นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
ในห้องนอนที่ใหญ่กว้าง มีเสียงโทรศัพท์จากโต๊ะข้างเตียงที่ประณีต ดังอย่างไม่ยอมหยุด ทำให้ นรีรัตน์ ทวีศักด์สกุล รำคาญจนทนไม่ได้
เธอพยายามคว้าผ้าปูที่นอนที่ทับอยู่ใต้ร่าง ขณะที่เธอตะคอกชายที่อยู่ข้างเธอ “ชยุด คุณ–” ก่อนที่เธอจะพูดจบ ชายคนนั้นก็ทำให้เธอครางด้วยความอิ่มเอม
เธอยังไม่ทันได้พูดจบเลย ผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เสียงโทษของเธอกลายเป็นการหายใจหืด ๆ แทน
ร่างของเธออ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งลนไฟ เมื่ออยู่ภายใต้ร่างของเขา
ชายคนนั้นค่อย ๆ เขยิบตัวออกจากร่างของนรีรัตน์ เขาบิดขี้เกียจก่อนยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างโต๊ะ
“ที่รัก เดี๋ยวพี่ลงมาหาจ้ะ “ตัวเองรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้วใช่มั้ยจ้ะ” เขาชงักไปชั่วครู่ก่อนผงกศีรษะ “งั้นพี่ขออาบน้ำแต่งตัวก่อนค่อยลงไปนะ รักนะ”
ผู้ชายที่อยู่ข้างเธอสูงชะลูด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ มัดกล้ามของเขาช่างยั่วยวนและเซ็กซี่ โดยเฉพาะตอนที่เหงื่อไหลลู่ไปตามผิวอันเงางามของเขา ดวงตาของเขานั้นดูแสนจะอบอุ่นและเป็นมิตร เต็มไปด้วยความเสน่ห์และความเอาใจใส่
แต่นรีรัตน์รู้ดีว่า ความรู้สึกนั้นเขาไม่ได้จะมอบให้เธอ
ความอ่อนโยนของเขา มีคนๆ เดียวเท่านั้นที่ได้จับจองเป็นเจ้าของ
เมื่อได้ยินเสียงอันนุ่มนวล เธอถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
นรีรัตน์หยิบผ้าห่มที่ร่วงลงบนพื้นขึ้นมาห่อตัวอย่างเย็นชาขณะที่ชยุดก้าวเท้าไปอาบน้ำ
ประตูห้องน้ำเปิดอยู่ และส่งเสียงน้ำ“หัวๆ” ออกมา
เธอกวาดสายตามองไปรอบห้อง ของตกแต่งทุกชิ้นนำเข้ามาจากประเทศ D เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เป็นของหรูทั้งนั้น
นี่เป็นห้องนอนห้องหนึ่งของวิลล่าตระกูลเกียรติโรจนปรีชา แต่สำหรับนรีรัตน์แล้วมันไม่ต่างไปจากพวกโรงแรมห้าดาวที่เธอเคยพักเลยแม้แต่น้อย
“ลงไปถ่ายรูปให้ผมด้วย” ชยุดเดินออกมาจากห้องน้ำขณะที่เธอมัวแต่เหม่อมองไปรอบ ๆ ห้อง
น้ำเสียงของเขาดูเย็นชา เธอเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งที่เขาเล่นเสร็จแล้วก็ทิ้งไป
ที่แท้จริงแล้ว เขาเกียจเธอมาก ถึงแม้ว่าเธอเป็นภรรยาของเขา แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเธอ และไม่เห็นคุณค่าในตัวเธอเลย
เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเขาต้องทนอยู่ด้วยกัน ก็เพื่อทำตามข้อตกลงที่ทั้งสองได้ทำไว้ ทั้งหมดที่เธอต้องทำ คือต้องเข้านอนกับเขาในเวลาที่สั่งไว้ในทุกๆ วัน ข้อตกลงในสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เธอต้องตั้งครรภ์ภายในปี
หากเธอไม่สามารถให้กำเนิดลูกให้เขาได้ หุ้น AN กรุ๊ปที่เธอถืออยู่ทั้งหมด จะถูกยึดคืนและเธอคงไม่มีตัวเลือกอื่นเสีย นอกจาก ต้องถูกไล่ออกไปจากเมือง A
AN กรุ๊ปเป็นบริษัทชั้นนำบนหน้านิตยสารฟอร์บส์ ที่ทะยานสู่จุดสูงสุดของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จนไม่มีบริษัทไหนทัดเทียมได้
ชยุด เกียรติโรจนปรีชา ประธานของบริษัท เป็นตำนานผู้ก่อตั้ง ตอนที่อายุเพียง 17 ปี เขาได้ทำกำไรสุทธิเครือ AN กรุ๊ปได้เป็นสองเท่า ส่งผลให้บริษัททะยานจากอันดับที่ 7 ไปสู่อันดับ 1 ในการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์
เขาได้รับฉายาอย่างต่อเนื่องมาเป็นสามจากนิตยสาร《บุคคลตำนานในโลก》ว่า ‘ชายผู้ที่หญิงสาวทั้งโลกอยากจะแต่งงานด้วยมากที่สุด’ เขายังได้รับฉายาอีกว่า ‘ชายผู้เป็นตำนานกล่าวขานไปทั่วโลก’
เมื่อฟังจากน้ำเสียง นรีรัตน์รู้ว่าคนรักของเขาต้องรออยู่ที่ชั้นล่างแล้วเป็นแน่
“ฉันถ่ายรูปไม่ค่อยเก่งนะคะ” เธอตอบอย่างเย็นชา
“ผมบอกให้เธอถ่าย เธอก็ต้องถ่ายจะพูดมากทำไม” เขาจ้องเข็มงไปที่เธอ สายตาของเขาเย็นเฉียบราวกับค่ำคืนอันเหน็บหนาว “ปัญญาของเธอไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือ แค่โทรศัพท์ก็ใช้ไม่เป็นรึไง ถ้าอย่างงั้นตำแหน่งรองประธานบริษัท AN กรุ๊ปก็คงไม่เหมาะกับเธอหรอก”
“นี่คุณ!” ความโมโหเดือดพล่านในใจ เธอกัดฟันกรอดจนเสียงลอดออกมา
ชยุดก้าวเท้าออกห้องไป โดยไม่แม้แต่จะชายตามองไปที่เธอ “อย่าลืมละ คุณมีนัดทานอาหารเย็นที่สวรรค์เพลสคืนนี้ ถ้าไปช้าและทำทุกอย่างพังละก็นะ คุณจะต้องชดใช้เองนะ”
นรีรัตน์กำหมัดของเธอไว้แน่น ขณะที่จ้องร่างของเขาที่ค่อยๆ เลือนหายไป สำหรับเขาแล้วไม่มีใครสำคัญกว่าสุดที่รักของเขา
เธอค่อยๆ คลายมือออกแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อแต่งตัว
เพื่อให้ได้หุ้นส่วน เธอต้องอดทนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ เธอยังคงคาดหวังเรื่องอีกอย่างหนึง จริงๆแล้ว เธอมีแต่เป้าหมายเดียวนี้หรือ ที่แท้จริง ในใจเธอ ยังมีความหวังหนึ่งคอยรออยู่
ดวงตาของเธอเด็มไปด้วยความเศร้าโศก
หลังจากนั้นไม่นาน นรีรัตน์ก็สวมชุดกระโปรงยาวอย่างเรียบๆ ชยุดไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆบนร่างกายของเธอ เว้นเสียแต่ความไม่สบายเล็กน้อยตรงส่วนล่างของเธอ
เขารู้สึกสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่ต้องทำ ไม่อยากแตะต้องส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเธอเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญา เขาคงไม่คิดที่จะแตะตัวเธอด้วยซ้ำ
เธอพยายามทนความเจ็บปวดความเมื่อยตรงเอวขณะที่เดินลงไปข้างล่าง
ในห้องโถง ชยุดกำลังถ่ายรูปกับ ปรียาวดี เจริญพรอุดม แฟนสาวที่เขารัก
ปรียาวดีสวมชุดเดรสสีขาวผ่องราวกับหิมะเดือนสิบสอง มันสอดรับกับหุ่นของเธอได้เป็นอย่างดี และยังช่วยเสริมใบหน้าอันสวยสดของเธอยิ่งขึ้นไป
พวกเขาดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
ทันใดนั้น ชยุดก็เห็นนรีรัตน์กำลังเดินลงบันได
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ชักช้าจัง เธออยากได้คอร์สรึไง” เขาตะคอก
นรีรัตน์หายใจเข้าลึก ๆ และระงับความโกรธของเธอ เลือกที่ไม่ได้เสียงของชยุดเลย แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เธออยากทำมากที่สุด คงเป็นการเดินไปตบหน้าของเขา
ชยุดเคล้าเคลียปรียาวดีลูกพี่ลูกน้องของเธอไว้ในอ้อมอก เธอส่งยิ้มไปที่นรีรัตน์ด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ก็ชยุดรบเร้าจะถ่ายภาพคู่แล้วก็โพสต์ลง วีแชท โมเม้นต์ อะ เขาบอกต้องโพสต์สักรูปในวันเกิดพี่” เธอแกล้งทำเป็นเกรงใจ
