เมื่อชีวิตและความสาวถูกตีราคาเพียงห้าแสนบาท เดือนอ้ายที่ถูกบังคับขายตัวจึงยอมตกเป็นทาสสวาท มอบความรักและหัวใจให้ผู้เป็นเจ้าของชีวิตเธอ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะตอบแทนเธอกลับ ด้วยความรักไม่ใช่เพียงความใคร่ แต่ถึงแม้เธอจะรักและทำทุกอย่างเพื่อเขามากแค่ไหน ในหัวใจของจักรพัฒน์ เดือนอ้ายก็เป็นได้เพียงนางบำเรอที่หน้าตาคล้ายคนรักเก่า สำหรับเขา เธอเป็นได้แค่เงาของแพรพราว ไม่ใช่วุ้นหรือเดือนอ้ายที่เขารัก
‘...เสียดายที่ผมไม่ได้อยู่ร่วมงานคืนนี้ แต่ผมมีของขวัญส่งให้ที่ห้อง 907 อย่างไรคืนนี้ก็มีความสุขมากๆ นะครับพี่ใหญ่ อ้อ...ลืมบอกไปว่าของขวัญชิ้นนี้ผมแย่งมากจากไอ้วาธิตย์แบบทุ่มไม่อั้น คิดแล้วยังสะใจไม่หาย อยากเห็นหน้ามันใกล้ๆ ชะมัดตอนที่รู้ว่าประมูลแพ้ผม ครับ...ครับ จะไอ้วาธิตย์ไหนอีกล่ะพี่ใหญ่ ก็มีคนเดียวนั่นแหละที่กัดเราไม่ปล่อยสักงาน ไม่เอาละ อย่าพูดถึงคนอื่นดีกว่า กู๊ดไนต์...สู่ค่ำคืนที่แสนสุขล่วงหน้าครับ’
หลังงานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูงและกลุ่มนักธุรกิจด้วยกันแล้ว ระหว่างเดินเข้าลิฟต์เพื่อมุ่งตรงไปยังชั้นเก้า หมายเลขห้อง 907 ของโรงแรมหรูระดับห้าดาว จักรพัฒน์ก็ย้อนคิดถึงคำพูดของจักรพันธ์ผู้เป็นน้องชาย เพราะน้ำเสียงสะใจที่น้องชายเขาบอกว่าแย่งของขวัญชิ้นนี้มาจากวาธิตย์ทำให้เขายิ่งอยากจะเห็นของขวัญที่ว่าเพิ่มเป็นสองเท่า
ประตูลิฟต์เปิดออก ไฟทางเดินให้แสงสว่างนวลตา การตกแต่งด้วยภาพวาดราคาแพงลิ่วบนผนังทั้งสองด้าน บ่งบอกถึงอัตราค่าบริการต่อคืนของบรรดาห้องพัก จักรพัฒน์เสียบคีย์การ์ด แสงไฟสว่างพึ่บขึ้น เขาเดินผ่านประตูเข้าไปภายในห้องสวีตหรูหราที่น้องชายเปิดห้องไว้ให้
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันแบบคนที่ชื่นชอบกับการออกกำลังกายถอดเสื้อสูทตัวนอกออกพาดไว้บนพนักเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาพับแขนเสื้อเชิ้ตตัวในขึ้นสองทบ ขณะนั้นเองหูพลันได้ยินเสียงหนึ่งจากห้องด้านใน ประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องถูกเลื่อนเปิดออกจนสุด
เขาคาดเดาว่าข้างในห้องนอนคงเป็น ‘ของขวัญมีชีวิต’
เฮ้อ...เจ้าเล็ก นี่แกกะไม่ให้พี่แกนอนพักผ่อนหลังทำงานติดต่อมาหลายวัน แถมยังต้องปั้นหน้า แสร้งทำเป็นไม่เหนื่อยเลยสักนิดตลอดงานเลี้ยงที่เพิ่งจบไปเลยหรือไง
แล้วหนึ่งประโยคจากปากน้องชายร่วมสายเลือดก่อนจะปิดการสนทนาก็หวนเข้ามาในความคิดคำนึง ‘ถ้าพี่ใหญ่อยากจะเซอร์ไพรส์สองต่อ เปิดไฟให้ช้าที่สุดนะครับ’
ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าของขวัญที่จักรพันธ์สรรหามาให้จะใช่อย่างที่เขาคิดหรือเปล่า ชายหนุ่มกดปิดสวิตซ์ไฟแล้วเดินเข้าไปยังห้องต้นเสียง
“อ๊ะ...” เสียงหนึ่งอุทานขึ้นพร้อมขยับตัวจนเกิดการเสียดสีของผืนผ้า เธอทักทายเขาในความมืดสลัวของห้องนอนใหญ่ด้วยเสียงสั่นๆ “สะ...สวัสดีค่ะ”
คงเพราะเขาไม่ตอบว่าอะไร ผู้หญิงคนนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “สวัสดีค่ะ”
ในความสลัวราง เขาเห็นโครงร่างเล็กบอบบาง นั่งอยู่กลางเตียง เมื่อเขาก้าวเข้าไปใกล้ กลับรู้สึกว่าเธอคนนั้นทำท่าจะขยับตัวถอยห่างออกไป
“สวัสดี” ชายหนุ่มทักกลับ แล้วทิ้งตัวลงนั่งเต็มแรงจนที่นอนหนายวบตัวโดยเร็ว ส่งผลให้คนที่ตัวเล็กกว่ามากกระเด้งเคลื่อนเข้าหาเขา
“ว้าย!” เธอร้องขึ้น เมื่อร่างกายส่วนหนึ่งสัมผัสโดนตัวชายหนุ่ม
เขารู้สึกได้ว่ามันคือก้อนเนื้อหยุ่นนุ่มที่มากระทบต้นแขน
กลิ่นหอมเย้ายวนของดอกไม้เมืองร้อนอบอวลโชยมา ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอกับเสียงลมหายใจของหญิงสาว เธอทำราวกับหวาดกลัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
“อายุเท่าไหร่” เขาถาม พร้อมกับเอนตัวลงนอนพาดไปกลางเตียง เฉียดตักของคนตัวเล็กไปเพียงเล็กน้อย
“สิบ...สิบเก้าค่ะ” เสียงนั้นเบาและค่อนข้างตะกุกตะกัก
จักรพัฒน์วางฝ่ามือของตัวเองลงบนต้นขาของหญิงสาวรวดเร็วเหมือนจะแกล้ง เธอหวีดร้องขึ้นหนึ่งคำ เขาหัวเราะ ภายในใจคิดว่านี่คงเป็นกลยุทธ์หนึ่งของหญิงสาวที่ถูกสอนต่อกันมาจากบรรดาแม่เล้าชั้นสูง อย่างที่น้องชายบอก เขาประมูลหญิงสาวแข่งกับผู้ชายที่ขึ้นชื่อเป็นเพลย์บอยตัวพ่ออย่างวาธิตย์ มาดว่าราคาความบริสุทธิ์ของเธอคงจะแพงลิบลิ่วอยู่เหมือนกัน
แต่แล้วทำไมสินค้าเกรดเอแบบนี้ น้องชายถึงห้ามเขาเปิดไฟเพื่อตรวจดูสภาพของเจ้าหล่อนว่าสมราคาหรือไม่ ราคาสูงย่อมต้องมีความสวยเย้ายวนใจเพศชาย หรือจักรพันธ์คิดว่าอารมณ์เขาจะถูกจุดติดโดยไม่ต้องเห็นหน้าของอีกฝ่าย แค่ได้ฟังเสียง แค่ได้สัมผัสก็เพียงพอแล้วกับสินค้าเกรดเอชิ้นนี้
“ฉะ...ฉันไม่พร้อม” บอกว่าไม่พร้อม ผลลัพธ์คงจะดีกว่าคำว่า ‘ไม่ยอม’ ล่ะมัง “ไม่พร้อมก็ไม่พร้อม แต่คืนนี้พี่จะค้างกับออม” นอนด้วยกันน่ะนะ...หล่อนไม่คิดว่าเขาจะแค่นอนเฉยๆ แน่! “กลับห้องของคุณไปเถอะ ฉันขอร้อง” “ออมคิดจะทำอะไร” เขาคาดคั้นถาม สายตาที่ใช้มองเธอนั้นจ้องเขม็ง “คิดจะหนีไปจากพี่งั้นสิ นัดใครไว้ที่ไหนหรือมันจะมาหาออมที่นี่” “ฉันไม่ได้นัดใครทั้งนั้น ออกไปเลยนะออกไป” หล่อนทำท่าจะพุ่งเข้ามาผลักเขาอยู่รอมร่อ “ฉันๆๆ พี่รู้สึกไม่คุ้น ฟังไม่รื่นหู ไม่อยากจะอ้อนพี่แล้วสิ ก็ไหนแต่ก่อนชอบพูดนัก ออมอย่างนั้น ออมอย่างนี้” เขายวนหล่อนเล่นเมื่อเห็นหล่อนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “ไม่คุ้นก็เรื่องของคุณ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก” ศิดิตถ์ส่ายหน้า “ไม่ยุ่งไม่ได้ ผัวเมียกันจะไม่ให้ยุ่งกันก็คงแปลก”
เพราะสัมพันธ์สวาทจากแผนลวง เขาผู้ไร้ซึ่งความรัก จึงเกลียดชังในสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อ ตราหน้าด่าทอดั่งหญิงแพศยาไร้ค่า เธอจำสั่งหัวใจให้ด้านชา เพียงฝืนทนอยู่ทดแทนคุณ
ถานเจ๋อบอกว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเขาจะไปเฟิงโจว เฉวียนโจวและถายโจว “เฟิงโจว...” ชายหนุ่มพยักหน้า “ข้าจะไปดูเฉิงหยางปิงเสียหน่อย” สือจิ่วมือกำลังพับผ้า สายตามองอาจื้อที่นั่งเล่นกลองป๋องแป๋งอยู่บนตักอาเจ๋อ “ดูเฉยๆ นะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเขา” “กลัวเขาจะทำอะไรข้างั้นรึ เขาไม่รู้จักข้านะ” “ไม่รู้แหละ ถ้าเขาไม่มายุ่งกับเราก่อน ก็ห่างๆ เขาไว้ ข้าไม่อยากให้เจ้าไปดึงดูดเขากลับมาวุ่นวายกับอาจื้ออีก อาจื้อเป็นลูกของข้า” “เป็นลูกข้าด้วย” ถานเจ๋อย้ำ สือจิ่วเห็นถึงความแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “ตราบใดที่ข้ายังเป็นพระเอกในนิยายเรื่องนี้ ตัวร้ายจะทำอะไรข้าได้” “จัว...ย้าย” เสียงเล็กพูดขึ้นมา คนเป็นพ่อมันเขี้ยวจึงบีบแก้มเด้งของเด็กชายพร้อมทำเสียงดึ๋งๆ ไปด้วย มีเสียงฟึดฟัดของเจ้าอ้วนให้ได้ยิน มือเล็กฟาดกลองป๋องแป๋งใส่เข่าอาเจ๋อไปหนึ่งหน สือจิ่วค้อนพระเอกคนเก่งกับความขี้โอ่ของเขา “ก็ไหนเจ้าบอกว่าพระเอกชื่อจ้าวต่งหมิง” ถานเจ๋อวางอาจื้อบนเตียง มีเขานั่งกั้นไม่ให้ลูกตก ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นนับ “ตอนนี้จ้าวต่งหมิงคงอายุหกขวบเองมั้ง ถ้าเขาเป็นพระเอก เจ้าอ้วนก็ต้องเป็นตัวร้าย มิสู้ข้าแย่งตำแหน่งพระเอกมา ให้เฉิงหยางปิงเป็นตัวร้ายไปเลยยังดีกว่า ส่วนเจ้าก็เป็นนางเอก...ดีไหม”
นางหาใช่คณิกา เพราะความเข้าใจผิดจึงเกิดสัมพันธ์สวาทคืนเดียว ก่อกำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขที่คุณชายเช่นเขาไม่เคยรู้ว่ามี ****** นางบังเอิญพบเขาบนถนนระหว่างพาเสี่ยวอวี๋ออกไปข้างนอก บังเอิญพบเขานั่งในร้านใกล้กับแผงขายขนมของนาง บังเอิญที่เขาอยากไปนั่งดูเด็กๆ เล่นกันที่ตลาด บังเอิญมีคนสั่งขนมแป้งทอดของนางตะกร้าใหญ่ และคนที่มารับก็คือเขา บังเอิญกับผีน่ะสิ! ‘ท่านลุงหลางใจดี’ ‘เสี่ยวอวี๋ชอบท่านลุงหลาง’ ‘ท่านลุงหลางบอกจะพาไปเที่ยว’ ‘ท่านลุงหลางบอกว่ารักเสี่ยวอวี๋’
‘คนของอ้าย อ้ายหวง ไม่เป็นที่หนึ่ง ไม่เป็นที่สอง ถ้าพี่เครื้อรักจริง อ้ายต้องเป็นเมียคนเดียวเท่านั้น’ เน้นคำว่า ‘เมีย’ หนักหน่อย เพราะตำแหน่งนี้ไอ้อ้ายคู่ควร! ‘อ้ายดูแลตัวเอง สะอาดตั้งแต่หัวถึงเท้า วันไหนเที่ยวเล่นมอมแมมหน่อยพี่เครื้อก็ยกเว้นนะ’ ‘อืม’ ‘อ้ายรู้จักกาลเทศะ มีน้ำใจ อันนี้พี่เครื้อชมเองบ่อยๆ ยืดได้ใช่มะ’ ‘ได้’ ‘อ้ายซักล้างกวาดถูทำความสะอาดบ้านได้ งานช่างก็ทำคล่อง กับข้าวก็ทำเป็น ถ้ามีของสดในตู้เย็น ยังไงก็ต้องได้กับไว้กินข้าวสักจาน เนี่ย...ดีพร้อมทุกด้านแบบนี้ ถ้าพี่เครื้อปล่อยอ้ายหลุดมือ จะต้องมีคนบอกว่าพี่เครื้อน่ะ...โงว่วววว’ ‘ครับๆ...พี่จะไม่โงว่ววว น้องอ้ายต้องเป็นเมียพี่เครื้อคนเดียวเท่านั้น’
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้