"ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" เซียวหยามองหน้าชายคนรักที่โดนพิษยาปลุกกำหนัดในใจก็นึกโกรธเซียวเหยียนขึ้นมาทันที "ข้าร้อนยิ่งนักอยากจะปลดปล่อย" น้ำเสียงกระเซ้าบอกชายคนรัก ในใต้หล้านี้ เสิ่นจ้านไม่ต้องการสตรีแม้แต่คนเดียว เขาต้องการบุรุษอย่างเซียวหยาเท่านั้น
"ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" เซียวหยามองหน้าชายคนรักที่โดนพิษยาปลุกกำหนัดในใจก็นึกโกรธเซียวเหยียนขึ้นมาทันที "ข้าร้อนยิ่งนักอยากจะปลดปล่อย" น้ำเสียงกระเซ้าบอกชายคนรัก ในใต้หล้านี้ เสิ่นจ้านไม่ต้องการสตรีแม้แต่คนเดียว เขาต้องการบุรุษอย่างเซียวหยาเท่านั้น
"ปล่อยข้านะ ปล่อย" เซียวหยาดีดดิ้นอย่างแรง ไม่คิดเลยว่า วันนี้จะโดนพี่ใหญ่ของนางรังแก มันจะมากไปแล้วนะ เกิดมา นางก็ไม่เคยเป็นที่โปรดปรานของบิดา ตอนเด็กนางจำความได้ว่า บิดาเข้าข้างแต่บุตรสาวฮูหยินใหญ่ คือเชียวเหยียน นางต้องตกเป็นเบี้ยล่าง เซียวเหยียนตลอดเลย
น่าเจ็บใจนัก
"ปล่อยคุณหนูของข้านะ" แม้แต่เสี่ยวอ้ายยังทนดูมิได้ที่คนพวกนี้รังแกเจ้านายของนาง คุณหนูผู้น่าสงสารของนาง
เหตุใดพวกเขาจึงใจร้ายเพียงนี้
ฝ่ามืองามกระทบใบหน้าเสี่ยวอ้ายอย่างเเรง
"เป็นแค่สาวใช้ริอาจมาต่อกรกับข้า ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย"
"เสี่ยวอ้าย" เซียวหยามองสาวใช้อย่างน่าสงสาร ทำไมวันนี้เซียวเหยียนต้องอารมณ์ร้ายด้วยเล่า
"นังแพศยาเยี่ยงเจ้า เหตุใด ฝ่าบาทต้องพระราชทานสมให้เจ้ากับท่านเเม่ทัพเสิ่นจ้านด้วยเล่า" เซียวหยาทำหน้าอย่างงุนงง ฝ่าบาพระราชทานให้นางสมรสกับท่านแม่ทัพเสิ่นจ้านอย่างนั้นรึ เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่มีทาง เพราะเหตุนี้เองพี่สาวคนดีของนางถึงได้เกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้
อีกเหตุผลประการหนึ่งก็คือ เซียวเหยียนคือสาวงามอันดับหนึ่งของแว่นเเคว้นแคว้นต้าเยียน นางได้เเอบหลงรัก ท่านแม่ทัพเสิ่นจ้านมานานเเล้ว
"เจ้าเลยลงมือทำร้ายข้ารึ"
"ใช่" ในจังหวะที่ฝ่ามือจะกระทบหน้าเซียวหยา เท้าของนางก็พุ่งเข้าไปที่ท้องของเซียวเหยียนอย่างแรง จนนางกองกับพื้น พริบตาเดียวสาวใช้ ทั้งสองคนถูกตบจนหน้าหัน
ไม่คาดคิดว่าเซียวหยาจะมีเเรงมากขนาดนี้
"เจ้า เจ้าทำร้ายข้า ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ" นางเป็นถึงยอดดวงใจของบิดา