นรีรัตน์ไม่สนใจฟังที่เธอพูด เธอเอื้อมมือไปที่ชยุด “ส่งโทรศัพท์มา”
ชยุดโยนโทรศัพท์ให้เธออย่างรำคาญ ก่อนที่จะส่งยิ้มแบบหึงหวงไปที่ปรียาวดี
“ถ้าเธอถ่ายออกมาไม่ได้เรื่องเลย เธอคงต้องเรียนคอร์สที่บ้านสักสองสามวันนะ เพราะที่หลังานนี้จะขาดเธอไม่ได้ เสียงเย็นชา เต็มไปด้วยการขู่แท้ ๆ
ความโกรธผุดขึ้นในใจของนรีรัตน์ แต่บนหน้าเย็นชา
ชยุดเหลือบมองนรีรัตน์ พลางหงุดหงิดที่เธอไม่โต้ตอบ
จากนั้นเขาก็วางมือลงบนต้นขาของปรียาวดี
“ว้าย ชยุด คุณทำอะไรคะ!” ปรียาวดีหยอกล้อ แก้มของนั้นเธอค่อย ๆ แดงขึ้นเรื่อย ๆ
เธอเอนกายพิงหน้าอกของเขา แต่สายตาของเธอยังคงจ้องมองไปที่นรีรัตน์ นัยน์ตาของเธอเปล่งประกายความยั่วยุ ราวกับเป็นการท้าทายให้นรีรัตน์ปริปากออกมา
ท่าทางของพวกเขาดูมีความสนิทสนมกันมาก
ผ้าเนื้อนุ่มที่โอบรอบร่างของปรียาวดีนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนผ้าไหมเกาะอยู่บนชุดสูทของชยุด
นรีรัตน์ยังคงนิ่งไม่พูดจา เธอยังคงใจเย็นและอดทน ไม่ว่าเธอจะเกลียดชายหญิงคู่นี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอขนาดไหน เธอยังคงทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
ที่เธอต้องการมีเพียงสิ่งเดียว คือให้ทั้งคู่หายไปให้พ้นๆ จากสายตาของเธอ แต่ตอนนี้ เธอคงทำได้แต่ควบคุมอารมณ์ และถ่ายรูปพวกเขาต่อไป
ชยุดเลื้อยมือไปที่ขาและเอวของปรียาวดี มีหลายรูปที่เขาแทบจะโน้วตัวลงไปจูบที่ริมฝีปากของเธอ
ปรียาวดีบุ้ยปากพลางยิ้่มอายๆ
นรีรัตน์พยายามเก็บทุกท่วงท่าที่พวกเขาโพสต์ให้ครบ
แม้ว่าชยุดจะโพสท่ายั่วยวนสักแค่ไหน สีหน้าของนรีรัตน์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “เอามือถือมานี่ ถ้าปรียาวดีไม่สวยละก็ คุณต้องถ่ายใหม่”
นรีรัตน์ส่งโทรศัพท์คืนโดยไม่ลังเล
ปรียาวดีตีแขนของเขาราวกับเด็กเอาแต่ใจ “ตัวเองไม่ไว้ใจหน้าตาของเราหรือ” เธอถาม
ชยุดพรมจูบไปทั่วใบหน้าของเธอ ราวกับว่าเขาเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขาม “ล้อเล้นน่า ตัวเอง! ไม่มีใครสวยเกินไปกว่าตัวเองอีกแล้วบนโลกใบนี้” เขารีบเอ่ยปากชม “ผมแค่กลัวว่าเธอจะไม่สามารถเก็บภาพความสวยของตัวเองได้หมด แค่นั้นเอง”
ปรียาวดียิ้มอย่างเข้าใจง่าย “ตัวเองไม่เชื่อมั่นในความสวยของตระกูลเราเหรอคะ”
เพราะว่านรีรัตน์เป็นลูกพี่ลูกน้องของปรียาวดี หมายความว่าเธอก็ดูดีไม่ต่างกัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้ดูดีเหมือนปรียาวดีก็ตาม
ชยุดพยักหน้าทันที
ปรียาวดีนั้นสวยแบบไร้ที่ติ ผิวของเธอทั้งเปล่งประกายและอ่อนนุ่ม ผมสีดำเข้มของเธอยาวลงมาถึงเอว ล้อมกรอบใบหน้ารูปหัวใจและดวงตากลมโต ดวงตาของเธอทำให้รู้สึกน่าเอ็นดูมาก บริสุทธิ์จนไม่มีใครสามารถครอบครองได้
เธอสูง186ซีแอม แต่น้ำหนักมีแค่48.5โลเองและรูปร่างได้สัดส่วน ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็เปรียบเธอเป็นดั่งเทพธิดา
จะถ่ายยังไงเธอก็ออกมาสวยมากอยู่แล้ว ยังไม่ว่าเลยที่นรีรัตน์ได้ถ่ายอย่างเอาใจใส่
ชยุดชำเลืองดูภาพทั้งหมดที่เธอถ่าย ในทุกรูปถ่าย ความสวยของปรียาวดีเปล่งประกายออกมาตอกย้ำความสง่างามของเธอ ดูเหมือนว่าเขาแทบจะไม่พบข้อผิดพลาดใดๆ
ด้วยความโกธรในใจที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ ก็เลยยึดโทรศัพท์กลับมาอย่างรำคาญ “เธอไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ต้องการเธอแล้ว”
นรีรัตน์หันหลังและกำลังเดินจากไป แต่เขากลับตะโกนเรียกเธอไว้
“เดี๋ยวก่อน” เขาส่งสายตาไปยังที่เธอด้วยความไม่พอใจ “เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ” ชุดของเธอสีเหมือนกับปรียาว อย่าใส่สีเดียวกันกับเธอเป็นอันขาด ตอนเธอไปร่วมปาร์ตี้ไวน์ เธออย่าทำให้ปรียาวดีดูต่ำเหมือนเธอ
ใบหน้าของเขาโหดเหี้ยมราวกับจะพรากชีวิตของเธอไปยังไงยังงั้น “ที่จริงผมว่า เธอโยนเสื้อผ้าที่สีเหมือนกับปรียาวดีทิ้งไปให้หมดเลยจะดีกว่านะ เพราะปรียาวดีเป็นหนึ่งในใจผม แม้แต่เธอมีเสื้อผ้าทีมีสีเหมือนปรียาวดี ผมก็ไม่อนุญาติ”
นรีรัตน์โกธรจดเลือดขึ้นหน้า ประมาณชั่วครู่หนึ่ง เธอก็กัดฟันพูดออกมา “ฉันจะทำตามที่คุณสั่งเป็นอย่างดีค่ะ”
เธอแค่ใส่ชุดสีขาวเอง ก็ทำให้ปรียาวดีดูไม่ดีแล้วหรือ ที่จริงแล้ว คือเธอไม่อยากใส่ชุดทีมีสีเหมือนกันกับผู้หญิงแบบนี้ต่างหาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะทำให้ปรียาวดีเสียหน้า นรีรัตน์คล้ายมือ
และก้าวไปที่บันได
เมื่อเห็นนรีรัตน์โกธรจัด ปรียาวดีก็แสยะยิ้มที่มุมปาก มีบางอย่างแวบเข้ามาในดวงตาของเธอขณะที่เธอจ้องมองชายที่อยู่ข้างๆ เธอด้วยความรัก
นรีรัตน์ฉีกเสื้อผ้าสีขาวของเธอทั้งหมดจนขาดวิ่น และโยนลงไปที่พื้น
ปรียาวดีชอบผ้าที่มีสีอ่อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสีขาว
จากนี้ไป นรีรัตน์คงสะอิดสะเอียนไม่น้อยที่ต้องใส่ชุดสีเดียวกับเธอ
“ตัวเอง ตัวเองได้โพสต์แล้วหรือยังคะ” ปรียาวดีถามพลางเกยคางบนอกของเขา
ในที่สุดชยุดก็รู้สึกตัว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างสดใสให้กับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขา “จะโพสต์ตอนนี้ครับ”
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและเลือกรูปที่พวกเขาดูดีที่สุด ในภาพนั้น พวกเขาทั้งสองหัวเราะอย่างมีความสุข แขนของพวกเขาโอบรัดซึ่งกันและกัน ราวกับคู่ตุนาหงันก็ไม่ปาน ยิ่งเขาจ้องไปที่รูปมากเท่าไร ความรู้สึกหงุดหงิดปนรำคาญก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณในใจเขาขึ้นมากเท่านั้น เขาโพสต์บน วีแชท โมเม้นต์ ของเขา
แคปชัน:สุขสันต์วันเกิดครับ ที่รัก ผมจะรักคุณตลอดไป!
ทันทีที่เขาโพสต์เสร็จ ผู้คนจำนวนมากก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นใต้รูป
มิสเตอร์ ฮี คอมเม้นว่า “คนโสดมาเห็นคงกระอักเลือดตายได้เลย”
มิสเตอร์ ซัน คอมเม้นว่า “นายนี่มัน อวดแฟนเท่ากับฆ่าคนแท้ ๆ เลย ฆ่ากูให้ตายเหอะเพื่อน อย่างน้อยก็ให้เพื่อนโสดๆ คนนี้ได้หายใจหายคอบ้าง!”
ยังมีคอมเม้นชื่นชมอื่นๆ อีกเช่น:“ปรียาวดี หน้าตาเธอดูเปล่งประกายเชียวนะ! สุขสันต์วันเกิด! ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไปนะคะ ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน ๆ”
แม้พวกเขารู้ดีว่าชยุดมีภรรยาเป็นตัวเป็นตน แต่หัวใจของเขานั้นมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้น ที่ได้ครอบครอง
นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน