นางเอกเป็นนักโทษหญิงที่เร่าร้อน เธอมักจะใช้เรือนร่างอันเซ็กซี่ยั่วยวนผู้คุมเพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการ แนว pwp nc 3p+ หลอกผู้ชายให้เป็นทาสสวาท
น.ญ.จอมมารยา
ตอน โดนจับขังเดี่ยว
ผู้คุมนักโทษสองคนกำลังเดินนำนักโทษหญิงวัยยี่สิบปลายที่กำลังก้มหน้ามองพื้นทางเดิน ขาเรียวยาวเร่งก้าวตามชายฉกรรจ์ข้างหน้าเนื่องจากแขนโดนล่ามด้วยโซ่ตรวนราวกับสัตว์เลี้ยง
ฮิ! ใบหน้าเรียวสวยหาได้เศร้าโศก รอยยิ้มของริมฝีปากสีชมพูเรียวบางกับดวงตากลมโตเหมือนจะบอกว่านี่คือที่ของเธอโดยแท้จริง
นักโทษในห้องขังด้านซ้ายและขวาของโถงทางเดินกำลังซุบซิบนินนา เสียงดังแว่วลอยมาตามลม
"แหม หน้าตาก็สะสวย ไม่คิดเลยว่าจะฆ่าพ่อตัวเอง"
"ฆ่าข่มขืนด้วยนะ"
"แต่เขาว่ากันว่าเป็นพ่อเลี้ยงขี้เมานี่ สมควรแล้วป่ะ"
"ยังไงก็ฆ่าข่มขืนนะเห้ย"
"หมายถึงหล่อนข่มขืนพ่อเลี้ยงแล้วฆ่าเนี่ยนะ น่ากลัวชะมัด"
"ระวังๆ อย่าไปมองตาเธอล่ะ"
แก๊ง! ๆ ๆ ๆ ผู้คุมคนนึงเอากระบองฟาดลูกกรงเหล็ก นักโทษหญิงต่างก็รีบหุบปาก เมื่อบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันผู้คุมอีกคนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องขังห้องนึงที่มีสาวอ้วนนอนอยู่บนเตียงสองชั้น
"น.ญ. มาริสสา นี่คือห้องของเธอ ต้องอยู่ร่วมกับ น.ญ.มาสิตานะ เข้าใจไหม"
"ไม่มีห้องเดี่ยวเหรอ" นักโทษหญิงเงยหน้ามองตาผู้คุมที่กำลังลากโซ่มัดแขนเธออยู่
"นี่ไม่ใช่โรงเเรมนะยัยหนู อย่าได้มาต่อปากต่อคำกับฉัน"
"เข้าไป ๆ" ผู้คุมอีกคนวิ่งมาผลักหลังสาวร่างบาง
โครมม! โอ๊ย! เธอล้มลงมานั่งพับเพียบในพื้นห้องขัง ส่วนผู้คุมทั้งสองคนก็เดินตามเข้ามาถอดโซ่และแกะกุญแจมือออกก่อนจะเดินออกไปแล้วล็อคประตูห้องขัง
"นี่ ยัยอ้วน ลงมานอนข้างล่างซิวะ" มาริสสาสั่งสาวอ้วนที่นอนเตียงชั้นบน
"อะไร ฉันมาก่อน ยัยนี่วอนหาเรื่องซะแล้ว เอาไหม ๆ อี" สาวอ้วนตะโกนแล้วกระโดดลงจากเตียงชั้นบน ง้างมือใหญ่จะฟาดใบหน้าเรียวคม หล่อนกัดฟันดังกร่อดๆ
"เอาเลย! ๆ ๆ ๆ"
"ใส่มันเลย"
"รับน้องหน่อย มาสิตา"
เพี๊ยะ! นักโทษสาวอ้วนตบหน้าที่เรียวเล็ก มาริสสาเซมาชนลูกหรงเหล็กโดยไม่ร้องซักแอะ "มรึง อีอ้วน" มาริสสาชี้หน้าแล้ววิ่งเข้าใส่สาวร่างใหญ่กว่าเธอสองเท่า กระโดดถีบหน้าอกหล่อนด้วยสองเท้าคู่
