“เมื่อไรคุณจะบอกเลิก แล้วหย่ากับเมียคุณสักทีคะ” วีนัส สาววัยสามสิบเอ็ดปี เธอสวยเซ็กซี่ แต่งตัวทันสมัยและเป็นผู้หญิงเก่งในเรื่องทำงาน วีนัสเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกเดียวกับกิตติจึงทำให้เขาและเธอได้รู้จักกัน ให้ความสนิทกันและลงเอยกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ “ให้เวลาเจียวสักหน่อยนะ เดี๋ยวผมจะขอเธอหย่าเอง” กิตติที่นอนเปลือยเปล่าหมดแรงเอ่ยขึ้น แขนข้างหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก ส่วนอีกข้างจับมวนบุหรี่ดูดควันสีเทาถูกดูดเข้าปอดแล้วพ่นออกมาอย่างแรงด้วยความเครียดเมื่อนึกถึงวันที่เขาจะต้องไปขอเลิกกับเปาวลี “หรือคุณไม่อยากแต่งงานกับฉันคะ ถึงปล่อยให้ฉันรอนานขนาดนี้” ร่างเปลือยเปล่านอนเกยทับร่างใหญ่โตที่นั่งหลังพิงหัวเตียง วีนัสพูดเสียงน้อยใจจึงทำให้กิตติขยับตัววางมวนบุหรี่ไว้ในถาดเขี่ยบุหรี่ เขาอุ้มร่างบางให้ขึ้นมานั่งทับบนหน้าท้องแววตาเริ่มหื่นก็จับจ้องมองทรวงอกใหญ่โตอย่างหลงใหล “คุณรู้ไหม เวลาผมอยู่กับคุณ...ผมมีความสุขมาก ทุกครั้งที่ผมมีคุณอยู่ข้างกาย มันทำให้ผมเหมือนเป็นตัวของตัวเอง ผมอยากทำอะไรก็ทำได้โดยไม่ต้องคิดมาก ผมสามารถทิ้งทุกอย่างลงบนตัวคุณได้ โดยที่ผมทำกับเจียวไม่ได้เลย คุณรู้ไหม เวลาผมอยู่กับเจียว ผมรู้สึกอึดอัดมากแค่ไหน” กิตติมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้อยู่กับวีนัส เธอเป็นผู้หญิงเอาใจเก่งในเรื่องบนเตียง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปาวลีไม่เคยทำให้เขา แต่กับวีนัสทำหน้าที่บนเตียงได้เป็นอย่างดี จนทำให้ชายหนุ่มลุ่มหลงในรสสวาทที่ผู้ชายทุกคนโหยหาจากภรรยาแต่ไม่เคยได้รับ “ก็มาอยู่ด้วยกันที่นี่สิคะ จะกลับไปทำไมลำปางทุกวัน” วีนัสโน้มใบหน้าเข้าหาดวงหน้าหล่อ ริมฝีปากอิ่มเอิบประกบจูบปากหยัก หล่อนไซ้เรียวปากไปตามเนื้อตัว ไล้มาถึงหน้าท้องเป็นลอนแล้วเคลื่อนใบหน้าไปตรงหว่างขาของชายหนุ่ม
๑
รักของพวกเขา
ณ โรงเรียนลำปางวิทยาลัย...
เขา...‘กิตติ แซ่หวัง’ ชายหนุ่มรูปงามเชื้อสายจีนผสมไทยแท้วัยสามสิบสี่ปี ผิวสีแทน สูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ความสมบูรณ์ของร่างกายทุกส่วนสัดเหมือนหุ่นรูปปั้นนั้นอยู่ในชุดเสื้อผ้าราคาแพง ซึ่งเป็นจุดสนใจและคุ้นเคยใครต่อใครที่เห็นชายหนุ่มอยู่ ณ จุดนี้เกือบทุกวัน
เด็กนักเรียนชายหญิงต่างพากันมองมาที่เขาและซุบซิบหัวเราะต่อกระซิกกัน ทำให้ชายหนุ่มที่ดูจะเป็นรุ่นลุงที่ยืนขาไขว้กันอยู่ข้างรถ (Mercedes-Benz-M-Class) สีดำเกิดอาการเก้อเขิน
แต่แล้วจู่ๆ ความประหม่าเขินอายของชายหนุ่มที่ดูอายุเยอะรุ่นลุงสำหรับเด็กวัยเรียนก็แปรเปลี่ยน ดวงตาสีเข้มที่เมื่อครู่เปล่งประกายทอแสงระยิบระยับนั้นกลับแดงก่ำ เกรี้ยวกราด มองร่างสาวน้อยในชุดนักเรียน ‘ม.6’ ที่เดินเคียงคู่มากับนักเรียนชาย
ความสนิทสนมของพวกเขาทั้งสองทำให้กิตติเกิดอาการหึงหวงของรัก เขาไม่ได้มองว่าในกลุ่มที่หญิงสาวอยู่นั้นก็มีเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวเดินมาด้วยหลายคน
“เจียว!”
“พี่เกี๊ย”
เสียงตะคอกฟังดูบังคับเรียกชื่อเธอทำให้ ‘เปาวลี’ หยุดเดิน แล้วหันหลังไปมองรถที่ขับช้าๆ ตามหลังมา
“สวัสดีค่ะ” เปาวลียกมือไหว้เขา
“ขึ้นรถสิ!”
กิตติสีหน้าเริ่มเครียดหงุดหงิดหัวใจเมื่อเห็นภาพบาดตาบาดใจ เธอช่างกล้าเดินแนบชิดเคียงข้างกับเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้ยังไง
“สวัสดีค่ะพี่เกี๊ย” อรดีเป็นเพื่อนที่รู้ใจของเปาวลี เธอยกมือไหว้กิตติแล้วก็หันมาพูดแซว “แหม...ผู้ปกครองมารับก็รีบปลีกตัวไปเลยนะ”
“เราไปนะ” เปาวลีไม่พูดอะไรมาก เธอยกมือโบกลาเพื่อน
“เจอกันพรุ่งนี้นะเจียว” อรดียิ้มหยอกล้อเพื่อน
“พรุ่งนี้ให้เราไปรับไหมเจียว” อนลเพื่อนนักเรียนชายรุ่นเดียวกับเปาวลี เขาแอบรักเธอตั้งแต่อยู่ ‘ม.4’ เอ่ยถามก่อนที่เธอจะเดินไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ
“นายจะตื่นแต่เช้าไปรับลูกปืนเหรอ นายดูหน้าผู้ปกครองจำเป็นของยัยเจียวหรือยัง ดูสิ หน้าบึ้ง หนวดกระตุกยิกๆ ไม่เห็นเหรอ”
อรดีสะกิดให้อนลดู แต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มสนใจที่จะมองกิตติที่นั่งหน้าเหี้ยมเกรียมอยู่ในรถแม้แต่น้อย
“อรก็พูดเกินไป...พี่เกี๊ย เขาใจดีจะตายไป” เปาวลียิ้มแห้งๆ เมื่อเหลือบตามองคนที่ถูกกล่าวหา เขานั่งทำหน้าดุอยู่ในรถจริงๆ ด้วยแหละ
“ตกลงพรุ่งนี้เช้า เจียวให้เราไปรับที่บ้านนะ”
อนลยิ่งถูกห้ามเหมือนยิ่งถูกยุ เขารุกหนักยิ่งขึ้น ถามพร้อมทั้งยื่นมือไปแตะข้อศอกของเปาวลี
“พี่บอกให้ขึ้นรถ!” ครั้งนี้กิตติเลือดขึ้นหน้าเมื่อเห็นไอ้เด็กนักเรียน ม.ปลายมันแตะต้องตัวหญิงสาว เขารีบเปิดประตูรถแล้วลงจากรถ ไม่พูดอะไรมาก มือใหญ่คว้าหมับที่ข้อมือบาง ฉุดเล็กน้อยพาหญิงสาวเดินอ้อมรถไปอีกฝั่ง แล้วรีบเปิดประตูรถ ดันร่างนุ่มนิ่มเหมือนปุยนุ่นเข้าไปนั่งบนเบาะรถ พร้อมทั้งช่วยหญิงสาวรัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จสรรพ
“ทำไมกลับมาเร็วจังคะ” เมื่อเห็นชายหนุ่มขึ้นมานั่งบนรถฝั่งคนขับ หญิงสาวก็เปรยถามเขาเสียงหวาน
“ถ้าไม่รีบกลับมา...พี่คงไม่เห็นคู่หมั้นของตัวเองกำลังจะใช้มีดแทงหลังพี่” อกด้านซ้ายเจ็บหน่วงจี๊ดๆ กิตติยอมรับว่าเขาหวาดระแวง กลัวที่จะเสียหญิงสาวคนนั่งข้างๆ ไป
“พี่เกี๊ยพูดอะไร เจียวไม่เข้าใจ”
หญิงสาวแรกรุ่นวัยยี่สิบปี ‘เปาวลี แก้วศรี’ เธอเป็นเด็กกำพร้าพ่อตั้งแต่ตัวแดงๆ เกิดมาก็มีแต่แม่ และอยู่กันสองคนแม่ลูก
“ไอ้หมอนั่นมันรู้ไหมว่าเจียวมีคู่หมั้นและกำลังจะแต่งงานมีผัวแล้ว”
ยิ่งพูดยิ่งอารมณ์ขึ้น ชายหนุ่มมีอายุห่างกันสิบห้าปีกับเธอทำให้กิตติระแวงไปต่างๆ นานา เขากลัวที่สุดคือสาวน้อยหมดรักคนมีอายุเยอะกว่าอย่างเขา
“ทำไมพี่เกี๊ยพูดไม่เพราะเลยคะ” เปาวลีพูดเสียงงอนๆ เธอชักจะเริ่มโกรธชายหนุ่มที่ชอบหาเรื่องเธออยู่เรื่อย
“พี่ไม่อยากให้ไอ้หน้าอ่อนนั่นมายุ่งวุ่นวายกับคู่หมั้นของพี่”
กิตติพูดจริงจังโดยไม่ได้หันไปสนใจมองหน้าของเปาวลีที่เอียงหน้ามอง เขากลับสนใจที่จะตั้งหน้าตั้งตาขับรถออกไปจากรั้วโรงเรียนแห่งนี้
“อนลเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนค่ะ” เปาวลีพยายามอธิบายให้กิตติฟัง
“พี่ไม่ชอบให้เจียวให้ความสนิทสนมกับไอ้เด็กผู้ชายนั่น” เขาเอียงหน้ามองเสี้ยวหน้าของแฟนสาว ‘ไม่สิ’ เขาและเธอหมั้นกันแล้ว และเขาก็พร้อมที่จะแต่งงานกับเธอหลังจากเปาวลีเรียนจบ
เมื่อสี่ปีก่อนกิตติได้มาเที่ยวบ้านคุณยาย แล้วเขาก็ได้เจอ
เปาวลี เด็กสาวแรกรุ่นอายุเพียงแค่สิบหกปีถ้าเขาจำไม่ผิด ครั้งแรกที่เขาเห็นเปาวลีก็ทำให้หนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดประหม่า หัวใจที่แข็งแกร่ง มองความรักเป็นเพียงอากาศและไม่เคยมีความรักมาก่อนนั้นอ่อนไหว และเต้นโครมครามทุกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าหวานจิ้มลิ้มรูปไข่ของเปาวลี...กิตติตกหลุมรักเด็กน้อยวัยละอ่อนทันทีเมื่อเห็นเพียงเสี้ยวหน้างาม
ขณะนั้น กิตติก็เลือกเป็นฝ่ายเดินเข้าหาทางมารดาของสาวน้อย ทำความสนิทจนได้รับความไว้วางใจ และเปิดโอกาสให้เขาได้ศึกษาดูใจกับเปาวลี เขาและเธอศึกษาดูใจกันได้ไม่ถึงสี่เดือน กิตติก็อ้อนวอนขอร้องให้คุณยายไปขอหมั้นเปาวลี ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของคุณยายของเขาเป็นอย่างมากที่ได้เปาวลีมาเป็นหลานสะใภ้
“เพื่อนๆ กันทั้งนั้น อยู่ห้องเดียวกันก็ต้องคุยต้องทำกิจกรรมร่วมกัน พี่เกี๊ยจะมาห้ามเจียวไม่ให้พูดคุยกับเพื่อนๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
เปาวลีพูดเสียงงอนๆ เธอขยับตัวนั่งเอียง ใช้สีข้างพิงเบาะรถ หันหลังให้ชายหนุ่ม
“พี่ไม่อยากให้เจียวเรียนแล้ว” กิตติคิดอย่างไรก็พูดออกมาตามความรู้สึก เขาไม่อยากให้น้องเรียน เขาอยากจะแต่งงานและครอบครองหญิงสาวให้เร็วที่สุด
“แต่เจียวอยากเรียนต่อค่ะ...”
“จะเรียนทำไม จบ ม.6 ก็ไม่ต้องเรียนต่อแล้ว ออกมาแต่งงานกับพี่เป็นแม่บ้านให้กับพี่ดีกว่า” กิตติบ่นให้แฟนสาว
“เจียวยังไม่อยากแต่งค่ะ จบ ม.6 เจียวจะหางานทำเก็บเงินค่ะ แล้วจะส่งตัวเองเรียนต่อค่ะ” ทุกวันนี้ที่ได้เรียนหนังสือจะจบ มัธยม 6 ก็เพราะด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของมารดา...เปาวลีไม่อยากให้แม่ต้องทำงานรับจ้างซักผ้าตามหมู่บ้าน เธออยากให้แม่หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน นี่คือความหวังที่เธอคิดไว้เสมอ เรียนจบ ม.6 เมื่อไรเธอจะหางานทำเลี้ยงแม่และส่งตัวเองเรียนต่อ
“ทำงาน ฝันไปเถอะ” กิตติปรายตามองหญิงสาวที่เอาแต่พูดเพ้อฝัน
“ทุกคนมีสิทธิ์ฝัน เจียวก็ฝันที่จะทำงานหาเงินเลี้ยงแม่และส่งตัวเองเรียน” เปาวลีเริ่มไม่พอใจที่เห็นชายหนุ่มพูดไม่รู้เรื่อง
“แต่ไม่ใช่เจียว...เจียวไม่จำเป็นต้องทำงาน เป็นเมียพี่ พี่จะทำงานเลี้ยงเจียวเอง”
กิตติพูดเสียงดุดันพร้อมทั้งจอดรถเข้าข้างทางตรงหน้าบ้าน เขารีบโน้มตัวเข้าหาคนตัวน้อยที่จะเปิดประตู จับประตูดึงไว้ไม่ให้น้องเปิด
“ความรักของเรามันจบลงตั้งแต่พี่คิดนอกใจหนู เราสองคนกลับไปรักกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว” พัชชาเป็นคนไล่สามีและเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้เขา ซึ่งมันขัดกับจิตใจของเธอที่ยังรักและโหยหาไออุ่นและอ้อมกอดของสามี “นั่นเป็นความคิดของเธอ แต่สำหรับพี่ สี่ห้องหัวใจของพี่มันมีแต่เธอ ข้างในนี้มันเต้นบอกรักทุกครั้งเวลาพี่หายใจ” คำพูดของเมียทำให้คนเลวไม่เคยสำนึกโกรธจนลมออกหู เขาเดินเข้าไปกระชากกระเป๋าจากมือน้องมาถือไว้ พร้อมทั้งกัดฟันพูดเสียงดังใส่หน้าน้องว่า “ตลอดสี่ปีที่เราอยู่ด้วยกัน พี่รักเธอคนเดียวไม่เคยทำผิดนอกลู่นอกทาง มีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่พี่มะ...” พิสุทธิ์กำลังหาข้ออ้างแก้ตัวว่า ‘พี่มีอะไรกับมุกดาก็จริงแต่มันไม่ใช่ความรัก ที่พี่มีอะไรกับเขาก็เพราะความใคร่และแก้แค้นเขาที่เขาเคยหักหลังพี่’ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทันได้พูดจบประโยคเมื่อมีเสียงของลูกสาวเรียกเขา “คุณพ่อขา” หนูน้อยพิชญาเปิดประตูห้อง แกดีใจมากที่เห็นพ่อ เลยไม่ทันได้สังเกตมองว่าแม่ก็อยู่ในห้องด้วย “พีชลูกพ่อ” เสียงของลูกสาวทำให้พิสุทธิ์หยุดทุกอย่าง เขาปรับสีหน้าเคร่งเครียดให้เป็นปกติแล้วหันไปมอง เขายิ้มกว้างโน้มตัวอ้าแขนจะอุ้มลูกสาว “คุณแม่ คุณแม่กลับมาแล้ว” ทีแรกว่าจะเดินเข้าไปหาคุณพ่อ แต่พอเหลือบตาเห็นคุณแม่ เด็กน้อยพิชญาก็วิ่งเข้าไปหาคุณแม่ “ลูกแม่ แม่คิดถึงหนูมากรู้ไหมคะ” ด้านพัชชาเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยิ้มให้แกเมื่อลูกสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด “ลูกพีชก็คิดถึงคุณแม่ค่ะ” เด็กน้อยพิชญาพูดอ้อนชิดพวงแก้มหอมของแม่ “ชื่นใจเหลือเกินลูกแม่” พัชชาอุ้มลูกสาวให้นั่งบนตัก เธอกอดลูกไว้ด้วยความรัก จูบหัวและดวงตาของแกเวลาลูกแหงนหน้ามองสบตากัน “คุณยายบอกว่าน้องไปอยู่บนสวรรค์แล้ว จริงเหรอคะ” เด็กน้อยพิชญาหน้าเศร้าหมอง ดวงตากลมแบ๊วคลอเบ้ามองเสื้อผ้าของน้อง “ชะ...ใช่ค่ะ” คำถามของลูกสาวทำให้พัชชาหายใจไม่ออก เธอฝืนยิ้มทั้งที่หัวใจช้ำเลือดช้ำหนองปลอบขวัญลูกสาวโดยการจูบดวงตาของแก “ลูกพีชคิดถึงน้องจังค่ะ” เด็กน้อยพิชญานั่งคร่อมกอดคอแม่ไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็ลูบท้องของแม่ เพื่อจะได้สัมผัสน้อง แต่ไม่มีน้องอยู่ในท้องของแม่อีกต่อไปแล้ว “แม่ก็คิดถึงน้องเหมือนกันค่ะ” พัชชาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เธอกำลังจะตายเมื่อก้มมองมือของลูกสาวที่ลูบหาน้องในท้อง “คุณแม่ขา ลูกพีชขอตุ๊กตาไดโนเสาร์ของน้องได้ไหมคะ” เด็กน้อยขยับไปนั่งขาแบะบนพื้น จับของเล่นของน้องมากอด
“กลับไปตอนนี้ก็ยังทันอยู่นะครับ ถ้าขืนคุณฉายช้ากว่านี้ คุณอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตเพราะอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าคุณจันทร์อีกเลยก็ได้นะครับ” เสียงของกาวินทำให้ตะวันฉายเดินหนีไปยืนตรงตู้โชว์ แววตาสีเข้มหวั่นไหวเหมือนหัวใจของตัวเองที่เต้นอย่างแรง มองมือของตัวเองที่กำลังลูบสัมผัสใบหน้างามของน้องในกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะโชว์ ‘ใช่! นายพูดถูก ฉันกลับไปหาจันทร์ตอนนี้ยังทัน เพราะฉันรู้ว่าจันทร์กำลังรอฉันให้ไปปลอบขวัญเธอ’ ตะวันฉายตอบคำถามลูกน้องในใจ “ไปหาคุณจันทร์เถอะครับ อย่าฝืนหัวใจของตัวเองเลย” กาวินอยากให้เจ้านายไปหาจันทร์ฉัตรก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับไปใช้ชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศอย่างถาวร “พี่รักเธอเพียงคนเดียวนะจันทร์ฉัตร...พี่รักเธอ อยากกอด อยากหอม อยากใช้ชีวิตร่วมกับเธอ” คำพูดของกาวินทำให้ตะวันฉายพูดเสียงสั่นอยู่ในลำคอตีบตัน ดวงตาสีเข้มกักกลั้นน้ำตาแห่งความร้าวรานไม่ให้ไหลจนแดงก่ำ เขาไม่อาจทนมองรอยยิ้มสดใสของน้องที่อยู่ในรูปได้จึงเดินหนีไปยืนตรงหน้าต่าง “พี่คิดถึงเธอ ใจพี่จะขาดตายอยู่แล้ว จันทร์” ตะวันฉายกลืนกินเสียงสะอึกลงคอแหบแห้ง จุกและแน่นหน้าอกมากเวลานี้ เขาหันมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด เปรียบเสมือนหัวใจของเขาที่ดำดิ่งมืดบอด มองหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้เลย ตะวันฉายใจร้าวแตกละเอียดเมื่อต้องตัดสินใจที่จะจากน้องไปจริงๆ ทั้งที่ยังรัก…
“ฮือออ” เด็กน้อยแสงเหนือยิ่งส่งเสียงร้องไห้ ใบหน้าน่ารักที่ซบอยู่บนทรวงอกอิ่มนั้นแหงนขึ้นมองหน้าแม่ แล้วหันไปมองห้างสรรพสินค้า “สุดหล่อของแม่เงียบได้แล้วนะครับ” น้ำตาของลูกทำให้ม่านฝนหัวใจแตกสลายร้าวราน เธอหายใจเบาๆ ผ่อนออกมาช้าๆ แล้วก้มลงจูบหัวของแก “แม่ครับ เหนืออยากได้เกมนินเทนโดครับ” เด็กน้อยไม่ยอมฟังคำปลอบขวัญ ยิ่งสะอื้นไห้ปนคำพูดเมื่อแหงนหน้ามองแม่ “ถึงบ้านแล้ว เดี๋ยวแม่ซื้อหุ่นไอ้มดแดงให้นะครับ” ม่านฝนกลั้นน้ำตาไว้จนขอบตาแดงช้ำ เธอก้มลงหน้าผากชนหน้าผากของลูก กระซิบเสียงสั่นเครือชิดปลายจมูกโด่งคมเหมือนพ่อของแก “จริงนะครับ” คำพูดของแม่ทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ แต่ใบหน้ายังซบอกของแม่อยู่ แขนข้างหนึ่งก็กอดเอวคอดแม่ไว้แน่น อีกข้างก็กอดเจ้าตุ๊กตาเสือเน่าไว้แน่นเช่นกัน “จริงสิครับ” ม่านฝนรับปากลูกได้ เพราะเธอเห็นร้านค้าในหมู่บ้านมีของเล่นขายราคาไม่ถึงร้อยบาท ซึ่งพอซื้อให้ลูกได้ “แม่ครับ เหนือจะเอาสองตัวนะครับ ที่ร้านยายสายมีอุลตร้าแมนขายด้วยครับ” เด็กน้อยพูดอ้อนแม่ปนเสียงหายใจยาวๆ ยามสะอื้นไห้ “ถ้าเหนือหยุดร้อง แม่จะซื้ออมยิ้มให้เหนืออีกสองอันเลยเอาไหมครับ” ดวงหน้าหล่อแม้แววตาดวงเข้มก็คล้ายคลึงผู้ชายที่ทำให้หัวใจของเธอเป็นแผลเหวอะ ม่านฝนก้มลงจูบดวงตาคู่นั้นด้วยความรักและขมขื่น “อึกกก เหนือหยุดร้องไห้แล้วครับ” แสงเหนือเกาะลำคอของแม่กระชับแน่นพร้อมทั้งยิ้มยิงฟัน จนคุณแม่อดใจไม่ไหวจูบหอมฟันน้ำนมของแก “เป็นผู้ชายห้ามร้องงอแงนะครับ อายคนอื่นเขารู้ไหม” เมื่อลูกน้อยยังส่งเสียงสะอึก ม่านฝนก็กระซิบเสียงเบาบอกให้ลูกมองคนรอบข้างในรถ “เหนืออยากถึงบ้านเร็วๆ จังครับ เหนืออยากได้ของเล่นครับ” เด็กน้อยอายจนพวงแก้มย้วยแดงเป็นลูกมะเขือเทศ เมื่อได้หันหลังไปมองสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอยู่
“คนแพ้ท้องแทนเมียก็แบบนี้แหละครับคุณผู้หญิง” สจ๊วตเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งยื่นน้ำเปล่าให้กับหญิงสาว ตามด้วยน้ำมะนาวไม่ใส่น้ำตาลให้กับปุริม “แพ้ท้องแทนเมีย!! พี่ปุ๊!!...” อันทิตาหันไปมองสจ๊วตหนุ่ม แล้วหันมามองหน้าปุริมที่ยังทำหน้าตาตกใจเหมือนกัน “แค่ก!!...แค่ก!!...คุณว่าอะไรนะครับ” ปุริมสำลักน้ำมะนาว บ๊วยที่อมอยู่เกือบจะพ่นออกมาจากปาก ชายหนุ่มรีบเช็ดน้ำมะนาวที่ไหลย้อยตามเรียวปากหนา พร้อมทั้งเงยหน้าตื่นตระหนกมองสจ๊วต แล้วหันไปมองอันทิตา “ครับ...คุณผู้ชายคงจะแพ้ท้องแทนคุณผู้หญิงแน่เลยครับ ผมเคยเป็นครับ ตอนเมียผมท้องจะมีอาการแบบคุณผู้ชายนี่แหละครับ ยังไงก็ขอแสดงความยินดีกับคุณทั้งสองด้วยครับ” สจ๊วตเอ่ยบอก แล้วขอตัวไปทำหน้าที่บริการลูกค้าคนอื่นๆ
“เร็วๆ!” ร่างโตยังนั่งเอนกายหลังพิงเบาะโซฟาทำเป็นไม่สนใจร่างน้อยแต่ในใจของเขามันร้อนรุ่มอยากจะสัมผัสผิวนุ่มนิ่มและอยากลงทัณฑ์แม่จอมยั่วเสียตรงกลางห้องเสียเหลือเกิน เรียวหน้าหล่อก้มมองมือของตัวเองที่ยังถือแก้วเหล้าแล้วยกขึ้นจรดริมฝีปากกระดกน้ำเมาจากแก้วพร้อมทั้งเหลือบตาอันแข็งกร้าวดุจหินผามองร่างเมีย “นุ..นุชอยากไปดูลูก” เปรยเสียงสั่นเครือพร้อมทั้งถอดชุดชั้นในไม่กล้าที่จะเงยขึ้นมองชายหนุ่มรู้สึกถึงผิวเปลือยเปล่าร้อนวูบวาวเพราะกระแสเพลิงไฟจากดวงตาของพญายมทูตที่เอาแต่จ้องมองตน ร่างแน่งน้อยสั่นสะท้านใช้มือทั้งสองข้างปกปิดของสงวนเพื่อบันเทาความอับอาย หญิงสาวรีบก้มหน้าหลบสายของชายหนุ่มแล้วก้าวเดินอย่างเชื่องช้าด้วยหัวใจร้าวรานเจ็บจุกเข้าไปหามัจจุราชที่ยังนั่งอยู่เดิม “ทำหน้าที่ของเธอสิ” เขายังนั่งยกเท้าขึ้นพาดโต๊ะรับแขก เรียวปากหนาที่ขยับพูดนั้นยังคาบบุหรี่ดูดเอาควันสีเทาเข้าปอดแล้วพ่นออกทางจมูกและปากในเวลาเดียวกัน เขาช่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยเลยสักนิด
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา อายุ 22 ปี ที่ได้รับทุนเรียนดีจนจบมหาวิทยาลัย ได้แบกร่างกายพาหัวใจอันแตกสลายกลับบ้านเกิดทันทีในวันที่จบการศึกษา เพราะบิดามารดาได้เสียชีวิตกระทันหันทั้งคู่หลังจากกลับจากการนำข้าวไปขายและโดนสิบล้อที่เบรคแตกเสียหลักพุ่งชนรถของพ่อแม่ของมังกร เมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกระทันหันเขาจึงกลับบ้านเกิดเพื่อไปทำไร่ทำนาสานฝันของพ่อแม่และนำความรู้ที่ได้เรียนมากลับมาพัฒนาที่ดินมรดกในบ้านเกิด หากแต่ว่ามังกรยังไม่ทันได้ทำอะไรเขากลับตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ตายแบบไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจที่สุด เขาจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเขาได้ไปไหว้พ่อกับแม่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วก็กลับมานอนแต่พอเขากลับตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชาย อายุ 8ขวบ กับบ้านพุๆพังๆ เขาตื่นมาในร่างของคนอื่นไม่พอ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มันที่ไหน และใครพาเขามา แล้วมังกรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่อยู่ในร่างเด็กชายยากจนคนนี้ มาติดตามชีวิตใหม่ของมังกรกันต่อไปค่ะ
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"