เชียวหยารีบประคองเสี่ยวอ้ายขึ้น มองดูสีหน้าที่เจ็บปวดของเสี่ยวอ้ายเเล้ว เซียวหยาพลันปวดใจขึ้นมาเพราะราชโองการบ้า ๆ ทำให้เกิดเรื่องขึ้น คิดว่านางอยากจะแต่งงานกับท่านแม่ทัพหน้าตายอย่างนั้นรึ
สองนายบ่าวรีบกลับมาที่เรือน เรือนของคุณหนูรองนั้นช่างจะพังแหลไม่พังแหล อีกทั้งยังอยู่ท้ายจวนอีกด้วย
ทำอย่างไรได้เล่า นางเกิดมาก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดา เพราะมารดาของนางเป็นบ่าวล้างเท้าในจวนเซียว ตั้งแต่มารดาตาย ทุกคนจึงรังแกคุณหนูรองอย่างไม่ไยดี
นางทำแผลหาขวดยากระเบื้อง มาทายาให้สาวใช้อย่างละเอียด พวกนางเหลือเพียงสองคนเท่านั้นในจวน กระนั้น เซียวหยาจึงต้องรักเสี่ยวอ้ายเป็นพิเศษ
สาวใช้มองเจ้านายอย่างสงสาร หลายครั้งเเล้วที่พวกนางโดนรังแก คุณหนูยอมมาตลอด แต่ครั้งนี้คุณหนูไม่ยอมให้คนอื่นรังเเก
"คุณหนู บ่าวขอโทษ เจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินสาวใช้เอ่ยเยี่ยงนี่ เซียวหยายิ้ม
"ที่ข้าสู้กับพวกนางในครั้งนี้ เพราะว่า ข้ากำลังจะกายเป็นฮูหยินท่านแม่ทัพเสิ่น ข้าเลยต้องต่อสู้ เพราะถึงอย่างไร พวกเราก็ต้องจากจวนแห่งนี้"
จวนเซียวมิใช่บ้านที่ดีสำหรับนาง สิบห้าปีผ่านมา นางไม่เคยได้รับความรักจากบิดา แม้บิดาจะเป็นถึงท่านผู้ตรวจการเมืองหลวงก็ตาม
เซียวอี้ลำเอียงนัก รักแต่บุตรภรรยาหลวง ไม่เคยมีนางในสายตาเลยเเม้แต่น้อย
ยามพลบค่ำสำรับจากที่โรงครัวส่งมาให้ เป็นน้ำแกงจืด ๆ กับ ข้าวเเข็ง ๆ หลายปีมานี้ นางกับเสี่ยวอ้ายใช้ชีวิตรันทดเสียจริง บ่าวในเรือนยังดีกว่าพวกนางในจวนเป็นร้อยเท่า
"คุณหนู ดูกับข้าวสิเจ้าคะ" แม้แต่อาหารหมายังดีกว่านี้ สายตาของเซียวหยามองแล้วถอนหายใจ
"ไปที่โรงครัวเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินของอร่อย ๆ" นางคิดดีเเล้ว เสี่ยวอ้ายพลันหวาดกลัว
"จะดีหรือเจ้าคะ"
"มาเถอะ เกิดอะไรขึ้น ข้าปกป้องเจ้าเอง"
โรงครัวในตอนนี้ แม่ครัวฟางกำลังตุ๋นน้ำแกงไก่กับรังนกให้ฮูหยินใหญ่ กับคุณหนูใหญ่
"เร็วเข้า ประเดี๋ยวยกไปให้คุณท่านทั้งสอง ชักช้านั่นล่ะ" แม่ครัวฟางรู้ว่า ถ้ายกไปช้า อาจจะโดนคุณหนูใหญ่ตบก็เป็นได้
ในระหว่างนั้นเองสองนายบ่าวได้เข้ามาได้ยินพอดี เซียวหยานั้นไม่เคยได้บำรุงของดี ๆ เลย กระนั้นนางสาวเท้าไปยกหม้อน้ำแกงไก่ เป่าครู่เดี๋ยว ซดเข้าปากอย่างอร่อย
แม่ครัวฟางตกใจไม่น้อย
"คุณหนูรอง เจ้าบ้าไปแล้วรึ ไปกินดีหมีหัวใจเสือ มาแต่ไหน ถึงได้ไปกินของบำรุงของคุณท่าน" ในสายตาแม่ครัวฟาง คุณหนูรองคือ แค่คนอาศัยในจวนเท่านั้น นางเป็นแม่ครัว นางจึงกล้าขึ้นเสียงด่ากราดได้
"สารเลว แม้แต่แม่ครัวยังกล้าด่าคุณหนูเยี่ยงข้า เห็นทีจวนนี้ เลี้ยงพวกเจ้า เสียข้าวสุกเสียจริง"
"เด็ก ๆ ตีนางสองคน" คำสั่งแม่ครัวของฟาง สาวใช้ในครัวต่างเชื่อฟังเเล้วกรู่เข้ามาล้อมสองนายบ่าวไว้
เซียวหยายิ้มเย็น นางพร้อมที่จะลงมือเเล้ว ไหน ๆ อีกไม่นานก็จะแต่งกับเเม่ทัพเเล้ว นางพร้อมสู้ตาย
สาวใช้ยังไม่ทันได้แตะต้องตัวนาง ต่างลมลงพื้นอย่างน่าสงสาร เสียงครางโอดโอยอย่างเจ็บปวดดังขึ้น
จนทำให้เเม่ครัวฟางพลันหวาดกลัว
"ท่านช่างกล้ายิ่งนัก ข้าจะฟ้องนายท่าน" กล่าวจบแม่ครัวฟางสาวเท้ายาวออกไป เพียงก้าวไปไม่กี่ก้าว มีดทำครัวปักลงตรงหน้านางเเล้ว
เสี่ยวอ้ายคิดไม่ถึงว่า คุณหนูจะมีฝีมือถึงเพียงนี้
แม่ครัวฟางถึงกับเข่าอ่อนลง
"คุณหนูรองไว้ชีวิตบ่าวด้วย"
"เจ้าจะไปฟ้องท่านพ่อมิใช่หรือ"
"บ่าวไม่กล้าเเล้ว" น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยอย่างหวาดกลัว เห็นทีคุณหนูรองมิใช่ลูกพลับนิ่มที่จะรังแกกันได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นเเม่ครัวฟางหวาดกลัว เซียวหยาพลันมีความสุขยิ่งนัก นางสั่งให้เสี่ยวอ้ายกวาดของกินในโรงครัวมาให้หมด สาวใช้ดีใจยิ่งรีบเก็บอาหารใส่ย่ามทั้งหมด สองนายบ่าวได้ของที่ต้องการเเล้วเดินจากไป อย่างไม่ใยดี
แม่ครัวฟางมองอย่างแค้นเคือง
"ข้าจะไปหานายท่าน" สาวใช้ต่างประคองแม่ครัวฟางขึ้น
เปาเปา เปยเปยมีรึจะยอมให้อ๋องปากสุนัขมายุ่งกับมารดาของพวกเขามิสู้ หาบิดาหล่อๆ ให้มารดาสักคนเสียดีกว่า 55555 สมหน้าบิดาสมองสุนัข
หลีซินแพทย์ศัลยกรรมในยุคปัจจุบันได้ทะลุมิติเข้าร่างสตรีลูกขุนนาง ที่มีความเอาแต่ใจ อารมณ์ร้ายเป็นใหญ่ แต่ทว่าสตรีนางนี้ ต้องแต่งงานกับหยางอ๋องผู้มีลูกติดฝาแฝดชายหญิง
นางหนีความยากลำบากเข้ามาในเมืองหลวงฉางอัน เพื่อขายตัวเองเป็นสาวใช้ในจวนท่านแม่ทัพ แต่ทว่า ท่านแม่ทัพผู้นี้เมตตาสาวใช้อย่างนางยิ่งนัก จนกระทั่งทำให้ฮูหยินใหญ่ในจวนมิพอใจสาวใช้อย่างนาง จูจูจะทำอย่างไรให้มีชีวิตที่ปลอดภัยในจวนท่านแม่ทัพนี้ ร่วมเป็นกำลังใจให้จูจูนะเจ้าคะ
เซียวหรูอวี้กับโอวหยางหลิงหลง เรื่องข้ามภพข้ามชาติมาเป็นชายาอ๋อง เรื่องข้าอยากเป็นภรรยาเจ้า เป็นเรื่องบุตรสาวของเซียวหรูอวี้ คือท่านหญิงเปยเปยกับอวครักษ์จาง เรื่องราวระหว่างท่านหญิงกับองครักษ์ที่มีความรักให้กัน คนทั้งคู่จะได้มีวาสนาได้ครองรักกันหรือไม่? ................................................................................................................................................................ ใต้น้ำ ชายหนุ่มกอดหญิงสาวไว้ ริมฝีปากรีบประกบปากนาง ทั้งคู่มองหน้ากันแม้จะอยู่ใต้น้ำ เขาต้องต่อลมหายใจให้นาง ถ้าขืนโผล่หน้าขึ้นไปพวกมันอาจซุ่มอยู่ก็เป็นได้ การประกบริมฝีปากอยู่ใต้น้ำช่างเนิ่นนานเหลือเกิน พรึ่บ! ในที่สุดทั้งคู่ก็โผล่หัวออกมาจากใต้น้ำ หญิงสาวหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าหนาว พาข้าขึ้นฝั่งที” ชายหนุ่มไม่รอช้า เขาพานางขึ้นฝั่ง เขาพานางขึ้นฝั่งแล้วเข้าไปในถ้ำ โชคดีในถ้ำเหมือนจะมีคนเคยมาพักที่นี่ ทิ้งฟืนไว้จำนวนมาก หญิงสาวนั่งตัวสั่น นางหนาวเหลือเกิน “เจ้าถอดเสื้อผ้าออกเถอะ” ชายหนุ่มหันไปบอกหญิงสาว แต่ในมือยังคงก่อไฟ เป่ยเป่ยได้ยินดังนั้นก็ปลดอาภรณ์สีแดงเพลิงออกเหลือเพียงแค่เอี๊ยมสีชมพู หญิงสาวนั่งผิงไฟอย่างเขินอาย จีนโบราณ
อวี้เหมยหรู แพทย์สาวยุคปัจจุบัน ได้ทะลุมิติเข้าไปในนิยายที่เธออ่าน เธอนั้นดันชอบพระรองอย่างท่านแม่ทัพซือเหยียน มากกว่าพระเอกอย่างองค์ชายสามจีเสวียน
เกาเหมียวหรงบุตรสาวนายอำเภอโจว ไม่เป็นที่รักของขอบิดา เกาเซิง นางเป็นบุตรภรรยาเอกที่ตายไปแล้ว กระนั้นบิดาจึงให้นางออกเรือนกับพ่อค้าคารวานแห่งทุ่งหญ้า มีอายุคราวบิดา นางจึงตัดสินใจเป็นอนุของแม่ทัพหนานอ๋อง
หลังจากแต่งงานได้สองปี เซี่ยหนิงซีนอนจมกองเลือดเมื่อเธอคลอดบุตรยาก แต่เธอลืมไปว่าวันนี้เป็นงานแต่งงานของเขากับคนอื่น ฮั่วหนานเซียวพูดว่า "คลอดเด็กออกมา เราไปหย่ากัน" สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือเด็กที่อยู่ในท้องของเธอ แต่ทารกที่เพิ่งเกิดใหม่กลับต้องไปเรียกคนอื่นเป็นแม่ เซี่ยหนิงซียอมตายบนห้องผ่าตัดเสียดีกว่า แต่ปรากฏว่ามีทารกในครรภ์สองคนอยู่ในท้องของเธอ! เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง เขาก็ตกหลุมรักเธอ แต่เธอก็จะแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว และมีลูกสองคน ฮั่วหนานเซียวเป็นบ้าขึ้นมาและวิ่งไปในงานแต่งงานของเธอ... "ฮั่วหนานเซียว ฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ฉันจะเอาชีวิตคุณให้ได้ " เซี่ยหนิงซีทำลายคนรักของเธอด้วยมือของเธอเอง แต่เธอไม่รู้ว่าตอนที่เขารู้ว่าเธอเสียชีวิตนั้น ฮั่วหนานเซียวไม่เปิดใจให้ใครอีกตั้งแต่คืนนั้น เขารอมาตั้งพันกว่าวันด้วยความทุกข์ใจเพียงเพื่อพบเธออีกครั้ง...
วัชรมัยเคยทิ้งไผท ทิ้งลูก แล้ววันนี้กลับมาร้องขอความเป็นแม่อีกครั้ง ไผทจะไม่มีวันให้อภัย! ++++++++++++++++++++++++++ “ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ ถ้าเธอจะเคยนอนกับผู้ชายคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่ตอนอยู่กับฉัน” ขายาว ๆ ย่างสุขุมเข้ามา หญิงสาวทำตัวลีบเล็ก กระทั่งหลังติดแนบหัวเตียง “ฉันไม่ใช้ผู้หญิงร่วมกับใคร!” “พี่ป้อ...” เอ่ยยังไม่ทันจบ ริมฝีปากซีดก็ถูกประกบด้วยอวัยวะชนิดเดี๋ยวกัน “อื้อ...” ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน มีแต่การบังคับดุดัน ไผทดูดดึงริมฝีปากบางจนฮ้อเลือด “เห็นเธอป่วย ว่าจะใจดีให้พักเสียหน่อย แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ถอดเสื้อผ้าออก ฉันจะเช็คของ!” เมื่อจุมพิตอย่างไม่เต็มใจจบลง เสียงทุ้มต่ำดังแหวกเสียงหรีดเรไรข้างนอก ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวเหน็บชวนขนลุก ไผทแสยะยิ้มร้ายกาจให้คนบนเตียง “ทำสิ ไม่งั้นก็ไสหัวไปออกจากบ้านฉัน ออกไปจากชีวิตลูก” วัชรมัยกลืนทุกความรู้สึกกลับไปในอก มือสั่นถอดเสื้อผ้าออก “จะได้อยู่กับลูก...จะได้อยู่กับปราบ” เสียงในสมองดังก้องสะกดจิตตนเอง เพื่อได้อยู่กับลูก ต่อให้ต้องลงนรกขุมไหนเธอก็จะทน! +++++++++++++++++++++++++++++
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เขาหลงรักเธอตั้งแต่ในความฝันแล้วพยายามตามหาเธอในความจริงจนกระทั่งพรหมลิขิตก็ทำให้เขาได้เจอกับเธอ
นางเคยมอบความรัก ความภักดี ให้เขาด้วยความจริงใจ แต่เขากลับตอบแทนนางด้วยการทรยศ หักหลัง สกุลของนางต้องล่มสลาย ยามที่สวรรค์มอบโอกาสให้นางได้หวนคืนชะตา นางจึงตั้งมั่นไม่ขอหวนกลับไปยุ่งเกี่ยวพัวพันกับเขาอีก เพียงแต่นางพยายามหลีกหนี คนหน้าหนากลับพยายามไล่ตาม ใช้ความเจ้าเล่ห์ทั้งหลอกล่อบีบคั้นจนนางไร้หนทางหลีกหนี ในเมื่อมิอาจหลีกหนีเช่นนั้นครั้งนี้นางก็จะทำให้เขาได้รู้ว่า สตรีสกุลหลิวจะไม่ยอมโง่เขลาเป็นครั้งที่สอง "กู่เหว่ยหยวน ตลอดชีวิตของข้า สิ่งที่ข้าเสียใจที่สุด คือมอบใจให้บุรุษชั่วช้าเช่นเจ้า หากสวรรค์มีจริง ไม่ว่าจะกี่ภพชาติอย่าได้พบกันอีกเลย"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด