เกือบหนึ่งพันปีที่เฝ้ามอบถวายชีวิตของตัวเองคอยรับใช้นายท่านนาสูร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอนาคตตัวเอง เขากลับเคว้งคว้างเดินไม่ถูก และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อโชคชะตาส่งเด็กน้อยตัวเล็กอายุไม่กี่เดือนมาให้เขาได้ดูแล ‘เดหลี’ เขาดูแลเด็กน้อยไม่ต่างจากลูก แม้จะรู้ดีว่าอนาคตเด็กคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ‘พาที’ นั่งใช้ความคิดอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นของบ้านที่ตนเองและเดหลีอาศัยอยู่ด้วยกัน เพลานี้เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เผลอแป๊บเดียวจากเด็กน้อยงอแงเอาแต่ใจ นอนตัวแดงแบเบาะ ตอนนี้รู้ความและขี้อ้อนมาก “คุณพาทีคะ คุณพาทีคะ” “หืม! เด็กน้อย” คนถูกเรียกหันมาหาเจ้าของเสียงเล็กสดใสของหนูน้อยวัยเจ็ดขวบ “แต่งงานคืออะไรคะ?” หนูน้อยเกาะแขนของผู้เปรียบเสมือนพ่อของตนเอง “คือคนสองคนรักกัน แล้วก็แต่งงานกัน เดี๋ยวโตขึ้นเดหลีก็จะเข้าใจเอง” พาทีลูบหัวหนูน้อยหน้ากลมที่แนบแขนตัวเองและกำลังแหงนเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าตัวเอง เหมือนเขาที่กำลังก้มมองหน้ากลมๆ อ้วนๆ ของหนูน้อย “งั้นโตขึ้นเดหลีจะแต่งงาน และคุณพาทีต้องแต่งงานกับเดหลีด้วยนะคะ” “แต่งงานน่ะแต่งได้ แต่กับฉันไม่ได้เดหลี” “ทำไมไม่ได้คะ เดหลีรักคุณพาที ถ้าไม่แต่งกับคุณพาทีจะให้หนูแต่งกับใครคะ” หนูน้อยเจ็ดขวบตอบอย่างฉะฉาน ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ และ ‘แต่งงาน’ “โตขึ้นเธอจะรู้เองเดหลี ตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันเอานมร้อนไปให้ดื่มก่อนนอนนะ” “อุ้มค่ะ” หนูน้อยยอมผละแขนสั้นๆ ที่กอดแขนใหญ่ออกมากางให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองกลับห้องนอน พาทียกยิ้มเอ็นดูท่าทางของหนูน้อยแล้วก็ช้อนอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาพาเดินกลับห้องนอนด้วยเวลานี้ดึกมากแล้ว
พาทีมองไปเบื้องหน้าที่เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่เคยร้องไห้ตามตัวเอง งอแงตัวติดตัวเองในวันนั้น ตอนนี้โตเป็นสาว เดหลีในวัย 22 ปี ทิ้งกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ลากมาแล้ววิ่งมาสวมกอดเขาเต็มแรงและเขาที่ยืนรอรับไม่คิดว่าเด็กน้อยจะวิ่งมาสวมกอดเกือบหงายหลังล้มไปกับพื้น
“คิดถึงคุณพาทีที่สุดเลยค่ะ” เดหลีในวัยยี่สิบสองปีเอ่ยพร้อมผละออกมาพร้อมเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มสากของผู้มีพระคุณของตัวเองและพาทีก็ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เด็กสาวทำเหมือนสมัยเด็ก แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กน้อยตัวอ้วนกลมแล้ว พาทีรีบผลักเด็กสาวออกห่าง
“ไม่เหมาะสมเดหลี” เขาบอกเธอเสียงเข้มพร้อมกับถอยหลังออกห่าง
“เมื่อก่อนเดหลีก็ยังทำได้เลยนี่คะ” เด็กสาวเอ่ยเอาแต่ใจ
“นั่นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เธอโตแล้วเดหลี ไม่ใช่เด็กอ้วนกลมคนนั้นแล้ว”
เขาตอบเธอกลับแล้วหมุนตัวล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนเดหลีก็เดินกลับไปลากกระเป๋าตัวเองแล้วเดินเข้าบ้านตามเจ้าของบ้าน ผ่านมาจนตอนนี้ผู้มีพระคุณของเธอยังคงหนุ่มแน่น น่าเกรงขาม แม้จะสงสัยในตัวผู้มีพระคุณที่ทำตัวลึกลับ แต่ก็ไม่กล้าถาม
“ฉันบอกเดหลีว่ายังไงหลังเรียนจบ” เมื่อเด็กสาวเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋านั่งลง พาทีก็เอ่ยถามถึงคำสั่งของตัวเองก่อนหน้านี้
“ให้เดหลีทำงานที่กรุงเทพค่ะ”
“แล้วทำไมถึงกลับมาที่นี่” เขาถามเธอ
“ก็คุณพาทีอยู่ที่นี่ เดหลีอยากมาช่วยงานคุณพาทีค่ะ” เธอบอกอย่างไม่สนใจแล้วก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลังออกมากดเล่น
“ฉันบอกแล้วยังไงว่างานที่นี่ไม่เหมาะกับเธอเท่างานที่กรุงเทพ”
“ตรีศูลบอกว่าตอนนี้ที่ฟาร์ม ที่โรงงานของเรางานเยอะมาก และตรีศูลก็จะกลับมาช่วยงานคุณมังกรกัณฐ์กับคุณณิสาเหมือนกันค่ะ” เธอเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ตอบแล้วก้มลงเขี่ยหน้าจอเล่นต่อ
“เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟังกันแล้วเหรอเดหลี” น้ำเสียงของพาทีเข้มขึ้นและห้วนแข็งพร้อมกับดวงตาของเขาทอไปด้วยความกรุ่นโกรธ
“ทำไมคุณพาทีถึงอยากผลักไสเดหลีไปอยู่ในที่ไกลๆ ด้วยคะ”
“ฉันทำเพื่อเธอนะเดหลี”
“ไม่ใช่! คุณพาทีทำเพื่อตัวเองต่างหาก” แล้วเธอก็ลุกขึ้น
“นั่งลงเดหลี” พาทีสั่งเสียงดัง
“เดหลีจะเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องค่ะ คุณพาทีไล่เดหลียังไง เดหลีก็ไม่ไป เดหลีโตมากับบ้านหลังนี้ เดหลีไม่ไป เดหลีจะอยู่ที่นี่” แล้วเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋า
“ฉันสั่งให้นั่งลงเดหลี! นั่งลง!” พาทีตะโกนสั่งเสียงดังกว่าเดิมและใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ทำไมคะ ทำไมต้องผลักไสเดหลีไปที่อื่นด้วย” แล้วเธอก็ยอมปล่อยมือจากกระเป๋านั่งลงเหมือนเดิม
“เดี๋ยวนี้ต่อปากต่อคำเก่งเกินไปแล้วนะเดหลี ไม่เชื่อฟังฉันแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของพาทีแสดงถึงความโกรธ ไม่พอใจในตัวสาวน้อยที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวแดงแบเบาะ
“เดหลีไม่ได้เถียง เดหลีแค่อธิบายค่ะ”
“นั่นแหละเขาเรียกเถียง พรุ่งนี้กลับกรุงเทพแต่เช้า ฉันจะไปส่งเอง” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินหนีออกจากห้องนั่งเล่นทิ้งให้เด็กสาวนั่งหน้างอคนเดียว
“คนใจร้าย! ใจร้ายๆๆๆ ใจร้ายที่สุด เดหลีเกลียดคุณพาที ได้ยินไหมคะ เดหลีเกลียด!” เธอตะโกนไล่หลังคนตัวโตที่เดินจากไปแล้วก็ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินทางตัวเองแล้วลากออกจากบ้าน
ด้านคฤหาสน์หลังใหญ่ มังกรกัณฐ์มองเจณิสา ภรรยาตัวเองกับลูกชายที่นั่งกินขนมกันอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วก็ส่ายหน้า เวลาผ่านมานาน ภรรยาคนสวยก็ยังสวยงดงามดั่งเช่นครั้งแรกที่เจอกัน แม้อายุของเจณิสาจะมากแล้ว แต่ผิวพรรณยังคงผุดผ่องสวยงามเหมือนสาวแรกแย้ม ทรวดทรงองค์เอวก็ยั่วยวนเหมือนเช่นเดิม หลังจากเจณิสาคลอดลูก เขาก็ทำพิธีแบ่งชีวิตให้ภรรยาเพื่อจะอยู่ด้วยกันตลอดกาล
“ผมชักสงสัยแล้วสิว่าผมมีลูกชายคนเดียวหรือมีสองคนเจณิสา” มังกรกัณฐ์เอ่ยขึ้นเมื่อภรรยาและลูกชายแย่งขนมกันทานเล่น
“แล้วคุณคิดว่าไงคะคุณมังกรกัณฐ์” เธอปล่อยมือจากขนมตรงหน้ามาถามสามีกลับ
“ผมว่าผมมีลูกสองคน คุณกับตรีศูล”
มังกรกัณฐ์ตอบภรรยาและมองหน้าลูกชายคนเดียวของตัวเอง ในตอนแรกอยากมีลูกสาวเพิ่มอีกคน แต่ตอนเจณิสาคลอดตรีศูลกว่าจะคลอดเจ็บท้องคลอดสามวันสามคืนและเขาไม่ปรารถนาจะเห็นความเจ็บปวดของเธออีกครั้งจึงมีแค่ตรีศูลคนเดียวแม้จะอยากมีลูกสาวมากก็ตาม แต่ยังโชคดีที่มีเดหลีเข้ามาเติมเต็มความฝันอยากมีลูกสาวให้ตัวเอง เขากับภรรยาและพ่อกับแม่เลี้ยงเดหลีน้อยตั้งแต่แบเบาะ และเดหลีกับตรีศูลก็มาพร้อมกัน ทั้งสองเปรียบเหมือนพี่น้องกันแม้จะต่างสายเลือดต่างเผ่าพันธุ์กัน
“สามค่ะ รวมเดหลีด้วยอีกคน” เจณิสาส่งยิ้มให้สามี
“พี่เดหลีก็กลับมาแล้วนะครับพ่อ แม่” ตรีศูลเอ่ยบอกพ่อกับแม่
“อือ...ทุกอย่างเป็นโชคชะตาที่เดหลีเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าลุงพาทีจะอยากผลักไสก็ตาม” มังกรกัณฐ์เอ่ย
“ตรีศูลไม่เข้าใจ ทำไมปู่พาทีถึงไม่อยากให้พี่เดหลีกลับมาอยู่ด้วย ที่บ้านเรา ที่โรงงานเรา ฟาร์มเรามีงานเยอะแยะที่รอพี่เดหลีมาช่วย” คนที่เก่งเกินอายุเอ่ยอย่างสงสัย ปีนี้ตรีศูลอายุยี่สิบเอ็ดปี แต่ก็เรียนจบปริญญาตรีตั้งแต่อายุยี่สิบปี
“ตรีศูลก็รู้ว่าปู่พาทีกับหนูเดหลีแตกต่างกันยังไง เดหลีเป็นมนุษย์ ปู่พาทีของลูกเป็นยักษ์” เจณิสาเอ่ย
“แล้วยังไงครับ ขนาดแม่ณิสากับย่าน้องยังรักปู่นาสูรกับรักพ่อได้เลย แล้วทำไมพี่เดหลีจะอยู่กับปู่พาทีไม่ได้” ตรีศูลพอจะรู้เรื่องชะตาของทั้งสองจากพ่อและปู่ของตัวเองเล่าให้ฟังมาบ้าง
“มันไม่เหมือนกันตรีศูล ตลอดเวลาเกือบหนึ่งพันปีที่ปู่พาทีของลูกมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยมีชีวิตเพื่อตัวเองเลยสักครั้ง ชีวิตที่ผ่านมาของเขาทุ่มเทเพื่อพ่อกับปู่ของลูกมาตลอด แต่พอเป็นเรื่องของตัวเอง ปู่พาทีของลูกก็คิดไม่ตกว่าควรจะเดินตามชะตากำหนดหรือหนีโชคชะตาของตัวเอง” มังกรกัณฐ์เอ่ยบอกลูกชาย
“คืนนี้ผมจะไปค้างที่เขากับปู่นาสูรและย่าน้องนะครับ” พูดจบหนุ่มเลือดผสมก็หายตัวไปจากห้องนั่งเล่น ไม่รอให้พ่อกับแม่ตอบ
“ดูลูกชายคุณมังกรกัณฐ์สิคะ” เจณิสาส่ายหน้าให้กับความคิดเร็วทำเร็วของลูกชาย
“ไม่ใช่ของผมคนเดียวสักหน่อย เนี่ยก็เริ่มดึกแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะเจณิสา” มังกรกัณฐ์เอ่ยส่งสายตาหวานกรุ้มกริ่มอย่างมีความหมายให้ภรรยาและเจณิสาก็ก้มหน้าแดงอายหนีสายตากระหายของสามี
“ไปกันเถอะทูนหัว” แล้วเขาก็ตวัดมือครั้งเดียว เขาและภรรยาคนสวยก็มาอยู่บนห้องนอนส่วนตัวเรียบร้อย
ด้านคนน้อยเนื้อต่ำใจก็เดินลากกระเป๋าออกมาจากฟาร์มเรื่อยๆ ไม่สนใจว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว เธอเดินลากกระเป๋าเดินทางไปตามริมถนนเรื่อยๆ ทั้งน้ำตา และเหมือนฟ้าไม่เข้าข้างเธอ อยู่ๆ ฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะตกก็กระหน่ำมาอย่างรุนแรงจนต้องรีบวิ่งไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่
“คนใจร้าย! ใจร้าย! คุณพาทีไม่เคยแคร์เดหลีเลยใช่ไหมคะ อึก!” เธอบ่นพึมพำตัดพ้อเจ้าชีวิตตัวเองและเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอเฝ้ามองมาตลอดตั้งแต่วัยเด็ก จะว่าแก่แดดก็ว่าได้ หัวใจและร่างกายนี้ของเธอมันพร้อมจะเป็นของเขามาตลอดและมีแค่เขาเท่านั้นที่จะได้ครอบครองมัน
เปรี้ยง! ซ่า!
เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังไปทั่วพร้อมกับฝนที่ตกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเนื้อตัวของเธอก็เปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำก็ไม่ปานในตอนนี้
ฮือๆๆ
“คนใจร้าย! คุณพาทีใจร้าย!” เธอร้องตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าเสียงฝนแล้วยกมือปาดเช็ดน้ำตากับน้ำฝนที่ไหลเข้าตาตัวเองออกด้วยความเสียใจ
ด้านพาทีก็ยืนมองไปนอกระเบียงกระจกของห้องที่ตอนนี้ฝนกระหน่ำรุนแรง เขามองภาพที่สะท้อนในกระจกเป็นภาพของเดหลีที่กำลังตะโกนตัดพ้อเขาแข่งกับเสียงฝน
“เป็นแบบนี้ดีแล้วพาที”
เขาพึมพำกับตัวเองแล้วตวัดมือไล่ภาพตรงหน้าทิ้งแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำนอน ให้เด็กน้อยเจ็บปวดจากตนและตัดใจจากตนตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้เดหลีถลำลึกไปมากกว่านี้ ไม่ใช่มองและอ่านใจของสาวน้อยไม่ออก เขารู้มาตลอดว่าเดหลีคิดเช่นไรกับตนเอง แต่เป็นตัวเขาเองที่ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นกับเด็กที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะได้
นานเกือบชั่วโมงกว่าฝนจะหยุดตก พอฝนหยุดเดหลีก็สูดลมหายใจเข้าปอดปลุกใจตัวเองแล้วลากกระเป๋าที่เปียกไม่ต่างจากตัวเองเดินไปตามริมถนนต่อ เวลานี้ดึกมากแล้ว ไม่มีแม้แต่รถสักคันจะแล่นผ่านมา พอเดินไปได้สักพักก็เจอกับรถยนต์ที่ขับผ่านมา เธอจึงรีบทิ้งกระเป๋าวิ่งไปตัดหน้ารถให้รถยนต์คันนั้นจอด
“อยากตายรึไงคนสวย” หนุ่มฉกรรจ์หน้าบากมีแผลเป็นผ่าหน้าลดกระจกลงตะโกนถามเธอพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลังรถเปิดประตูลงมาจากรถ
เดหลีรู้สึกได้ถึงความอันตรายจึงก้าวถอยหลังทีละก้าวเพื่อจะวิ่งหนี แต่ก็ถูกชายฉกรรจ์หน้าบากและอีกคนที่นั่งข้างคนขับเปิดประตูลงมาวิ่งมาล้อมเธอไว้ก่อน ‘ตายแล้วเดหลี’ เธอได้แต่อุทานกับตัวเองในใจเมื่อมองชายร่างใหญ่หน้าตาน่ากลัวและใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา
“จะไปไหน ไม่ใช่ต้องการให้เราสี่คนช่วยเหรอถึงได้วิ่งมาตัดหน้ารถพวกพี่แบบนี้คนสวย” หนุ่มหน้าบากเอ่ยพร้อมกับยื่นมือมาจะจับลูบไล้หน้านวลเนียนของหญิงสาวที่เปียกปอนเหมือนลูกหมาข้างถนน
“ฉันนึกว่าเป็นรถของเพื่อนฉันเลยวิ่งออกไปตัดหน้า” เธอบอกแล้วมองดูหน้าชายหนุ่มทั้งสี่คนสลับกันไปมาด้วยความสั่นกลัว
“งั้นก็คิดว่าพวกพี่ทั้งสี่คนเป็นเพื่อนซะสิ ไปสนุกกันเถอะคนสวย” หนุ่มหน้าบากคนเดิมเอ่ยพร้อมพยักหน้าสั่งเพื่อนให้ล็อกตัวหญิงสาวไว้
“ว้าย! คุณพาทีช่วยเดหลีด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”
เดหลีร้องดิ้นขัดขืน แต่ก็ถูกหนุ่มร่างใหญ่สองคนจับล็อกไว้แน่นจนไม่อาจจะดิ้นหลุดหนีไปได้
“แถวนี้มันเปลี่ยวไม่รู้รึไงคนสวย และฝนเพิ่งหยุดตกด้วย ยากที่จะมีรถผ่านทางมา ไปกับพวกพี่ดีกว่าคนสวย ไปสนุกกันเถอะ อุ้มเธอไปที่รถ” ชายคนเดิมเป็นคนพูดพร้อมกับสองคนยกหิ้วแขนทั้งสองข้างเธอพาไปที่รถที่จอดอยู่ อีกคนเดินไปเปิดประตูรถรอ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น
“ปล่อยคนของฉันเดี๋ยวนี้!” ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ คนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนก็มาโผล่ตรงนี้ทันทีพร้อมกับใช้พลังตัวเองผลักผู้ชายที่บังอาจแตะต้องคนของตัวเองกระเด็นออกไปให้พ้นทาง
ตุ้บ!
สองคนที่หิ้วยกเดหลีกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้างถนนและนั่นทำให้คนที่เปิดประตูรอและหนุ่มหน้าบากหันมามองทางผู้มาใหม่ ส่วนเดหลีเมื่อเป็นอิสระก็วิ่งไปหลบหลังของผู้เป็นเจ้าชีวิตตัวเอง
“คุณพาทีช่วยเดหลีด้วยค่ะ เดหลีกลัว” เธอเอ่ยเสียงสั่น
“ไม่ต้องกลัวเด็กน้อย” พาทีหันมายิ้มให้คนที่หลบอยู่ด้านหลังตัวเองพร้อมลูบหัวทุยเล็กแล้วเธอก็หมดสติไปพร้อมกับแขนของเขาตวัดกอดอุ้มเธอไว้ด้วยแขนข้างเดียว
“แกเป็นใคร?” หนุ่มหน้าบากร้องตะโกนถามพร้อมเดินไปหยิบปืนที่มีติดรถมาเล็งไปทางคนที่ทำร้ายเพื่อนตัวเอง ส่วนสองคนที่กระเด็นไปกระแทกต้นไม้ก็ลุกเดินมาสมทบเพื่อนตัวเอง ตอนนี้ทั้งสี่หนุ่มยืนเรียงแถวหน้ากระดานมองมาทางเขาพร้อมอีกคนมีปืนในมือ
“ยิงดูสิ ถ้ากูไม่ตาย พวกแกตาย!” น้ำเสียงเยือกเย็นดังลอดออกมาจากริมฝีปากพร้อมกับช้อนอุ้มร่างน้อยเดหลีขึ้นแนบอกแล้วเดินเข้าไปหาพวกไม่รู้จักชะตาชีวิตทั้งสี่คน บังอาจนัก กล้าแตะต้องคนของตนเอง
“อย่าเข้ามานะเว้ย! ฉันยิงแกจริงๆ นะเว้ย!” ชายหน้าบากตะโกนบอกสั่งมือสั่น เมื่อผู้ชายตรงหน้าเดินเข้ามาพร้อมกับดวงตาวาวโรจน์ประกายเป็นสีแดงเพลิง และไม่รู้ว่าโผล่มาได้ยังไง
“บอกแล้วไงว่าให้ยิง ถ้ากูไม่ตาย พวกมึงทั้งสี่ตาย” ไม่ใช่คำขู่ แต่เขาจะทำแบบที่พูดจริงๆ
ปัง! ปัง! ปัง!
คนหน้าบากรัวกระสุนปืนใส่คนที่เดินเข้ามาหาตัวเองกับเพื่อนรัวๆ แต่เหมือนว่ามันจะไม่กระทบผิวของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“เป็นไปได้ยังไง มันยิงไม่เข้า” หนึ่งในเพื่อนของคนหน้าบากเอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับมองหาทางหนี
“บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้ากูไม่ตาย พวกมึงตาย” พาทีเอ่ยเสียงเหี้ยมแล้วก็ตวัดมือผลักทั้งสี่คนไปกระแทกกับรถด้านหลังพร้อมกับเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วควักหัวใจของเดนมนุษย์ทั้งสี่คนเรียงกันในเวลาไม่กี่อึดใจ หัวใจทั้งสี่ดวงถูกควักออกมาอย่างเหี้ยมโหดและสิ้นลมในทันที
“บทลงโทษที่พวกมึงกล้าแตะต้องคนของกู”
พาทีเอ่ยกับทั้งสี่ศพ ตลอดชีวิตที่อยู่มาเกือบหนึ่งพันปี เขาไม่เคยฆ่ามนุษย์สักครั้ง แต่พวกเดนมนุษย์พวกนี้สมควรตาย พาทีมองหัวใจทั้งสี่ดวงในอุ้งมือตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วเขาก็ใช้พลังของตัวเองปกปิดการตายของทั้งสี่คนเหมือนกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ศพทั้งสี่และรถยนต์ก็หายไปจากตรงหน้า หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับคราบเลือดและหัวใจในมือของเขาก็หายไป
“กลับบ้านของเรากันเดหลีน้อย” แล้วเขาก็พาคนหมดสติกลับบ้านของตนเองและกระเป๋าเดินทางของเธอก็ไม่ลืมเอากลับไปด้วย
“อ่ะ...อื้อ” เธอเบิกตากว้างในความมืดสลัวเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกคุกคามยามดึก “ชูว์! ฉันเองเด็กน้อย” เขายกมือมาปิดปากเธอพร้อมบอกให้รู้ว่าคือเขา “คุณนาสูร” “ใช่ ฉันเอง ก็บอกแล้วไงว่าเจอกัน” “ฟ้าอยู่” “เธอไม่ตื่นหรอก” เขาบอกตอบกลับ “แต่ไม่ได้นะคะ เราจะ...” “ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันหิวมาหลายวันแล้วน้อง เธอก็รู้ว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน” เขารีบบอกสวนกลับโดยที่เธอยังพูดไม่สุดประโยคความ “พรุ่งนี้ฟ้าก็กลับแล้ว” เธอบอกพร้อมดันเขาไปนอนข้างๆ ตัวเองที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ “ไม่มีพรุ่งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องการวันนี้เด็กน้อย ขอเถอะนะ เพื่อนเธอไม่มีทางตื่นถ้าฉันไม่สั่งให้ตื่น เรามามีความสุขกันเถอะนะ ฉันรู้ว่าเธอเองก็โหยหาฉัน” มือใหญ่สอดเข้าไปในใต้ผ้าห่มแล้วบีบเคล้นเต้าของเธอ “อ่ะ...อื้อ คะ...คุณนาสูร ยะ...อย่าทำแบบนี้ค่ะ น้องอาย ถึงฟ้าจะไม่ตื่น แต่ฟ้าก็นอนอยู่ข้างๆ นะคะ” พึ่บ! แล้วผ้าห่มที่เธอแบ่งกันกับเพื่อนห่มนั้นก็ถูกถลกดึงรั้งขึ้นไปคลุมหัวของฟ้าใสทันที --- สวัสดีนักอ่านทุกคนค่ะ ณิการ์ขอฝากรูปเล่มนิยายเรื่อง “นาสูร” ภายใต้นามปากกา “ยักษ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องราวของยักษ์ที่มาอายุนับพันกว่าปีกับมนุษย์สาวคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นนิยายแฟนตาซีอีโรติกค่ะเรื่องนี้ “นาสูร” เป็นยักษ์ที่หิวกามมาก กินดุมาก เขาไม่สนใจเนื้อเท่ากับลีลารักบนเตียง และ “พุดซ้อน” ก็สนองตัณหาของเขาได้ดีทีเดียว แล้วเขาทั้งสองจะรักกันได้ยังไง เมื่อทั้งสองต่างแตกต่างกัน มาลุ้นไปกับความรักของยักษ์และมนุษย์ด้วยกันนะคะ
เรื่อง “มังกรกัณฐ์” นามปากกา “ยักษ์” ภาคต่อ “นาสูร” ด้วยนะคะ นิยายชุดนี้จะมี 3 เรื่องนะคะ นาสูร(อีบุ๊กพร้อมโหลด),มังกรกัณฐ์(อีบุ๊กพร้อมโหลด) และกลืนกิน(กำลังเขียน) วันนี้ฝากเรื่อง “มังกรกัณฐ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องของลุกชายพ่อนาสูรมาลุ้นไปกับความรักความหื่นและความเอาแต่ใจของหนุ่มลูกครึ่งยักษ์กันนะคะ
“ไอ้พร้อม ไอ้ห่า มึงมันหยาบเกินคน มึงไม่เป็นลูกผู้ชาย” “ก่อนจะว่าแบบนั้น มึงดูเอ็นกูยัง มึงดูเอ็นกูแข็งร้อนขนาดนี้ มึงยังปากดีว่ากูไม่เป็นลูกผู้ชายอีกเหรอ”
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนสองคนไม่เคยเจอกัน ไม่เคยรู้จักกัน แต่ต้องมาแต่งงานกัน แน่นอนว่าการคลุมถุงชนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะคนแก่ทั้งสองที่ให้คำมั่นสัญญากัน พวกเขาที่เป็นหลานจึงจำต้องแต่งงานกัน "น่านน้ำ" หนุ่มเจ้าของไร่กาแฟ กับสาวมั่น "พิมพ์มาดา" ที่ต้องมาเจอกัน ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังใครง่ายๆ ต่างคนต่างดื้อ และการคลุมถุงชนครั้งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น แล้วเรื่องราววุ่นวายจึงเกิดขึ้น หนี....ใช่ต้องหนีเท่านั้น....แต่หนีไปไงมาไงมา "รัก" กันได้ไง ที่สำคัญหนีไปหนีมามาเจอพ่อคน "เซ็กส์จัด" ใช่ค่ะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเซ็กส์จัดจนต้องยอมแพ้....และเธอก็ชอบความหื่น ห่าม ถ่อย ของคนที่ชังหน้าแบบไม่รู้ตัว......และน่านน้ำก็หลงเจ้าสาวจอมดื้อแบบไม่ตั้งใจรักเช่นกัน...... ------------ “นายทำบ้าอะไรของนาย” “ลงโทษเมีย” น้ำคำห้วนๆ ตอบกลับทันควัน พร้อมกับจ้องหน้าสวยที่ตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในตัวเขาอยู่ในที แล้วเรื่องอะไรเขาต้องสนใจสายตาเกลียดชังที่หล่อนส่งมาให้ด้วยเล่า ในเมื่อพิมพ์มาดาเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นายน่าน” เธอสั่งเสียงแข็งไม่ยอมเช่นกัน พร้อมดิ้นหนีจากแรงกดของบุรุษที่คร่อมเหนือตัวเองอยู่ในตอนนี้ เขาบังคับให้เธอพิงไปกับพนักโซฟาและตัวเขาก็คร่อมกักร่างเธอไว้ โดยมีสองมือใหญ่กดหัวไหล่เธอให้อิงพิงไปกับพนักเก้าอี้ สองมือทุบตีไปกับหน้าอกแกร่งแต่เหมือนกับว่าทุบกำแพงหินผาเจ็บมือเสียแรงเปล่า “ทำไมฉันต้องปล่อยด้วย เธอคิดยังไงถึงไปคบกับไอ้ปลัดธนูนั่นทั้งๆ ที่มีฉันเป็นผัวทั้งคน หรือฉันคนเดียวไม่พอฮึดา” โน้มหน้าลงไปเอ่ยข้างหูเธอพร้อมกับกัดดึงหูเธอแรงๆ ด้วยความโมโห “โอ๊ย! ฉันเจ็บนะไอ้ซาดิสม์!” “ก็กัดให้เจ็บ ถ้าไม่เจ็บจะกัดทำไมวะ บอกฉันมาไปถึงไหนต่อไหนกับมันแล้ว” เงียบ! ปากช่างเจรจาของสาวจอมพยศเม้มแน่นไม่ปริปากตอบเมื่อเขาถาม และนั่นยิ่งกระตุ้นไฟโทสะในอกของน่านน้ำไปใหญ่ “ฉันถามเธออยู่ทำไมไม่ตอบ” เขากระชากเสียงถามเธอดังกว่าเดิม และครั้งนี้ก็บีบหัวไหล่ของเธอที่กดไปกับพนักโซฟาด้วย “เจ็บนะเว้ย! นายมันบ้าไปแล้วนายน่าน นายมันคนซาดิสม์ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันเจ็บ” ทุบตีแขนของเขาให้นำพามือที่บีบหัวไหล่ตัวเองออก ตอนนี้ดวงตาสวยสดใสได้อาบล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือจากหัวไหล่แต่เขากลับทำตรงกันข้ามคือบีบแรงกว่าเดิม “ฉันไม่ใจอ่อนกับน้ำตาของผู้หญิงอย่างเธอหรอกนะดา อย่ามาบีบน้ำตาปัญญาอ่อนต่อหน้าฉัน” น้ำเสียงเฉียบขาดเอ่ยขึ้นพร้อมกับผละมือข้างขวามาบีบคางเล็กของเธอให้แหงนเงยเชิดหน้าขึ้นสบตาตนเอง แล้วเขาก็โน้มลงไปบดขยี้ปากอวบอิ่มสีระเรื่อที่เม้มแน่นของหล่อนจริงๆ ในเมื่อไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้ว เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการทำให้พิมพ์มาดาจำ จำว่าร่างกายของหล่อนคือของเขา นายน่านน้ำไม่ใช่ของใครอื่นที่ไหน ผู้ชายหน้าไหนก็ห้ามแตะ เพราะเนี่ยคือสมบัติของเขา ถ้าเขาไม่ยกให้ใครหน้าไหนก็ห้ามพาหล่อนหนี “อ่ะ อื้อ.....
เขาเป็นหมอที่มีรักเดียวมาตลอดหลายสิบปี แอบเฝ้ามองน้องน้อยตั้งแต่แรกเกิด ส่วนน้องน้อยก็หาได้รักเขาแบบชู้สาวไม่ สำหรับจงกลนีแล้วเขาคืออาจารย์หมอหน้านิ่งหน้าเดียว ไร้อารมณ์ทางสีหน้า แม้แต่ยิ้มเขาก็ยิ้มไม่เป็น แต่ก็ตกใจเมื่อเขายิ้มให้ตัวเองคนเดียว จะบ้าเหรอเขาเป็นอาจารย์ของเธอ และเธอกก็เคารพเขามาตลอด จะให้รักได้ยังไงกัน ++++++ “เอ้า...ปากกา เซ็นเอกสารแล้วค่อยนอนต่อก็ได้” “ค่ะ” เธอรับปากกาที่เขายื่นให้พร้อมกับเซ็นชื่อตรงที่เขาชี้มือ “เรียบร้อย ตอนนี้เธอเป็นเมียฉันแล้วนะ” “ยังไงคะ?” ถามทั้งๆ ที่นั่งหลับ “ก็เราจดทะเบียนสมรส..
หอบผ้าหอบผ่อนข้ามน้ำทะเลเพื่อมาบอกเขาว่า "ท้อง" กับเขา นึกว่าเขาจะดีใจเธอคิดผิด เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากนั่นคือความใจร้ายของเขา ทำไมกัน ทำไมเขาถึงจงเกลียดจงชังเธอนัก --------------- “พี่จะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอท้อง” “พี่มาร์คก็พาไวน์ไปตรวจสิคะ และก็พาฝากท้องด้วย ที่ไวน์มาที่นี่เพราะไวน์มาหาพ่อให้ลูก ไวน์ยังไม่ได้บอกทุกคนหรอกค่ะว่าไวน์ท้อง” “ยังไงพี่ก็รับผิดชอบเธอไม่ได้ พี่ไม่ได้รักเธอไวน์ ได้ยินไหม พี่ไม่ได้รักเธอ พี่มีแฟนแล้วและพี่ก็รักเธอมาก ถึงไวน์จะท้อง พี่ก็จะรับแค่ลูก แต่ตัวไวน์ พี่ไม่ต้องการ เรื่องลูกถ้าท้องจริงพี่ยินดีรับแน่นอน” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พูดตามที่สมองประมวลผลออกมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจยอมรับวรนิษฐ์ได้ เขาไม่ได้รักเธอและไม่เคยคิดจะรักด้วย “หมายความว่ายังไงคะ พี่มาร์คจะไม่รับผิดชอบไวน์เหรอคะ พี่มาร์คได้ไวน์แล้วและพรากพรหมจรรย์ไวน์ไปด้วย” “ผู้ชายสมัยนี้เขาไม่แคร์พรหมจรรย์กันแล้วไวน์ ไวน์เองก็น่าจะรู้ดีว่ายุคนี้มันยุคไหนแล้ว ไวน์ก็โตที่เมืองนอก ไวน์น่าจะรู้ดี” “สำหรับคนอื่นไวน์ไม่รู้ แต่สำหรับไวน์มันสำคัญมาก ยังไงพี่มาร์คก็ต้องรับผิดชอบไวน์ แต่งงานกับไวน์ ถ้าพี่มาร์ครับผิดชอบ ไวน์จะบอกคุณย่ากับคุณพ่อว่าไวน์ท้อง” “อย่ามาขู่พี่” “ไม่ได้ขู่ ไวน์พูดจริงทำจริง” “คิดว่าพ่อกับคุณย่าจะบังคับพี่ได้งั้นเหรอ จำไว้ว่าพี่ไม่มีวันรักเธอ เรื่องลูกพี่จะรอเขาคลอดแล้วเอามาเลี้ยงเอง ผู้หญิงคนเดียวที่พี่รักคือแพร” พูดจบแล้วเขาก็ลุกเดินออกจากห้องของเธอไปด้วยความเดือดดาล กล้านัก กล้าขู่เขาว่าจะบอกพ่อกับคุณย่า คิดว่าเขาแคร์เขาสนใจรึไง เชิญเลย แต่ถ้าจะให้รับผิดชอบไม่มีทาง เขาไม่ได้รักวรนิษฐ์ --------- “นี่มันอะไรกันไวน์” เมื่อปลายสายกดรับสาย เขาก็กระชากเสียงถามไปในสายทันที “อะไรคะ?” เธอถามเขาอย่างงงๆ ไม่เข้าใจในความหมายของเขา “ก็หมายศาลไง ฟ้องหย่าเหรอ” “อ้อ...ค่ะ ก็พี่บอกไม่ยอมหย่าเอง ไวน์เลยต้องพึ่งศาล” “นี่เอาจริงเหรอ?” “แล้วไวน์บอกเหรอคะว่าพูดเล่น ถ้าไม่อยากให้ถึงศาลก็ยอมเซ็นใบหย่าให้ไวน์สิคะ เรื่องจะได้จบๆ” “ไม่มีทาง! ยังไงพี่ก็ไม่หย่าหรอก ไม่รักพี่แล้วเหรอ?” เขาถามเธอในท้ายประโยคและหวังว่าเธอจะตอบกลับมาว่า ‘รัก’ แต่กลับตรงกันข้าม
ในคืนวันเกิดอายุยี่สิบสองปี ลี่เฉี่ยนโลว่ถูกแฟนหนุ่มวางยา และไปมีอะไรกันกับซือจิ้นเหิง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเธอพบว่าครอบครัวเธอถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เธอแต่งงานกับจิ้นเหิง ได้รับการคุ้มครองจากเขา และใช้เขาเพื่อแก้แค้น "ฉันเป็นภรรยาที่ถูกกฎหมายของเขา" แม้ว่าแม่สามีของเธอจะไม่ยอมรับ แม้ว่าแฟนสาวที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาจะตามมาอยู่ด้วยกัน เธอก็ยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น เธอแท้งโดยบังเอิญ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากมีลูกกับเขา และด้วยความเข้าใจผิดต่าง ๆ อีกหลายหย่าง เธอเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาถึงกับตกตะลึง ชายคนนี้ได้สิ่งที่ต้องการจากเธอแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังรังควานและทรมานเธอต่อไป
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
หลิวชิวเยว่จบชีวิตจากชาติภพปัจจุบัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในร่างของหญิงอ้วน ชื่อเดียวกับตัวเอง อีกทั้งตัวเธออยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะไปแต่งงานกับแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชิงเป่ย จากซีอีโอสาวแสนสวย ผู้ทระนงตนว่า ฉันสวย รวยและเริ่ดในปฐพี ต้องกลายมาเป็นหญิงอ้วน น้ำหนักร่วมสองร้อยจิน (100กิโลกรัม) แถมด้วยฉายา สตรีกาลกิณี ! แล้วข่าวลือที่ว่าแม่ทัพหนุ่มสามีของเธอ เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ (ชอบผู้ชาย) นั้นเป็นจริงหรือไม่...จำต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง! ทว่า... ยามจันทร์เต็มดวง หลิวชิวเยว่กลับค้นพบความลับของสามี เมื่อเขากลายร่างเป็น หมีแพนด้า ! หลิวชิวเยว่จะใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณอย่างไรให้แฮปปี้ เมื่อต้องมีสามีเป็น หมีแพนด้าผู้คลั่งรัก !
เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขเลย พ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับชายที่เธอไม่รักแทนน้องสาวต่างมารดาของเธอ เธอไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมของตน ในวันแต่งงาน เธอหนีออกจากบ้านไปและได้มีอะไรกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในคืนนั้น หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหนีไปแต่สุดท้ายก็ถูกพ่อเธอหาจนพบ และหนีไม่รอดชะตากรรมที่จะต้องแต่งงานแทนน้องสาว เธอจะพบว่าชายที่เคยมีอะไรกับเธอในคืนนั้นก็คือสามีของเธอหรือไม่ และเขานั้นจะรู้ว่าเธอเป็นแค่เจ้าสาวปลอมหรือไม่ ตลอดจนความลับเบื้องหลังของสามีคนจนจะเป็นเช่นไร ติดตามไปด้วยกันเลย
หลิวซือซือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยหยดย้อยแล้ว แทบจะไม่มีความสามารถหรือความโดดเด่นในเรื่องอื่น และหากจะว่ากันไปหญิงสาวก็เป็นคนที่ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย เพราะได้รับการรับเลี้ยงประดุจไข่ในหินจากผู้เป็นพ่อและแม่ที่มีฐานะไม่ธรรมดา เธอรักในอาชีพนักแสดงแม้พ่อแม่จะคัดค้านแต่สุดท้ายก็ตามใจเธอเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียใจ อยู่มาวันหนึ่งด้วยบทบาทที่ต้องแสดงในซีรีส์ย้อนยุค ทำให้พ่อของเธอหาขลุ่ยโบราณเล่มหนึ่งมาให้ ตั้งแต่ได้รับขลุ่ยมาหลิวซือซือก็มักฝันประหลาด ว่าเธอได้พบผู้ชายคนหนึ่งในเขาเป็นแม่ทัพอยู่ระหว่างสงครามอีกทั้งตนเองยังมีโอกาสช่วยเขาหลายครั้ง ที่น่าประหลาดใจคือ ฝันนั้นของเธอเหมือนจะเป็นความจริงไปแล้ว เขาคือใครและเกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหตุใด ทำไมเธอจึงมักฝันประหลาดเช่นนี้???