โครมมมม! ร่างกายหนักร้อยกิโลกว่าหงายหลังลงไปนอนกองในสภาพสลบเหมือด
"ผู้คุมคะ ๆ มันสร้างเรื่องแล้วค่ะ" ป้าแก่ๆที่ดูจะเป็นนักโทษหญิงขาใหญ่ตะโกนลั่น ตุบ! ๆ ๆ ผู้คุมสองคนเมื่อครู่รีบเปิดกรงโถงทางเดินแล้ววิ่งกลับมาที่ห้องขังเดิม คนนึงเข้ามาเอากระบองไฟฟ้าจ่อหลังสาวน้อย อีกคนจับมือเธอไพล่หลังแล้วตะคอกใส่หู
"หยุดๆ นอนลงไป นอนคว่ำลงไป" แปล๊บ! ๆ ๆ เสียงไม้กระบองไฟฟ้าดังน่ากลัว
"มาริสสา เธออยากขังเดี่ยวใช่ไหม รีบนอนลงไป"
"มีห้องที่ได้อยู่คนเดียวด้วยรึ ฮิ" มาริสสายิ้มแล้วฟุบตัวลงไปนอนคว่ำ
ผู้คุมชายรีบเอากุญแจมือล็อคข้อแขนเล็กๆแล้วกระชากร่างเพรียวบางยืนขึ้น อีกคนรีบไปประคองนักโทษสาวอ้วนไปห้องปฐมพยาบาล
"มาวันแรกก็สร้างเรื่องเลยนะมาริสสา รับรองว่าเธอจะได้อยู่ห้องขังเดี่ยวแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน"
ผู้คุมร่างใหญ่จับโซ่ที่กุญแจมือและลากสาวน้อยเดินโซเซตามหลัง เขาพาเธอมายัดใส่ห้องขังเดี่ยวชั้นใต้ดินที่มีผนังปูนทั้งสี่ด้าน ไร้หน้าต่างและมีเพียงประตูเหล็กหนาเพียงบานเดียว
เมื่อถอดกุญแจมือแล้วเขาก็สั่งนักโทษหญิงนั่งลง ล้วงมือถือออกมาถ่ายรูปเธอแล้วส่งภาพเข้าระบบขังเดี่ยว จากนั้นหันหลังกลับแล้วก้าวออกจากประตู กำลังจะดันบานเหล็กหนาปิดห้อง
"โห่! ผู้คุมคะ ห้องมันทึบเกินไปไหม ไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ผนัง"
"ก็ห้องขังเดี่ยว จำไว้ถ้าสร้างปัญหาเธอจะได้อยู่แบบนี้ครั้งละเจ็ดวัน"
"ห๊ะ! เจ็ดวันเหรอคะ ไม่ได้ไปออกกำลังกาย ไม่ได้ไปทำงานนักโทษที่ได้ค่าตอบเเทนเลยเหรอ โรงอาหารก็ไม่ได้ออกไปเหรอคะ"
"ก็ฉันบอกว่าต้องอยู่ในนี้ตลอดเจ็ดวัน"
โครมมม! บานประตูเหล็กกล้าปิดลง ผู้คุมหน้าดุเลื่อนช่องเล็กๆหน้าประตูแล้วก้มหน้ามองเข้ามา
"เพราะฉะนั้นทำตัวดีๆไว้ แล้วเธอจะได้สิทธิ์ทุกอย่างเหมือน น.ญ.คนอื่น
กร๊าง! เสียงล็อคกลอนประตูห้อง
"เดี๋ยวค่ะ ๆ ผู้คุมคะ"
"อะไรอีก"
"หนูทำตัวดีๆกับคุณได้นะคะ เปิดห้องแปบนึงนะคะ รับรองว่าหนูทำให้คุณมีความสุขได้แน่"
สาววัยรุ่นเอ่ยแล้วดึงคอเสื้อยืดขาวลง ทำให้เห็นเนินอกขาวโพลน สองเต้าใหญ่ที่บดเบียดกันแน่นหนับทำให้ผู้คุมเห็นร่องนมลึก
อึก! หนุ่มร่างใหญ่วัยฉกรรจ์มองผ่านรูเหล็กเข้ามาและกลืนน้ำลายเหนียว
"รีบเข้ามามีความสุขสิคะ ในนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดนี่นา มีแต่ผนังปูนสี่ด้าน ใครจะรู้" นักโทษสาวเอ่ยและใช้มือสองข้างขยำฟัดเต้าตัวเองจนเสื้อยืดยับยู่ยี่
"อืม รอแปบ" หนุ่มใหญ่เอ่ยแล้วเปิดประตูเหล็กเดินเข้ามายืนค้ำหัวสาวรุ่นลูกที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นซีเมนต์ที่แข็งและเย็นเฉียบ
แคว่ก! ๆ น.ญ.คลานเข่าเข้ามาแล้วใช้มือรูดซิบกางเกงผู้คุมอย่างรู้งาน เธอล้วงเอาแท่งรักนุ่มอุ่นที่กำลังพองโตขึ้นในกำมือออกมาเฟ้นบีบเบาๆ
" ซี๊ด! อาห์! อมเลยสิ อมของฉันเลยสิยัยหนู" ผู้คุมร่างใหญ่เอ่ยและเอามือลูบผมยาวสลวยบนหัวนักโทษสาว
"หนูกำลังจะเป็นคนดีของคุณ คุณก็จะใจดีกับหนู ใช่ไหมคะ?"
"ใช่สิ รีบๆทำมันสิจ๊ะ"
"งั้นถ้าแตกคาปากหนูแล้ว หนูขอยืมมือถือไว้เล่นในห้องนี้ได้ไหมคะ"
"เอ่อ! อืม! เอาสิ"
ผู้คุมเอ่ยแล้วส่ายเอวไปมา เอาแท่งเอ็นสีดำอ้วนถูกับแก้มสาวของสาวรุ่นลูก ทำแววตาหื่นขณะที่แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ฮิ! ๆ สาวน้อยหัวเราะแล้วเอามือกำรูดแท่งอุ่นจนมันแข็งเต็มที่ เส้นเลือดปูดๆที่พันรอบลำบาดถูกำมือจนเสียวซ่าน
ลิ้นสีชมพูแลบเลียหัวบานโตสีดำแดง น้ำใสๆไหลเป็นเส้นยาวยืดติดปากสีชมพูเรียวบาง
อรั่ก! ๆ ๆ ๆ ผู้คุมจิกหัวนักโทษสาวแล้วเร่งกระแทกแท่งเอ็นเข้าออกปากของเธอจนหน้าสวยๆโยกสั่นในสภาพเจ็บปากจนกรามค้าง
"อ่าส์! ๆ ซี๊ด! มันต้องให้ได้ยังงี้สิวะ ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยได้อะไรแบบนี้เลย กร่อด! ๆ ฮ่า! ๆ"
นางเอกถูกสามีนอกใจแต่กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เธอยอมเป็นเมียโง่เพื่อที่ได้แอบกินตับกับพ่อผัว ลูกเลี้ยง หลานชาย และคนสวนในบ้าน สรุปแล้วเธอเสียสามีไปแค่คนเดียว แต่กลับได้ชู้ในบ้านเพิ่มเป็นสิบๆคน
หลังจากโดนผัวทิ้งตอนน้ำหนัก80กิโลแจมก็ผันตัวมาออกกำลังกายดูแลสุขภาพอย่างหนักหน่วง เพียงไม่กี่ปีเธอก็กลายเป็นสาวหุ่นดี แถมยังมีสถาบันฟิตเนสทาบทามให้ไปเป็นเทรนเนอร์สุดสวยประจำยิมเสียด้วย แต่ด้วยการที่ต้องหาลูกเทรนและทำยอดขายช่างยากเย็นไม่ต่างอะไรกับการขายประกัน ล่าสุดแจมเกิดปิ๊งไอเดียใหม่เพื่อหาคนมาเทรนด้วย เธอชอบยั่วยวนลูกชายเพื่อนๆให้มาออกกำลังกายที่ยิมแล้วหลอกกินตับ ไปๆมาๆได้ทั้งคู่นอนได้ทั้งค่าคอมจนกระเป๋าตุง เรียกได้ว่านับแต่นั้นมาแทบไม่มีวันไหนที่เธอได้นอนคนเดียวเลยซักคืน
นางเอกเปิดสำนักไถ่บาป สร้างลัทธิหลอกลวงผู้คนให้บริจาคเงิน แถมยังใช้ร่างกายที่สวยและสาวยั่วยวนเหล่าคนรวยบ้าตัญหาจนยอมเปย์ให้ทุกอย่าง นอกเหนือจากนั้นยังยั่วสวาทเหล่าหนุ่มวัยรุ่นชายฉกรรจ์ให้มาเป็นสมุนรับใช้งานต่างๆ เพื่อแลกกับการได้สัมผัสกับร่างกายอันไร้ที่ติของศาสดาสาว
กระต่ายถูกเก็บมาเลี้ยงในตระกูลผู้ดีที่มีชื่อเสียงทางสังคม ทว่าเธอกลับพลาดพลั้งไปมีอะไรกับพี่ชาย พอน้องเห็นเข้าก็แบล็คเมล์เธออีก ไปๆมาๆก็โดนคุณปู่ด้วยอีกคน ในไม่ช้าก็คงไม่พ้นพ่อเลี้ยง สรุปแล้วผู้ชายทั้งบ้านโดนเด็กสาวคนเดียวที่เก็บมาเลี้ยงกินตับจนหมด เธออยากได้อะไรก็ต้องให้ เธออยากไปไหนก็ต้องตามใจ เพราะทุกคนต่างก็คลั่งรักเด็กสาวที่ทั้งสวยและสดใส
นาจำต้องเลี้ยงดูลูกติดของน้องเขยเพราะว่าเขากับน้องสาวของเธอนั้นประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นับแต่นั้นมาฝาแฝดก็มีคุณป้าคนสวยเพียงคนเดียวดูแลตลอดมา พอโตเป็นหนุ่มแล้วพวกเขาก็ชอบเล่นกล้ามและไปแข่งประกวดเพาะกายจนได้รางวัลและเงินมามากมาย คุณป้ายังสาวจึงต้องคอยดูแลอาหารการกินและเสื้อผ้าหน้าผมสองหนุ่มอยู่ตลอดเวลา วันดีคืนดีก็ต้องดูแลเรื่องบนเตียงของพวกเขาด้วย ในเมื่อหนุ่มๆพวกนี้ทั้งคึกคักและแรงดี เรียกได้ว่าเผลอทีไรเป็นต้องถึงเนื้อถึงตัวกับนาทุกครั้งไป แนะนำตัวละคร นา นางเอก อายุ29ปี ด้วยความที่เธอมีเชื้อจีนและหน้าเด็กตัวเล็กขาวจึงดูเหมือนสาววัยรุ่น (สายตาสั้น,เฉิ่ม) อภิวัฒน์ น้องเขยของนา (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เขาเป็นเสี่ยอายุ38 (มีลูกติดมาจากเมียเก่าสองคนเป็นฝาแฝด) นิน น้องสาวของนา อายุ 28 (เสียชีวิต) ปกป้อง หลานแฝดผู้พี่ อายุ18ปี เล่นกล้าม เพาะกาย เรียนปีหนึ่ง ปราบปราม หลานแฝดผู้น้อง อายุ18ปี เล่นกล้าม เพาะกาย เรียนปีหนึ่ง *หมายเหตุ แฝดทั้งสองเป็นแฝดคนละฝา หน้าตาและนิสัยไม่เหมือนกัน
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน