นายแพทย์ฐิรดลเดินตามหลังภัทรวรินทร์ไปแบบห่าง ๆ เขาทิ้งระยะให้พอตามได้ทัน แล้วถึงได้เห็นเด็กชายคนนั้นวิ่งเข้าไปกอดร่างของเธอแน่นทั้งยังเรียกภัทรวรินทร์ว่าแม่อีกด้วย คำถามผุดเข้ามาในหัวมากมาย ชายหนุ่มพบว่าขาของตัวเขาเองแข็งจนขยับไปยืนมองให้ชัด ๆ นั้นช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกเลวร้ายค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาครอบครองหัวใจของเขา เด็กชายภัทรวินทร์ละสายตาจากแม่มองไปยังคนที่ยืนขวางตรงทางเดินออกสู่รีสอร์ตด้วยดวงตาใสแจ๋ว ก่อนจะยิ้มกว้างอวดฟันที่เรียงตัวอย่างสวยงาม แล้วส่งเสียงตะโกนเรียกด้วยความดีใจ “Hi Dad” ฐิรดลมองไปยังภัทรวรินทร์ด้วยสายตาเจ็บปวด นาทีต่อมาเด็กชายก็วิ่งตรงมาที่เขา
“พี่คีย์ ทางนี้ค่ะ วู่ ๆ พี่คีย์ น้องอยู่นี่”
สิ้นเสียงเรียกหาพี่ชายของฐิติชญา ก็ทำเอาหัวใจของเด็กสาววัยสิบห้าปีเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นในวินาทีนั้น
ภัทรวรินทร์เม้มปากน้อย ๆ มือที่กำลังลงสีบนแผ่นการ์ดของเพื่อนที่สั่งทำไว้เริ่มสั่นนิด ๆ และแน่นอนว่าสมาธิของเธอก็ค่อย ๆ แตกซ่านในที่สุด จนทำต่อไม่ไหว ตัดสินใจเปิดกระเป๋าผ้าสำหรับใส่สัมภาระที่ตัดเย็บด้วยตัวเอง จับการ์ดที่ยังทำไม่เสร็จดี ดันเข้าไปข้างในนั้น เปิดกระเป๋าเรียน เก็บของ ก้มหน้างุด ๆ บอกเพื่อนไปว่า
“เดี๋ยวพราวไปหาที่เงียบ ๆ ทำการ์ดก่อนนะครีม”
เจ้าของชื่อเล่น ‘ครีม’ รีบตะครุบแขนคนเตรียมหนีเอาไว้แน่น ยิ้มล้อเลียนใส่ ก่อนจะยื่นหน้าลงถามใกล้ ๆ น้ำเสียงยั่วเพื่อนไม่น้อยเลย
“จะรีบไปไหนเล่า นี่เขินพี่คีย์ใช่ไหมเนี่ย”
ภัทรวรินทร์หลุบตาเพื่อนมองลงที่โต๊ะร้องตอบไปว่า
“เปล่า ไม่ได้เขิน พราวจะเขินทำไม”
“ครีมรู้นะว่าพราวแอบชอบพี่คีย์ ก็เวลาพี่คีย์เข้ามาอยู่ในรัศมีสามเมตรทีไร พราวก็จะหน้าแดงแบบนี้ทุกที พี่คีย์คุยอะไรกับพราวด้วย พราวก็จะไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตาพี่คีย์ แบบนี้ไม่เรียกว่าแอบชอบ จะให้เรียกว่าอะไรจ๊ะ”
ฐิติชญาวิเคราะห์อาการของเธอเป็นฉาก ๆ สมกับเป็นบุตรสาวของแพทย์ชื่อดัง ไม่วายยื่นมือมาจับแก้มของเธอเบา ๆ เชิงหยอกเย้าไปด้วย แล้วปั้นหน้าสยอง บีบเสียงให้ดูน่ากลัว พูดเตือนไปว่า
“ครีมจะบอกความลับของพี่คีย์ให้พราวฟังนะ พี่คีย์น่ะเห็นแบบนั้นเถอะเวลาโกรธหรือเกลียดใครขึ้นมา พี่คีย์จำฝังใจแล้วก็จะหาทางเอาคืนเจ็บ ๆ เลยแหละ เพราะฉะนั้นถ้าได้ไปเป็นแฟนกับพี่คีย์แล้ว อย่าไปเผลอปลุกยักษ์ที่สิงในตัวขึ้นมาเด็ดขาดเลย”
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบ เสียงถามก็ดังมาจากอีกทางของม้านั่ง “ใครชอบใคร เป็นแฟนกับใครหรือ”
มณีนาถ เพื่อนในกลุ่มอีกคน เดินเข้ามาพร้อมของกินในมือนั่งลงยังที่ว่างข้างฐิติชญา ถามจบก็เปิดกระเป๋าหยิบการบ้านของวิชาหนึ่งขึ้นมากางออกรอทำ อีกมือแกะถุงจิ้มสาคูไส้หมูเข้าปาก เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนเมื่อไม่มีใครตอบคำถามของตนเองเลยสักคน
ฐิติชญายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่แล้วว่า “ครีมไม่บอกหรอก”
มณีนาถชักสีหน้าไม่พอใจทันที “ตลอดเลยนะ สองคนนี้ชอบมีเรื่องอะไรแล้วไม่ยอมเล่าให้ฟังบ้างเลย”
“ไม่มีจริง ๆ” ฐิติชญาบอกปนขำ พร้อมกับจ้องตาเธอยิ้มยั่วใส่อีกต่างหาก
มณีนาถไม่ถามเซ้าซี้อีก ก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อไป แต่ใบหน้าดูออกว่ากำลังงอนเพื่อนทั้งสองคนอยู่ ฐิติชญาเลยหันไปสบตากับเธอ ก่อนจะย้ายไปนั่งเบียดกับคนแสนงอน บอกง้อ ๆ
“อะ ๆ ครีมบอกก็ได้”
“ครีม!” คนมีความลับรีบส่งเสียงดุ ๆ เรียกเพื่อนออกไปอีกครั้งด้วยอาการตกใจ ฐิติชญาเลยหัวเราะออกมาลั่นที่แกล้งเธอได้ ก่อนจะฉีกยิ้มหวานไปทางหลังของเธอ สนทนากับคนทางนั้นแทน
“พี่คีย์มานั่งนี่เร็ว”
ถึงได้รู้ในตอนนั้นว่าตนพลาดท่าเสียทีให้เพื่อนสนิทเข้าแล้ว เพราะมัวแต่โต้เถียงกันอยู่ จนไม่ได้มองเลยว่าพี่ชายของอีกฝ่ายเดินมาถึงโต๊ะที่พวกตนนั่งกันอยู่
ฐิรดลในชุดนักศึกษานั่งลงตรงข้างเธอ ภัทรวรินทร์เขยิบหนีด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย พร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อขึ้น
“เอ้า เอาไป”
ฐิรดลส่งของให้น้องสาว ฐิติชญารับมาแล้วก็แกล้งส่งสายตาล้อ ๆ มาที่เธอ บอกเสียงอ่อนเสียงเสียงหวานกับพี่ชายไปว่า
“ขอบคุณค่ะพี่คีย์ขา”
ฐิรดลทำหน้างงเล็กน้อยเมื่อน้องสาวพูดจาผิดจากที่เป็น เขาหันมามองทางเพื่อนของน้องที่นั่งข้าง ๆ กัน กำลังจะเอ่ยปากทัก แต่แล้วน้องสาวตัวดีก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน
“ครีมมีอะไรจะบอกพี่คีย์ด้วยแหละ”
ฐิติชญาหัวเราะเจ้าเล่ห์พร้อมกับมองมาที่เธอที่นั่งหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ฐิรดลมองน้องสาวของเขาแล้วก็ถามเสียงขรึมไปว่า
“เป็นอะไรของเราน่ะครีม หัวเราะอะไรนัก หึ”
“คืองี้พี่คีย์”
“ครีม!” ภัทรวรินทร์เรียกเพื่อน พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ด้วย แต่ทางนั้นกลับหัวเราะชอบใจตอบกลับมาแทน
“สองคนนี้ นินทาพี่ใช่ไหม” ฐิรดลถามน้องสาวก่อนจะมองไปยังเพื่อนของน้องด้วยสายตางุนงงหนักมากยิ่งขึ้น
“น่าเบื่อชะมัดเลย มีพี่ฉลาดแบบนี้เนี่ย” ฐิติชญาบ่นพี่ชายตัวเองเสร็จก็อมยิ้ม พูดยั่วเพื่อนซี้ไปว่า “ที่จริงน่ะ พราว...”
“พราว อาจารย์ต่ายเรียก”
ภัทรวรินทร์พ่นลมออกจากปากเบา ๆ หน้ายังคงแดงและร้อนนิด ๆ เมื่อได้ข้ออ้างเรื่องอาจารย์เรียกให้เธอได้ลุกออกจากตรงนี้ไป ก็ค่อยขยับหยิบของลนลานเล็กน้อย พร้อมกับพูดโดยไม่มองหน้าใครเลยสักคนที่โต๊ะ
“พราวไปหาอาจารย์ก่อนนะ”
คนชอบแกล้ง ร้องเรียกเพื่อนไป หัวเราะไม่หยุด “อ้าวพราว เดี๋ยวสิพราว ครีมจะบอกเลยนะ”
ฐิรดลมองตามหลังคนที่จากไปด้วยสายตาเสียดายเล็กน้อย หันมาถามน้องสาวของเขา “สรุปว่าเราขำอะไรกันแน่เนี่ย”
“ก็พราวน่ะสิคะ...” น้องสาวตัวดีพูดไปยิ้มไป “พราวบอกว่า...”
พูดกั๊ก ๆ เอาไว้เพื่อรอดูท่าทีของพี่ชายตนเองแล้วก็หยุดไป ไม่พูดต่อเสียอย่างนั้น
ฐิรดลนิ่งรอฟังอย่างตั้งใจ พอเห็นว่าน้องสาวทำเล่นแง่ใส่ก็รู้ในทันที ทำท่าจะลุกจากไปอีกคน สุดท้ายแม่ตัวดีเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง ดึงแขนพี่ชายให้อยู่ฟังก่อน “พราวบอกว่าพี่คีย์น่ะสูงอย่างกับเสาไฟฟ้า ตอนจบได้เป็นหมอ คงต้องนั่งหมอบกับพื้นถึงจะตรวจคนไข้ได้พอดีค่ะ”
ฐิรดลบอกอย่างรู้ทันกัน “ไม่ใช่เพื่อนเราหรอกที่พูด เรานั่นแหละ” แล้วยื่นมือออกไปขยี้หัวน้องสาว โดยมีสายตาของมณีนาถมองนิ่งอยู่อย่างนั้น พอเห็นฐิรดลหันมามองที่ตนบ้างก็หลบสายตาวูบลงที่การบ้านตรงหน้า ใจเต้นแรงหน้าแดงไม่ต่างจากภัทรวรินทร์เมื่อครู่นี้เลยสักนิด
ส่งของให้น้องแล้ว ฐิรดลขึ้นไปพบอาจารย์ที่ห้องของฝ่ายวิชาการ เพราะทางโรงเรียนนัดให้เขามาถ่ายรูปและสัมภาษณ์ลงในหนังสือของโรงเรียน เพื่อบอกกล่าวแก่รุ่นน้องว่าในรุ่นพี่ที่ผ่านมามีใครที่สอบเข้าที่ไหน พอเชิดหน้าชูตาโรงเรียนได้บ้างและฐิรดลก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ทางอาจารย์ขอความร่วมมือให้เข้ามาในวันนี้
จนเลิกเรียนแล้ว ภัทรวรินทร์โบกมือลาเพื่อนซี้ แล้วเดินแยกไปขึ้นรถสองแถวเพื่อกลับเข้าบ้านเหมือนอย่างทุกวัน
บ้านที่เธอพักอาศัยอยู่เป็นตึกแถวที่จงใจสร้างหน้าบ้านเชื่อมไปทางบ้านที่อยู่อีกตรอกได้ มีขนาดสี่คูหา ตั้งอยู่ในซอยลึกที่เป็นซอยตัน รอบด้านไม่มีบ้านของใครเลย ที่หน้าตึกแบ่งพื้นที่เป็นหน้าร้านเล็ก ๆ ที่ซึ่งเป็นร้านรับตัดเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้า เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปยังด้านหลัง จะเป็นบ้านใหญ่ที่มีหญิงสาวมากมายคอยให้บริการชายทุกวัยที่มีเงินมากพอจะจ่ายให้พวกหล่อน
ภัทรวรินทร์สงสัยมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ว่าทำไมต้องทำบ้านแบบนี้ แล้วก็ได้คำตอบเมื่อตอนอายุหกขวบจากใครสักคนในบ้านนั่นเอง
“บ้านของเราเป็นซ่องหรือจ๊ะ”
“ใครบอกแก”
“ใคร ๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น”
“เขาไม่ได้เรียกซ่องหรอกนังหนู”
“แล้วเขาเรียกว่าอะไรล่ะป้านง”
“เขาเรียกว่าเรือนมาลีโว้ย ที่นี่เรามีสาว ๆ ให้บริการความสุขกับพวกผู้ชาย ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนนะที่เราจะให้ความสุขกับพวกนั้นน่ะ จะต้องเป็นคนมีเงิน มีหน้ามีตาในสังคมเท่านั้น จำไว้”
“ทำไมหนูต้องจำด้วย”
“เพราะว่าเดี๋ยวพอแกโตไป ก็ต้องทำแบบพวกพี่ ๆ เหมือนกันนั่นแหละ”
“ไม่มีทาง พราวไม่มีทางทำงานแบบนี้แน่”
“กูจะรอดู แม่มึงท้องมึงในนี้ คลอดมึงในนี้ มึงจะพ้นไปจากแม่ของมึงได้ยังไงวะอีพราว หน็อยทำมาตั้งชื่อยาวๆ ภัทรวรินทร์ ถุย ดัดจริต เหมือนแม่มึงนั่นแหละ”
คำพูดเหยียดหยันดังไล่ตามหลังเธอเสมอมา
ภัทรวรินทร์รู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเธอเป็นลูกของผู้หญิงคนหนึ่งในนี้ที่ทำงานไม่ต่างจากผู้หญิงที่คอยให้ความสุขกับเหล่าผู้ชายที่ในเรือนมาลีนี้เอง
แม่ของเธอคงตั้งครรภ์กับผู้ชายสักคนที่หลับนอนด้วย แล้วก็คลอดเธอออกมา ก่อนจะทิ้งเธอไป
เด็กสาวเคยถามหาแม่อยู่หลายครั้ง แต่แล้วใคร ๆ ก็ส่ายหน้า ไม่ให้คำตอบว่าแม่ของเธอคือใคร ภัทรวรินทร์ไม่รู้จักหน้าตาของแม่ตัวเอง ไม่มีรูปถ่าย มีแค่ชื่อในใบเกิดเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ตั้งแต่ที่ได้รับคำตอบในวันนั้น เธอก็ไม่ย่างกรายเข้าไปที่บ้านด้านหลังอีกเลย เด็กสาวใฝ่เรียน ใช้ชีวิต กิน นอน อ่านหนังสืออยู่แต่ที่ร้านตัดเย็บซ่อมเสื้อผ้าที่อยู่ส่วนหน้าของเรือนแห่งความสุขนั่นกับสมสมร
เช้าวันหยุดเด็กสาวจะตื่นไวกว่าเดิม เพื่อออกมาช่วยสมสมร จนบ่ายโมงได้ที่แว่วเสียงเรียกดังมาจากในร้าน “พราว”
“จ๋า”
“ไปซื้อของให้น้าหน่อย”
สมสมรไม่ได้ต่อต้านผู้หญิงในเรือนมาลีแบบเธอ ท่านรับซ่อมเสื้อผ้าให้ชาวบ้านในละแวก รวมถึงเสื้อผ้าของสาว ๆ เหล่านั้นอีกด้วย
สมสมรส่งเงินให้ พร้อมกำชับว่า
“นี่นะรายการทั้งหมด นี่ตังค์ เก็บดี ๆ อย่าทำหายล่ะ”
“จ้ะ” ตอบรับแข็งขัน แล้วเดินออกไปขึ้นรถสองแถว
เด็กสาวต้องนั่งรถสามต่อเพื่อไปซื้อของให้สมสมร ครั้งแรกท่านพาเธอไปก่อน พอเด็กสาวเริ่มรู้ภาษา พอจะไหว้วานใช้งานได้ ถัดมาจากนั้น ท่านก็ลองให้นั่งรถไปเอง
จนคล้อยหลังเด็กสาวแล้ว หนึ่งในสมาชิกของเรือนมาลีก็กอดอกพูดขึ้น “จะให้มันทำร้านเย็บผ้ากระจอก ๆ แบบนี้แทนพี่ไปจนตายเลยหรือยังไงวะ”
สมสมรไม่มองคนพูด จับผ้าเย็บตะเข็บพร้อมโต้กลับไปว่า
“พราวมันเก่ง มันจะต้องมีอนาคตที่ดี มันไม่มีทางทำงานแบบพวกมึงเด็ดขาด”
“กูจะคอยดูว่ามันจะไปได้สักกี่น้ำกันเชียว”
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี