เมื่อขอบฟ้าที่กว้างใหญ่ ขอบแดนที่อยู่ไกลคนละฟากฝั่งของโลก แต่กลับเหมือนมีแรงดูดให้คนที่อยู่แสนไกลนั้นต้องมาเจอกัน ดรูฟ บราฮิม อาร์นาฟ การ์ซานฟาร์- ชายในฝันของสาว ๆ ที่ใคร ๆ ก็หมายตาจ้องจะเอา! แต่ด้วยนิสัยที่นิ่งเรียบ พูดน้อย และเย็นชาดุจน้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขาสูง จึงยากที่ใครจะได้เข้าหา และหากต้องตาใครจริง ๆ หญิงคนนั้นเขาต้องได้ครอบครองแม้จะต้องทำด้วยวิธีใดก็ตามเพื่อให้ได้มา แม้วิธีนั้นจะต่ำช้าก็ตาม นิสัยนี้ที่ได้มาทุกกระเบียดนิ้วจากบิดาของเขา ประโยคที่เขาชอบพูดเสนอตัวเอง "มีดีแค่เอว นอกนั้นเลวหมดเลย" ซีน เดือนเมษา - หญิงสาวที่ทำให้โลกทั้งใบนั้นดูสดใส คนที่เป็นเหมือนรอยยิ้มให้ใครหลายคน ความมีเสน่ห์ที่ใครได้อยู่ใกล้เป็นต้องหลงใหล แค่เพียงเห็นรอยยิ้มแรกของเธอ จนหญิงสาวด้วยกันนั้นต้องอิจฉาทั้งรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและมันสมองที่อัดแน่นด้วยความเฉลียวฉลาด และจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของเธอนั้นคือ พูดมาก!
"พ่อคะ แม่คะ น้องซีนไปเรียนแล้วนะ" เสียงแหลมสดใส ร้องดังมาแต่ไกลจากบนบ้านชั้นสอง
"เบา ๆ ลูก" ผู้เป็นพ่อร้องทักขึ้นเมื่อลูกสาวสุดที่รัก ทั้งหวงทั้งแหนปานดวงใจนั้นวิ่งลงบันไดอย่างไม่นึกกลัวเกิดอันตราย
"ฟอด หื้ม...อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อสุดหล่อ" เด็กสาววัยยี่สิบ วิ่งลงบันไดแล้วโฉบกอดผู้เป็นพ่ออย่างที่เคยทำประจำ แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสิบสี่ปีแต่ก็ยังมีความหล่อและยังดูดี แถมยังหวงลูกสาวที่แสนจะพูดมากคนนี้ จนผู้ชายไม่กล้าเข้าหา วิ่งป่าราบหากผู้เป็นพ่อนั้นเห็น
"น้องซีนหนูโตเป็นสาวแล้วนะลูก...ยังจะออเซาะคุณพ่ออีก" คุณแม่หนูดาที่เดินมาจากห้องครัวพร้อมแก้วนมของลูกสาวและแก้วกาแฟของสามีเอ่ยทัก แม้การกระทำเช่นนี้เธอจะเห็นประจำ แต่ตอนนี้ลูกสาวคนโตนั้นไม่ใช่เด็กเหมือนแต่ก่อนแล้ว
"โธ่ คุณแม่ขาก็น้องซีนรักคุณพ่อ รักมาก ๆๆๆๆ เลยค่ะ จุ๊บ ๆๆ" เด็กสาวที่ช่างพูดประจบและจุ๊บลงแก้มผู้เป็นพ่อซ้ำๆ
"ช่างพูดจริงลูกสาวพ่อ" คุณพ่อแซมลูบหัวและโอบกอดลูกสาวที่แสนรัก หอมลงกลางหัวอย่างรักใคร่ กอดกันกลมท่ามกลางสายตาคุณแม่หนูดาที่ยืนเบะปากและอมยิ้มกับภาพที่เห็น ทั้งหมั่นไส้สามีและลูกสาวที่ช่างออเซาะ
"ช่างพูดหรือพูดมากค่ะพี่แซม" คุณแม่หนูดาเอ่ยแซวลูกสาว
((ฮ่าฮ่าฮ่า))
"พูดมากครับแม่" แซนน้องชายที่แสนจะกวนประสาทได้ทุกครั้ง และชอบแกล้งพี่สาวได้ทุกครา เดินลงบันไดมาพร้อมพูดแทรกบทสนทนาที่ได้ยิน ความน่ารัก การหยอกล้อ พูดแซว ที่พี่น้องคู่นี้มีมันคือเสน่ห์ แม้จะขัดแย้งและกัดกัน แต่เมื่ออยู่ข้างนอกแซนจะปกป้องพี่สาวเท่าชีวิต เสมือนผู้ปกป้องพี่สาวให้ปลอดภัยแม้ตัวเองจะต้องเจ็บตัว
"หุบปากไปเลยแซน" เมื่อโตขึ้นการเรียกขานและสรรพนามย่อมเปลี่ยนไป พี่สาวที่กำลังกกกอดผู้เป็นพ่อทำหน้ายู่เง้างอนเมื่อน้องชายนั้นแกล้ง
"พอแล้วทั้งสองคน ไปเรียนได้แล้วลูกเดี๋ยวสาย" และผู้เป็นแม่ก็มักจะเป็นคนสงบศึกฝีปากพี่กับน้องทุกครา
"ค่ะ/ครับ" สองพี่น้องตอบรับพร้อมกัน แล้วยกมือไหว้พ่อแซมและแม่หนูดาก่อนจะเดินออกจากบ้านเพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคน
อีกฟากฝั่งคนละประเทศ
ศาลาริมน้ำในสวนดอกไม้ ที่มีบรรยากาศสวยงามเพราะถูกตกแต่งด้วยไม้ดอกนานาพรรณ นิตยสารการศึกษา แหล่งรวมสถาบันการศึกษามากมาย ถูกเปิดทีละหน้า ทีละหน้า อย่างช้า ๆ สายตาคมดุที่ถอดแบบมาจากบิดา แต่เค้าโครงใบหน้านั้นได้มาซึ่งเสมือนมารดายิ่งกว่าฝาแฝด จ้องมองและอ่านประวัติของสถานศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างให้ความสนใจ เพราะตอนนี้ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีต้องเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
"ดรูฟ ของแม่กำลังทำอะไรเอ่ย" เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยถาม พร้อมวางมือลงบนไหล่กว้างของบุตรชาย ที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน
"ท่านแม่" เด็กหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมเอ่ยเรียกแผ่วเบา "ลูกกำลังดูว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี" เขาบอกถึงสิ่งที่กำลังกระทำให้มารดารับทราบ
"แล้วได้หรือยัง" ผู้เป็นแม่เดินมานั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยถามขึ้น เพราะเรื่องสถานศึกษาแม้ผู้เป็นพ่อคิดวางแผนไว้แล้ว แต่ก็ย่อมรอบุตรชายนั้นตัดสินใจเพราะเขาจะไม่บังคับ
"ลูกมีที่อยากไปแต่ไม่รู้ท่านพ่อจะอนุญาตไหม?" เด็กหนุ่มพูดขึ้นและเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา
"ที่ไหนล่ะ ที่ลูกชายของแม่อยากไป"
"ประเทศไทยครับ"
"หืม..."
"ลูกอยากไปเรียนต่อที่นี่" เด็กหนุ่มยื่นนิตยสารให้ผู้เป็นแม่ดู ประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอนั้นจากมานาน ตั้งแต่แต่งงานกับ เชคฮ บราฮิม และยังไม่มีโอกาสได้กลับไปสักครั้ง เมื่อครั้งล่าสุดที่ไปก็เมื่อบุตรชายนั้นอายุได้ห้าขวบ เพื่อจัดการต่อเติมและซ่อมแซมกับบ้านเพียงหลังเดียวที่ม่านฟ้านั้นมีเป็นสมบัติชิ้นเดียวของยายที่ทิ้งไว้ให้เธอ
"ได้ไหมครับท่านแม่" เด็กหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง
"แล้วดรูฟคิดว่าจะไปอยู่ได้ไหมล่ะลูก"
"ลูกคิดว่าไม่น่ามีปัญหา เรื่องภาษาไทยลูกก็พูดได้เพราะท่านแม่ก็สอนประจำ" เด็กหนุ่มเน้นย้ำอย่างมั่นใจ
"แต่แม่เป็นห่วงและคงจะคิดถึงดรูฟมากแน่ ๆ" มือของแม่ยื่นจับมือบุตรชายมั่นพร้อมสายตาที่อาทรเมื่อนึกถึงความที่ต้องห่างไกลกัน
"ลูกโตแล้ว ท่านแม่อย่าห่วงเลยครับ" บุตรชายเพียงคนเดียวที่ไม่เคยห่างกาย เดินเข้ามากอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลัง นิสัยและพฤติกรรมที่เขานั้นแสดงออกกับคนในครอบครัว แตกต่างคนละขั้วกับการแสดงตัวกับคนนอก....เมื่อหลุดจากพื้นที่อาศัยพฤติกรรมและคำพูดจะเปลี่ยนไปทันทีอย่างกับคนละคน
"สองแม่ลูกกำลังคุยอะไรกัน ดูเครียดเชียว" เชคฮ บราฮิม ที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำรัฐแห่งชาร์จาห์ เดินมายังศาลาเมื่อเห็นภรรยาและบุตรชายกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส
"ท่านพ่อครับลูกมีอะไรจะขอ" เด็กหนุ่มไม่รีรอหรือแสดงความกระอักกระอ่วนกับการที่จะร้องขอในสิ่งที่ต้องการ
"อะไรล่ะ" ผู้เป็นพ่อย้อนถาม และเดินมานั่งขนาบข้างภรรยาที่พ่วงตำแหน่งเชคฮคาแห่งรัฐชาร์จาห์
"ลูกอยากไปเรียนต่อที่ประเทศไทยบ้านเกิดของท่านแม่" เด็กหนุ่มบอกถึงสิ่งที่ต้องการ
"....ทำไม" ผู้เป็นพ่อเงียบชั่วครู่และเอ่ยถามเพียงสั้น ๆ
"อยากไป" บุตรชายก็เช่นกันไม่รู้จะประหยัดคำพูดไปถึงไหนเมื่อพูดกับผู้เป็นพ่อ
"ถ้าแม่ของลูกเห็นควร...พ่อก็ไม่ห้าม" ผู้เป็นพ่อมองหน้าภรรยาก่อนจะตอบบุตรชาย สายตาที่มองลึกเข้าไปในดวงตากลมสีนิลของภรรยา ท่านผู้นำรัฐอย่างเขาที่แสนจะรู้ใจภรรยาเป็นที่สุดมีหรือจะเดาไม่ออกว่าเธอคิดอะไร...เพราะสายตาที่มองเขานั้นมันคือการขอร้องให้ตามใจ
"ท่านแม่ครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยความดีใจ จากตอนแรกที่คิดไว้ว่าบิดาต้องไม่ยอมเป็นแน่
"จัดการเรื่องบ้านที่เมืองไทยให้ลูกด้วยนะคะท่านผู้นำรัฐ" เชคฮคาม่านฟ้าหันไปพูดกับสามีด้วยรอยยิ้ม
"ได้สิ จะให้ราชิตจัดการให้"
"ขอบคุณครับท่านพ่อ ท่านแม่" เด็กหนุ่มแทรกกลางระหว่างบิดาและมารดาโอบกอดคนทั้งสองด้วยความดีใจ สิ่งที่หวังนั้นไม่ถูกคัดค้าน เมืองไทยที่เขานั้นอยากไปแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปอีกเลยตั้งแต่อายุห้าขวบ...และตั้งมั่นว่าหากโตขึ้นและวุฒิภาวะตนนั้นมีมากพอเขาจะกลับไปอีกครั้ง
เขาทำให้หัวใจของผมเต้นแรง ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น จนอยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา แต่ว่าเราสองคนดันแตกต่างกันคนละขั้ว ความรู้สึกดี ๆ ที่ผมมีให้จะเปลี่ยนแปลงทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ไหมนะ?
แม้จะดูเดียงสาสดใส แต่ใครจะรู้ว่าเธอนั้นแอบซ่อน ความเร่าร้อนไว้ในกาย ใจแข็งนักระวังเจออ้อนรักของ 'น้องอันดา' แล้วใจจะละลาย
เพราะเงื่อนไขบ้า ๆ ไร้เหตุผล ทำให้ผู้หญิงใสซื่ออย่าง เรนิตา ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ชายร้ายกาจ
คำว่าหน้าที่มันฝังลึกอยู่ในหัวสมอง อีกทั้งฐานะที่แตกต่างจนไม่อาจเอื้อมมือถึง ทำให้เขาต้องกล้ำกลืนฝืนความรู้สึกที่มีต่อ 'จัสทีน่า' เอาไว้ ทำได้เพียงเฝ้ามองดูเธอใกล้ ๆ เท่านั้น และสุดท้ายเขาต้องจากไป ทิ้งไว้เพียงความทรงจำอันเจ็บร้าว เธอไม่ได้ฟังแม้กระทั่งคำลาจาก 'ฮะมีส' สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่เธอจนเกือบสิ้นลมหายใจสุดท้าย...
แค้น ที่ฝังใจทำให้เธอต้องถูกจองจำ และรับผลกรรมทั้งที่ไม่ได้เป็นคนเริ่ม! ***** "ก็แค่เชลยไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น" "แต่ฉันก็มีหัวใจนะคะ...ฉันมีความรู้สึกและเจ็บปวดเป็น" "เป็นเช่นรึ? ฮึ! ความรู้สึกของเธอไม่ได้มีผลสำหรับเรา.,." "หยาบช้าสิ้นดี!" "เทียบเท่าไม่ได้กับสิ่งคาว ๆ ที่พ่อเธอทำ" "พวกแกมันระยำ!" "เราทำได้มากกว่าจุดไฟเผาทั้งเป็นอีก.,.หรือเธออยากจะลอง" จอมโจรทรนงผู้คนขนานนามถึงความโหดร้าย เหี้ยมโหด ชายโฉดที่พรากพรหมจรรย์ของเธอ 'จัสซีเนีย' เธอเสียความสาวให้เขา 'จาห์มาล์' ผู้ชายป่าเถื่อนในแถบทะเลทราย สถานที่กบดานอันแสนไกล ที่ไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้ ภายใต้ชายคาของกรงขัง หัวใจดวงน้อยของจัสซีเนียถูกย่ำยีด้วยแรงราคะของความเคียดแค้น ตัวแทนแรงอาฆาตที่เธอไม่ได้กระทำ แต่ต้องรับผลกรรมแทนผู้เป็นพี่อย่างจำยอม.....ด้วยฝีมือของราชาโจร!
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
หลิวชิวเยว่จบชีวิตจากชาติภพปัจจุบัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในร่างของหญิงอ้วน ชื่อเดียวกับตัวเอง อีกทั้งตัวเธออยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะไปแต่งงานกับแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชิงเป่ย จากซีอีโอสาวแสนสวย ผู้ทระนงตนว่า ฉันสวย รวยและเริ่ดในปฐพี ต้องกลายมาเป็นหญิงอ้วน น้ำหนักร่วมสองร้อยจิน (100กิโลกรัม) แถมด้วยฉายา สตรีกาลกิณี ! แล้วข่าวลือที่ว่าแม่ทัพหนุ่มสามีของเธอ เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ (ชอบผู้ชาย) นั้นเป็นจริงหรือไม่...จำต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง! ทว่า... ยามจันทร์เต็มดวง หลิวชิวเยว่กลับค้นพบความลับของสามี เมื่อเขากลายร่างเป็น หมีแพนด้า ! หลิวชิวเยว่จะใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณอย่างไรให้แฮปปี้ เมื่อต้องมีสามีเป็น หมีแพนด้าผู้คลั่งรัก !
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ฟู่หนานเซียวก็ขจัดความหวาดระแวงและความเย่อหยิ่งให้หมดแล้ว และกอดเมิ่งชิงหนิงอย่างแน่น "กลับมาอยู่กับผมดีมั้ย?" เธอเคยเป็นเลขาของเขา และเป็นคู่นอนของเขาในตอนกลางคืนด้วย ใช้ชีวิตแบบนี้กินเวลาสามปี เมิ่งชิงหนิงทำตามที่เขาบอกโดยตลอด ราวกับสัตว์เลี้ยงที่ว่าง่าย จนกระทั่งฟู่หนานเซียวประกาศว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงตัดสินใจให้พ้นจากความรักที่ไร้ค่าของตนเองและเตรียมจะจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่า มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพัวพันของเขา การตั้งครรภ์ของเธอ และความโลภของแม่เธอค่อยๆ ผลักเธอลงสู่นรก สุดท้ายก็โดนทรมานอย่างหนัก เมื่อเธอกลับมาในอีกห้าปีต่อมา เธอก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่งห้าปี
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"