ถ้าเป็นพี่ลูคัส”
“ทำไมจะไม่ยอม พี่ก็ไม่ได้ขี้เหร่สักหน่อย อีกอย่างไอคิว อีคิวพี่ก็ใช่จะน้อย ยังไงซะท้องลูกพี่ก็ดีกว่าท้องลูกของผู้ชายที่เราจะไปจ้างไม่ใช่เหรอ พี่ไม่คิดเงินด้วย”
“พี่ลูคัสมีแผนอะไรรึเปล่าคะ ทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”
“ก็เพื่อนเราอยากมีลูก พี่ก็แค่อยากช่วยเหลือ” ตอนแรกเขาไม่เห็นด้วยจริงๆ แต่พอคิดดูแล้วเขาอยากฉวยโอกาสนี้ครอบครองแม่คนตัวเล็ก อยากรู้นักว่าจะทำหน้าเย็นชากับตนไปถึงเมื่อไหร่กัน
“แต่พี่ลูคัสแน่ใจนะคะว่าตัวเองปลอดภัยไม่ได้ติดโรคอะไร”
“พี่ป้องกันโอลิเวีย”
“อือ...ค่ะ งั้นโอลิเวียจะคุยกับปิ่นปักดูนะคะ”
“ไม่ต้อง หมดหน้าที่ของเราแล้ว ที่เหลือพี่จะคุยกับเพื่อนเราเอง”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
โอลิเวียไม่ทันได้ตอบพี่ชายกลับ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
“คุณท่านให้มาตามไปทานข้าวค่ะ” เสียงเรียกดังจากหน้าประตูห้อง
“ค่ะ เดี๋ยวโอลิเวียจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” โอลิเวียตอบกลับแล้วสาวใช้ก็เดินจากไป
“เรื่องนี้เก็บไว้เป็นความลับนะคะ เพราะมีแค่โอลิเวียกับปิ่นปักรู้กันสองคน ตอนนี้เพิ่มพี่ลูคัสมาอีกคน”
อืม!
ลูคัสครางรับปากแล้วก็ลุกจากเตียงเดินไปยังประตูห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อย
เกือบหนึ่งพันปีที่เฝ้ามอบถวายชีวิตของตัวเองคอยรับใช้นายท่านนาสูร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอนาคตตัวเอง เขากลับเคว้งคว้างเดินไม่ถูก และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อโชคชะตาส่งเด็กน้อยตัวเล็กอายุไม่กี่เดือนมาให้เขาได้ดูแล ‘เดหลี’ เขาดูแลเด็กน้อยไม่ต่างจากลูก แม้จะรู้ดีว่าอนาคตเด็กคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ‘พาที’ นั่งใช้ความคิดอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นของบ้านที่ตนเองและเดหลีอาศัยอยู่ด้วยกัน เพลานี้เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เผลอแป๊บเดียวจากเด็กน้อยงอแงเอาแต่ใจ นอนตัวแดงแบเบาะ ตอนนี้รู้ความและขี้อ้อนมาก “คุณพาทีคะ คุณพาทีคะ” “หืม! เด็กน้อย” คนถูกเรียกหันมาหาเจ้าของเสียงเล็กสดใสของหนูน้อยวัยเจ็ดขวบ “แต่งงานคืออะไรคะ?” หนูน้อยเกาะแขนของผู้เปรียบเสมือนพ่อของตนเอง “คือคนสองคนรักกัน แล้วก็แต่งงานกัน เดี๋ยวโตขึ้นเดหลีก็จะเข้าใจเอง” พาทีลูบหัวหนูน้อยหน้ากลมที่แนบแขนตัวเองและกำลังแหงนเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าตัวเอง เหมือนเขาที่กำลังก้มมองหน้ากลมๆ อ้วนๆ ของหนูน้อย “งั้นโตขึ้นเดหลีจะแต่งงาน และคุณพาทีต้องแต่งงานกับเดหลีด้วยนะคะ” “แต่งงานน่ะแต่งได้ แต่กับฉันไม่ได้เดหลี” “ทำไมไม่ได้คะ เดหลีรักคุณพาที ถ้าไม่แต่งกับคุณพาทีจะให้หนูแต่งกับใครคะ” หนูน้อยเจ็ดขวบตอบอย่างฉะฉาน ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ และ ‘แต่งงาน’ “โตขึ้นเธอจะรู้เองเดหลี ตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันเอานมร้อนไปให้ดื่มก่อนนอนนะ” “อุ้มค่ะ” หนูน้อยยอมผละแขนสั้นๆ ที่กอดแขนใหญ่ออกมากางให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองกลับห้องนอน พาทียกยิ้มเอ็นดูท่าทางของหนูน้อยแล้วก็ช้อนอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาพาเดินกลับห้องนอนด้วยเวลานี้ดึกมากแล้ว
“อ่ะ...อื้อ” เธอเบิกตากว้างในความมืดสลัวเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกคุกคามยามดึก “ชูว์! ฉันเองเด็กน้อย” เขายกมือมาปิดปากเธอพร้อมบอกให้รู้ว่าคือเขา “คุณนาสูร” “ใช่ ฉันเอง ก็บอกแล้วไงว่าเจอกัน” “ฟ้าอยู่” “เธอไม่ตื่นหรอก” เขาบอกตอบกลับ “แต่ไม่ได้นะคะ เราจะ...” “ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันหิวมาหลายวันแล้วน้อง เธอก็รู้ว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน” เขารีบบอกสวนกลับโดยที่เธอยังพูดไม่สุดประโยคความ “พรุ่งนี้ฟ้าก็กลับแล้ว” เธอบอกพร้อมดันเขาไปนอนข้างๆ ตัวเองที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ “ไม่มีพรุ่งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องการวันนี้เด็กน้อย ขอเถอะนะ เพื่อนเธอไม่มีทางตื่นถ้าฉันไม่สั่งให้ตื่น เรามามีความสุขกันเถอะนะ ฉันรู้ว่าเธอเองก็โหยหาฉัน” มือใหญ่สอดเข้าไปในใต้ผ้าห่มแล้วบีบเคล้นเต้าของเธอ “อ่ะ...อื้อ คะ...คุณนาสูร ยะ...อย่าทำแบบนี้ค่ะ น้องอาย ถึงฟ้าจะไม่ตื่น แต่ฟ้าก็นอนอยู่ข้างๆ นะคะ” พึ่บ! แล้วผ้าห่มที่เธอแบ่งกันกับเพื่อนห่มนั้นก็ถูกถลกดึงรั้งขึ้นไปคลุมหัวของฟ้าใสทันที --- สวัสดีนักอ่านทุกคนค่ะ ณิการ์ขอฝากรูปเล่มนิยายเรื่อง “นาสูร” ภายใต้นามปากกา “ยักษ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องราวของยักษ์ที่มาอายุนับพันกว่าปีกับมนุษย์สาวคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นนิยายแฟนตาซีอีโรติกค่ะเรื่องนี้ “นาสูร” เป็นยักษ์ที่หิวกามมาก กินดุมาก เขาไม่สนใจเนื้อเท่ากับลีลารักบนเตียง และ “พุดซ้อน” ก็สนองตัณหาของเขาได้ดีทีเดียว แล้วเขาทั้งสองจะรักกันได้ยังไง เมื่อทั้งสองต่างแตกต่างกัน มาลุ้นไปกับความรักของยักษ์และมนุษย์ด้วยกันนะคะ
เรื่อง “มังกรกัณฐ์” นามปากกา “ยักษ์” ภาคต่อ “นาสูร” ด้วยนะคะ นิยายชุดนี้จะมี 3 เรื่องนะคะ นาสูร(อีบุ๊กพร้อมโหลด),มังกรกัณฐ์(อีบุ๊กพร้อมโหลด) และกลืนกิน(กำลังเขียน) วันนี้ฝากเรื่อง “มังกรกัณฐ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องของลุกชายพ่อนาสูรมาลุ้นไปกับความรักความหื่นและความเอาแต่ใจของหนุ่มลูกครึ่งยักษ์กันนะคะ
“ไอ้พร้อม ไอ้ห่า มึงมันหยาบเกินคน มึงไม่เป็นลูกผู้ชาย” “ก่อนจะว่าแบบนั้น มึงดูเอ็นกูยัง มึงดูเอ็นกูแข็งร้อนขนาดนี้ มึงยังปากดีว่ากูไม่เป็นลูกผู้ชายอีกเหรอ”
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนสองคนไม่เคยเจอกัน ไม่เคยรู้จักกัน แต่ต้องมาแต่งงานกัน แน่นอนว่าการคลุมถุงชนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะคนแก่ทั้งสองที่ให้คำมั่นสัญญากัน พวกเขาที่เป็นหลานจึงจำต้องแต่งงานกัน "น่านน้ำ" หนุ่มเจ้าของไร่กาแฟ กับสาวมั่น "พิมพ์มาดา" ที่ต้องมาเจอกัน ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังใครง่ายๆ ต่างคนต่างดื้อ และการคลุมถุงชนครั้งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น แล้วเรื่องราววุ่นวายจึงเกิดขึ้น หนี....ใช่ต้องหนีเท่านั้น....แต่หนีไปไงมาไงมา "รัก" กันได้ไง ที่สำคัญหนีไปหนีมามาเจอพ่อคน "เซ็กส์จัด" ใช่ค่ะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเซ็กส์จัดจนต้องยอมแพ้....และเธอก็ชอบความหื่น ห่าม ถ่อย ของคนที่ชังหน้าแบบไม่รู้ตัว......และน่านน้ำก็หลงเจ้าสาวจอมดื้อแบบไม่ตั้งใจรักเช่นกัน...... ------------ “นายทำบ้าอะไรของนาย” “ลงโทษเมีย” น้ำคำห้วนๆ ตอบกลับทันควัน พร้อมกับจ้องหน้าสวยที่ตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในตัวเขาอยู่ในที แล้วเรื่องอะไรเขาต้องสนใจสายตาเกลียดชังที่หล่อนส่งมาให้ด้วยเล่า ในเมื่อพิมพ์มาดาเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นายน่าน” เธอสั่งเสียงแข็งไม่ยอมเช่นกัน พร้อมดิ้นหนีจากแรงกดของบุรุษที่คร่อมเหนือตัวเองอยู่ในตอนนี้ เขาบังคับให้เธอพิงไปกับพนักโซฟาและตัวเขาก็คร่อมกักร่างเธอไว้ โดยมีสองมือใหญ่กดหัวไหล่เธอให้อิงพิงไปกับพนักเก้าอี้ สองมือทุบตีไปกับหน้าอกแกร่งแต่เหมือนกับว่าทุบกำแพงหินผาเจ็บมือเสียแรงเปล่า “ทำไมฉันต้องปล่อยด้วย เธอคิดยังไงถึงไปคบกับไอ้ปลัดธนูนั่นทั้งๆ ที่มีฉันเป็นผัวทั้งคน หรือฉันคนเดียวไม่พอฮึดา” โน้มหน้าลงไปเอ่ยข้างหูเธอพร้อมกับกัดดึงหูเธอแรงๆ ด้วยความโมโห “โอ๊ย! ฉันเจ็บนะไอ้ซาดิสม์!” “ก็กัดให้เจ็บ ถ้าไม่เจ็บจะกัดทำไมวะ บอกฉันมาไปถึงไหนต่อไหนกับมันแล้ว” เงียบ! ปากช่างเจรจาของสาวจอมพยศเม้มแน่นไม่ปริปากตอบเมื่อเขาถาม และนั่นยิ่งกระตุ้นไฟโทสะในอกของน่านน้ำไปใหญ่ “ฉันถามเธออยู่ทำไมไม่ตอบ” เขากระชากเสียงถามเธอดังกว่าเดิม และครั้งนี้ก็บีบหัวไหล่ของเธอที่กดไปกับพนักโซฟาด้วย “เจ็บนะเว้ย! นายมันบ้าไปแล้วนายน่าน นายมันคนซาดิสม์ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันเจ็บ” ทุบตีแขนของเขาให้นำพามือที่บีบหัวไหล่ตัวเองออก ตอนนี้ดวงตาสวยสดใสได้อาบล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือจากหัวไหล่แต่เขากลับทำตรงกันข้ามคือบีบแรงกว่าเดิม “ฉันไม่ใจอ่อนกับน้ำตาของผู้หญิงอย่างเธอหรอกนะดา อย่ามาบีบน้ำตาปัญญาอ่อนต่อหน้าฉัน” น้ำเสียงเฉียบขาดเอ่ยขึ้นพร้อมกับผละมือข้างขวามาบีบคางเล็กของเธอให้แหงนเงยเชิดหน้าขึ้นสบตาตนเอง แล้วเขาก็โน้มลงไปบดขยี้ปากอวบอิ่มสีระเรื่อที่เม้มแน่นของหล่อนจริงๆ ในเมื่อไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้ว เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการทำให้พิมพ์มาดาจำ จำว่าร่างกายของหล่อนคือของเขา นายน่านน้ำไม่ใช่ของใครอื่นที่ไหน ผู้ชายหน้าไหนก็ห้ามแตะ เพราะเนี่ยคือสมบัติของเขา ถ้าเขาไม่ยกให้ใครหน้าไหนก็ห้ามพาหล่อนหนี “อ่ะ อื้อ.....
เขาเป็นหมอที่มีรักเดียวมาตลอดหลายสิบปี แอบเฝ้ามองน้องน้อยตั้งแต่แรกเกิด ส่วนน้องน้อยก็หาได้รักเขาแบบชู้สาวไม่ สำหรับจงกลนีแล้วเขาคืออาจารย์หมอหน้านิ่งหน้าเดียว ไร้อารมณ์ทางสีหน้า แม้แต่ยิ้มเขาก็ยิ้มไม่เป็น แต่ก็ตกใจเมื่อเขายิ้มให้ตัวเองคนเดียว จะบ้าเหรอเขาเป็นอาจารย์ของเธอ และเธอกก็เคารพเขามาตลอด จะให้รักได้ยังไงกัน ++++++ “เอ้า...ปากกา เซ็นเอกสารแล้วค่อยนอนต่อก็ได้” “ค่ะ” เธอรับปากกาที่เขายื่นให้พร้อมกับเซ็นชื่อตรงที่เขาชี้มือ “เรียบร้อย ตอนนี้เธอเป็นเมียฉันแล้วนะ” “ยังไงคะ?” ถามทั้งๆ ที่นั่งหลับ “ก็เราจดทะเบียนสมรส..
"อ๊ะ..ที่ไหนนี่มืดจัง อึดอัดจังเลย โอ้ย !!ใครถีบหัววะ" "ฮูหยินคลอดแล้วเป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ยังมีอีกคนเจ้าค่ะ เบ่งอีกเจ้าคะ " "อุ๊แว" "เป็นคุณหนูเจ้าค่ะฮูหยิน"
เธอตกหลุมพรางของว่าที่สามีและเพื่อนสนิทของตัวเอง ทำให้เธอสูญเสียไปทุกอย่าง เธอตายอยู่บนถนน เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกที ก็พบว่าสามีของเธอกำลังพยายามรัดคอเธอให้ตาย แต่โชคดี ที่สุดท้ายเธอรอดชีวิตมาได้ แล้วเธอก็ตกลงเซ็นข้อตกลงการหย่ากับสามีของเธออย่างไม่ลังเล ที่เธอคิดไม่ถึงคือ แม่ของเธอได้ทิ้งทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลก้อนหนึ่งให้เธอ ซึ่งช่วยให้เธอได้มีโอกาสแก้แค้นและพลิกสถานการณ์ทั้งหมด จากนั้น ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น และเธอก็ได้รับความรักอีกครั้งกับอดีตสามีของเธอ...
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด