ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ครืด ๆ...
เสียงมือถือสั่นขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้อง ซูจิ้งสะลึมสะลือพลันเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นใคร เธอก็กดรับอย่างไม่ลังเล
เธอเกรงว่าหากไม่รีบรับสาย สายอาจจะตัดไป
“ฮัลโหลค่ะ” เธอตื่นเต้นจนพูดจาตะกุกตะกัก
เมื่อใดก็ตามหากเธอต้องรับสายนี้ เธอมักจะประหม่าอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าปลายสายจะมองไม่เห็นเธอ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นสางผม
“วันนี้ผมจะกลับบ้าน” เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังมาจากปลายสาย
หัวใจของซูจิ้งเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอเอ่ยถาม “แล้วคุณอยากให้ฉันทำอะไรให้ไหม? คุณอยากทานอะไร? หรืออยากให้ฉันเตรียมอะไร...”
“ไม่ต้อง” เขาพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ราวกับปลายสายไม่ใช่ภรรยาของตน
เขาเป็นสามีของเธอ แต่เพราะเขามีท่าทีเยี่ยงนี้กับเธอแต่แรก เธอเลยชินซะแล้ว
“ซีเจว๋...” ซูจิ้งเอามือกุ้มที่หน้าท้องของเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างเบาๆแล้วตัดสินใจที่จะบอกข่าวนี้กับเขา “ฉัน ฉันอาจจะ...”
“ผมต้องไปแล้ว”
เขาตัดสายอย่างกะทันหัน
ซูจิ้งจับมือถือไว้ ยิ้มอย่างหม่นหมอง พลันเอ่ยประโยคที่ค้างไว้ออกมา “ฉันอาจจะท้อง”
ซูจิ้งและซีเจว๋ แต่งงานกันมาได้สามปีแล้ว เธออาศัยอยู่กับครอบครัวของเขา ในขณะที่เขาใช้ชีวิตตามลำพังในหวาถิง วิลล่า ช่วงสามปีของชีวิตคู่ พวกเขาเคยนอนด้วยกันเพียงหนเดียว คือเมื่อช่วงเดือนกว่าๆที่ผ่านมา คืนนั้นเขากลับมานอนที่บ้านตระกูลหยง ไม่ได้กลับวิลล่าของตน เรื่องคืนนั้นซูจิ้งรู้อยู่เต็มอก เขาอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเธอเริ่มรู้ตัวว่าเป็นเสมือนส่วนเกินของบ้าน แต่เธอกับพบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
แต่เธอก็ยังลังเลที่จะบอกเรื่องนี้กับสามี เพราะเธอไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทียังไง
เธอส่ายหัว และบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายไม่ว่าซีเจว๋จะปฏิบัติกับเธอยังไงก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ทำให้ความฝันในวัยเด็กของเธอเป็นจริง นั่นคือการที่เธอได้แต่งงานกับเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว
ซูจิ้งลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินลงไปยังชั้นล่าง เพื่อเตรียมอาหารเช้า แม้จะยังเช้าเกินไปที่จะเตรียมอาหารเช้าในตอนนี้ แต่เธอเกรงว่าสามีจะกลับมาถึงก่อน หากเธอไม่รีบเตรียมอาหารเช้าไว้ อาจทำให้สามีของเธอต้องนั่งรอ
ซูจิ้งง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารในครัวกว่าสองชั่วโมง เธอเฝ้ามองจนสมาชิกทุกคนในตระกูลหยงออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว แต่สามีของเธอก็ยังไม่กลับมา
เธอไม่ต้องการให้ตัวเองว่าง เธอยุ่งอยู่กับการทำงานบ้านที่ชั้นล่างทั้งวัน พอตกค่ำเธอก็จัดโต๊ะอาหาร พร้อมชำเลืองมองไปยังประตูเป็นพัก ๆ
“ซูจิ้ง ทำไมมัวแต่มองไปที่ประตู? ซีเจว๋จะกลับบ้านงั้นเหรอ” ถาวหยัน เหลือบมองซูจิ้งด้วยความสงสัย ขณะนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น
“ค่ะ”
ถาวหยันไม่พอใจกับคำตอบแบบขอไปทีของเธอ “เธอนี่มันไร้มารยาทจริง ๆ ไม่รู้เหรอว่า จะต้องพูดกับฉันยังไง ถึงฉันจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของซีเจว๋ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาพูดจาห้วนๆแบบนี้กับฉัน?”
ซูจิ้งไม่ได้ตอบโต้ เธอเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดโต๊ะต่อไป ในช่วงสามปีมานี้ หลังจากที่เธอแต่งเข้าตระกูลหยง ถาวหยันเป็นคนที่เธอต้องรับมือด้วยมากที่สุด นานวันเข้าเธอก็เริ่มเรียนรู้ว่า หากถาวหยันต้องการหาเรื่องเธอ การนิ่งเงียบคือทางออกที่ดีที่สุด เมื่อถาวหยันด่าทอเธอจนพอใจ ถาวหยันก็จะหยุดไปเอง แต่ถ้าเธอตอบโต้ ถาวหยันก็จะสรรหาเรื่องราวมาด่าทอเธอไม่จบไม่สิ้น
“นี่ฉันกำลังคุยกับเธออยู่นะ เป็นใบ้รึไง?” ทันทีที่ถาวหยันเห็นว่าซูจิ้งไม่สนใจเธอ ถาวหยันเลยขึ้นเสียงใส่เธอ
“เธอแต่งงานมาก็ตั้งสามปีแล้ว แต่ซีเจว๋ไม่ค่อยกลับมาที่บ้านหลังนี้เลย ไม่ส่องกระจกมองดูสารรูปตัวเองบ้างเหรอ” ถาวหยันเดินเข้าไปหาซูจิ้ง และมองเธอด้วยสายตาดูแคลนตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอมันไม่ได้เรื่อง เธอคิดเหรอว่าหากไม่ใช่เพราะซีเจว๋ต้องการพึ่งบารมีของครอบครัวเธอ ซีเจว๋จะแต่งงานกับเธอ”
ซูจิ้งกำหมัดแน่น เพื่อระงับความโกรธของตนเอง และไม่คิดใส่ใจกับคำพูดของถาวหยัน
เหล่าคนใช้ในห้องต่างก็มองซูจิ้งด้วยความเห็นใจ แต่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย
พอเห็นว่า ซูจิ้งยังคงนิ่งเฉย ถาวหยันก็ยิ่งวางอำนาจหนักขึ้นไปอีก “เธอนี่เล่นละครเก่งจริง ๆ ! ปกติถ้ายังไม่เที่ยงก็ไม่เห็นจะตื่น แสดงเป็นภรรยาผู้แสนดี เพราะเห็นว่าซีเจว๋จะกลับมาวันนี้สินะ
พอได้ยินแบบนั้น ซูจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่ตอบโต้อีกฝ่ายอยู่ดี
ซูจิ้งยังไม่ได้บอกใครเรื่องที่เธอตั้งท้อง เพราะอยากให้สามีของเธอรู้ข่าวดีเป็นคนแรก สิ่งที่ถาวหยันพูดเป็นเรื่องจริง ช่วงนี้เธอรู้สึกง่วงเป็นพิเศษ และตื่นสายเป็นประจำ แต่ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะว่า เธอกำลังท้อง
“หึ อีกไม่นานเดี๋ยวซีเจว๋ก็ไล่เธอออกจากบ้านหลังนี้! เธอไม่เห็นจะมีดีอะไร เธอไม่มีวันจับเขาได้หรอก พวกเธอไม่เหมาะสมกันสักนิด”
หลังจากพูดจบ ถาวหยันก็ยิ้มที่มุมปากเผยให้เห็นดวงตาเล็กน้อย
ขณะนั้นเหล่าคนใช้ที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ต่างแสดงความเคารพให้ใครบางคน พร้อมกล่าวขึ้นว่า “นายท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของถาวหยันก็เปลี่ยนไป
เธอหันไปมองที่ประตูอย่างช้าๆ เมื่อเห็นซีเจว๋ยืนอยู่ตรงนั้น เธอถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เมื่อเธอได้สติเธอก็รีบรุกขึ้น แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
หลังจากชำเลืองมองถาวหยันที่กำลังชิ่งหนีไป ซูจิ้งก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู
“คุณกลับมาแล้ว เหนื่อยมั้ยคะ อยากทานอะไรมั้ย” เธอเดินเข้าไป แล้วช่วยชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมออกอย่างเต็มใจ ซึ่งเป็นหน้าที่ภรรยาอย่างเธอ แม้ว่าซีเจว๋จะไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ซูจิ้งจะดูแลเขาอย่างดีทุกครั้งที่เขากลับมา
ซีเจว๋ยืนอยู่ที่ประตูโดยไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าของเขาดูไร้อารมณ์ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขามีอารมณ์ร้ายดียังไง
ถึงยังงั้น ตอนที่ซูจิ้งช่วยซีเจว๋ถอดเสื้อคลุม เขากลับไม่ได้ยกแขนขึ้น แม้ว่าเขาไม่เคยชอบให้เธอมาปรนนิบัติเขาสักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ แต่วันนี้เธอรู้สึกบรรยากาศแปลกๆ
เธอเงยหน้ามองไปที่เขา และพยายามเดาว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่ “วันนี้เป็นไงบ้างคะ คุณคงรู้สึกเหนื่อยหลังจากทำงานมาทั้งวันแน่เลย ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ค่ะ”
ซีเจว๋ยังคงเงียบไม่ตอบคำถามของเธอ และไม่แม้จะชายตามองเธอ
ผ่านไปสักพัก ซีเจว๋ก้าวเท้าเพื่อเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกล่าวว่า “ตามไปที่ห้อง ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
เมื่อมองผ่านแผ่นหลังของสามี ขณะเดินขึ้นบันได ซูจิ้งก็รู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก ความจริงแล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจ ตั้งแต่ได้รับสายจากเขาเมื่อเช้านี้ ความรู้สึกนี้มันแตกต่างจากความรู้สึก ที่เธอตื่นเต้นป่นดีใจ ยามรอคอยเขา และหวังจะได้เจอเขา
หลังจากยืนลังเลอยู่ชั้นล่างเป็นเวลานาน ในที่สุดซูจิ้งก็ตัดสินใจเดินตามเขาขึ้นไปยังชั้นบน
ประตูห้องนอนยังเปิดอยู่ เขายืนหันหลังให้เธออยู่ตรงหน้าต่าง
ซีเจว๋ชายหนุ่มรูปหล่อ รูปร่างสูงโปร่ง ราวกับเทพบุตร ชายหนุ่มที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนี้ เป็นสามีของเธอจริง ๆ เธอมักจะรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป แต่ในขณะเดียวกัน เธอกับหัวใจพองโต และรู้สึกภาคภูมิใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ซีเจว๋คะ ฉันทำอาหารเย็นให้คุณด้วยนะ ทานอะไรสักหน่อยนะคะ อาหารโปรดของคุณทั้งนั้นเลย” เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดอาหาร
สิ้นเสียงของหญิงสาว ซีเจว๋ก็หันกลับไปมองที่ใบหน้าอันงดงามของเธออย่างรวดเร็ว “ผมคิดเรื่องนี้อยู่นาน และวันนี้ ผมก็ตัดสินใจได้แล้ว”
ซูจิ้งจงใจหลบนัยตากลมสีดำคู่นั้นของซีเจว๋ แล้วเดินไปหาเขาพร้อมกับรอยยิ้ม “ทานข้าวก่อนนะคะ”
รอยยิ้มของซูจิ้งแฝงไปด้วยความประหม่า เธอไม่อยากรับรู้เรื่องที่สามีของเธอกำลังจะพูดต่อจากนี้
ทันใดนั้น ซีเจว๋ก็ก้าวเท้าเข้ามาหาเธอ แต่ละย่างก้าวนั้นช่างดูหนักแน่น ราวกับว่า เขากำลังโกรธเธออยู่
ซูจิ้งรีบวางถาดลงอย่างรวดเร็ว และหันหลังเดินจากไป “ทานไปก่อนนะคะ ฉันจะไปเอาน้ำมาให้”
เธอพยายามจะเดินหนีออกจากห้อง แต่เขาไม่เปิดโอกาสให้เธอทำเยี่ยงนั้น “เราหย่ากันเถอะ”
ทันใดนั้น ซูจิ้งรู้สึกราวกับว่า โลกกำลังหยุดหมุน เธอหันหลังให้ซีเจว๋ ร่างกายไม่สามารถขยับเขยือนได้
ซูจิ้งยืนอยู่ตรงนั้นได้สักพัก แล้วจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พลันรีบเดินหลบออกไปอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวฉันลงไปเอาของก่อนนะคะ”
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"