เพราะความเข้าใจผิดในครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาทำลายความบริสุทธิ์ของหล่อน แต่มีหรือที่บุรุษผู้ทระนงตัวและมากด้วยศักดิ์ศรีจะยอมคุกเข่าขอโทษง่ายๆ ชายหนุ่มจึงใช้เกมร้ายล่อลวงกวางน้อยอย่างหล่อนให้หมดทางเลือก จนต้องเป็นฝ่ายขอร้องวิงวอนเขาเสียเอง! เจอรัลด์ ซาโกร่า กาซิยาส ทายาทลำดับที่ห้าแห่งตระกูลชั้นสูงในโมร็อกโก เขาหล่อระเบิดจนผู้หญิงทุกคนยอมศิโรราบ ความหลงตัวเองจึงทำให้เขากลายเป็นผู้ชายโอหังและหยิ่งผยองยิ่งกว่าราชสีห์ ญาดามินทร์ แซคารี สาวน้อยแสนบอบบางที่ต้องมาหลงรักผู้ชายใจมัจจุราชอย่าง เจอรัลด์ ซาโกร่า กาซิยาส แม้จะถูกมองเยี่ยงก้อนกรวดไร้ราคา แต่ความโหยหาก็ยังฝังแน่นในใจไม่เสื่อมคลาย “ถ้าฉันไม่พลาดพลั้งมีอะไรกับเธอ...” คำพูดที่เหมือนกับจะสูบหล่อนไปทั้งจิตวิญญาณหยุดลงชั่วขณะ ไอแห่งความชั่วร้ายฉายชัดในดวงตาคมกริบที่ตอนนี้ดำมืดราวกับคืนพระจันทร์ดับ “คนอย่างฉัน... ไม่มีทางมายืนตรงนี้แน่” หัวใจของหล่อนเจ็บราวกับถูกกระทืบด้วยฝ่าเท้าของยักษ์ร้าย “คน... คนใจร้าย... ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก” “เสียใจด้วยญาดามินทร์...” เขาเลื่อนฝ่ามือแกร่งขึ้นไปขยุ้มไหล่มนอย่างไม่ความปรานี ถ่ายทอดทุกความเจ็บปวดสู่หัวใจของหล่อนอย่างอำมหิตไร้เมตตา “เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก เธอ... คือสมบัติของฉัน ตั้งแต่คืนนั้นเกิดขึ้น” หญิงสาวส่ายหน้าทั้งน้ำตา อยากจะวิ่งหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้ ตรวนมัจจุราชของเจอรัลด์ผูกมัดหล่อนแน่นจนไม่สามารถดิ้นหนี “แต่... คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เราควรจะลืม...” “ลืมอย่างนั้นหรือ...” ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรที่หล่อนไม่เคยลืมได้เลยแม้แต่ลมหายใจเดียวก้มต่ำลงมาหา ไอร้อนๆ จากลมหายใจของเขายังคงชวนลุ่มหลงและแฝงไปด้วยอันตรายเหมือนเดิม หัวใจของหล่อนร่ำร้อง หัวใจของหล่อนยังคงโหยหา ค่ำคืนที่เขาและหล่อนหลอมละลายรวมกันจนเป็นหนึ่งเดียว แม้จะเกิดจากอาญาร้ายของเขา แต่หล่อนกลับลืมมันไม่ลง คิดถึงเขาทุกลมหายใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่มีทางรู้สึกเช่นเดิมกับหล่อนเลยก็ตาม “ใช่ค่ะ... ฉันรู้... รู้ว่าคุณทำมันได้อย่างง่ายดาย แค่ลืมฉัน” เขาแสยะยิ้มร้ายกาจ นัยน์ตาเลือดเย็นน่ากลัว “เสียใจด้วยญาดามินทร์ อะไรที่เป็นของฉัน... ฉันไม่มีทางลืมมัน”
บทที่ 1
แม้วิวไร่องุ่นสองร้อยกว่าไร่เบื้องหน้าจะงดงามเพียงใด แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้ญาดามินทร์ลบลืมความเจ็บปวดที่ตัวเองวิ่งหนีมาจากอีกซีกโลกหนึ่งได้เลยสักนิด หล่อนยังคงร้าวราน ยังคงชอกช้ำและก็ยังคงคิดถึงผู้ชายใจมัจจุราชอย่างเจอรัลด์ ซาโกร่า กาซิยาส ไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะหนี จะพยายามแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่มีทางหนีความรักที่มีให้กับเขาได้พ้น ตราบใดที่หยุดรักไม่ได้ ตราบนั้น หล่อนก็คงไม่สามารถคลายความเจ็บปวดในดวงหทัยได้เช่นกัน
มือบางยกขึ้นป้ายหยาดน้ำตาจากแก้มนวล หัวใจยังคงกลัดหนองเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แม้จะกี่วันกี่คืนที่ลอยข้ามผ่านพ้นไป แต่ความโหยหาก็ยังฝังแน่นอยู่ในหัวใจไม่เสื่อมคลาย รักเขา รักมาก และก็รักมากขึ้นทุกวันคืน ในขณะที่เขาไม่เคยเหลือบแลลงมามองก้อนกรวดเยี่ยงหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้หญิงที่เขารัก ผู้หญิงที่ครอบครองหัวใจมัจจุราชของเขามีเพียงมินรญาพี่สาวของหล่อนคนเดียวเท่านั้น ในขณะที่หล่อนเป็นได้แค่เพียงทางผ่านแห่งความเกลียดชังเท่านั้นเอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ทรมาน จนไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก ความเสียใจกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาซ้ำอีกครั้ง และไหลทะลักอาบแก้มนวลอย่างสุดจะกลั้น หล่อนสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บช้ำ ขณะเดินเข้าไปหยุดข้างรั้วไม้สีขาวที่กั้นอาณาเขตของสองไร่องุ่นที่ติดกันเอาไว้โดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงของ หัสบรรณดังขึ้นด้านหลังนั่นแหละ
“ไม่ยักกะรู้ว่าบรรยากาศสวยๆ จะทำให้คนร้องไห้ออกมาได้ด้วย”
มือบางรีบยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงรูปงาม
“พี่หัสบรรณ”
“คนสวยของพี่ร้องไห้ทำไมหรือครับ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวล แสนสุภาพของผู้ชายผิวสีแทน ตัวสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อลากดินอย่าง หัสบรรณทำให้หัวใจของญาดามินทร์ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น เพราะแท้จริงแล้วหล่อนอยากให้ผู้ชายตรงหน้าคือเจอรัลด์ ชายที่หล่อนรักหมดหัวใจ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ป่านนี้คนใจมัจจุราชอย่างเจอรัลด์คงจะกำลังมีความสุขในเส้นทางชีวิตที่แสนจะเลิศหรูของตัวเอง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ ชีวิตที่เต็มไปด้วยอำนาจวาสนา ในขณะที่หล่อนเป็นได้เพียงแค่เศษฝุ่นเศษผงที่เขาไม่เคยคิดจะจดจำเท่านั้น
“ปละ เปล่าหรอกค่ะพี่หัสบรรณ ญาดาก็แค่...”
“ฝุ่นเข้าตา”
หญิงสาวที่กำลังเช็ดน้ำตาจากแก้มอยู่ชะงัก และช้อนนัยน์ตาฉ่ำน้ำขึ้นมองคนพูดอย่างประหลาดใจ
หัสบรรณยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“ข้อแก้ตัวของผู้หญิงก็มีแค่นี้แหละครับ”
ญาดามินทร์ก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของผู้ชายผิวคร้ามแดดตรงหน้าอย่างอดสู แม้แต่หัสบรรณยังรู้ทันเลยว่าหล่อนทุกข์ใจแค่ไหน
หัสบรรณหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอ็นดู ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยสวยนั้นแผ่วเบา และพูดให้กำลังใจ
“พี่ไม่รู้และไม่อยากจะรู้หรอกนะว่าญาดากำลังคิดถึงใครอยู่ แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่าถ้าญาดาร้องไห้ พี่ หัสบรรณคนนี้จะเช็ดน้ำตาให้ญาดาเอง”
“ขอบคุณค่ะพี่หัสบรรณ”
หญิงสาวช้อนสายตาของมองคู่สนทนา มองเขาอย่างขอบคุณ
หัสบรรณระบายยิ้มกว้าง กำลังจะพูดต่อ แต่เสียงแหลมเล็กที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเด็กสาวคนหนึ่งก็ขัดขึ้นเสียก่อน และนั่นก็ทำให้ดวงตาทุกคู่ต้องหันไปจับจ้องทันควัน
“พลอดรักกันกลางวันแสกๆ ไม่อายผีสางเทวดาบ้างหรือไง”
“ตันหยง”
เจ้าของชื่อยิ้มเยาะ และกระโดดก้าวข้ามรั้วสีขาวเข้ามาภายในไร่องุ่นของหัสบรรณ เดินมาหยุดตรงหน้าของคนทั้งสองคน
“ฉันเอง ทำไม? อายหรือไงที่มีคนเห็นพฤติกรรมต่ำๆ ของตัวเองน่ะ”
เด็กสาวใส่ไม่ยั้ง ขณะตวัดตามองญาดามินทร์อย่างเป็นอริชัดเจน
“หุบปากเสียๆ ของเธอไปเลยตันหยง และไสหัวกลับไร่ของตัวเองไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอ ไปสิ ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”
หัสบรรณขับไล่ไม่ไว้หน้า และนั่นก็ทำให้ตันหยงยิ่งขุ่นเคือง หล่อนเกลียดผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้หัสบรรณ และก็ยิ่งเกลียดมากเมื่อเห็นหัสบรรณกางปีกปกป้องญาดามินทร์มากมายขนาดนี้ เด็กสาวคิดอย่างเจ็บแค้น กำมือแน่น
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“แต่เธอต้องออกไปจากไร่ของฉันเดี๋ยวนี้ ไปสิ ยายเด็กน่ารำคาญ”
หัวใจของตันหยงเจ็บปวดราวกับถูกกรีดด้วยมีดโกนคมๆ
“คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก แล้วแม่นี่ไม่เด็กหรือไง”
เด็กสาวชี้นิ้วไปที่ญาดามินทร์ มองอย่างเอาเรื่อง
หัสบรรณกระแทกลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย จากนั้นก็รีบดึงร่างของญาดามินทร์มาไว้ด้านหลังของตนเองอย่างต้องการปกป้อง และภาพนั้นทำให้ตันหยงเต็มไปด้วยความรวดร้าวยิ่งนัก เพราะมันบอกให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยว่าผู้ชายที่หล่อนแอบรักนั้นห่วงใยยายผู้หญิงหน้าหวานคนนั้นมากมายแค่ไหน
“อย่ามาทำตัวนักเลงในไร่ของฉัน ไปให้พ้น ไปสิ!”
แม้จะหน้าชาดิก แต่หญิงสาวก็ยังกัดฟันยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป
“ฉันจะไปจากที่นี่ เมื่อนายตอบคำถามฉันก่อน”
ชายหนุ่มมองดวงหน้ารูปไข่ของตันหยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่แยแส
“งั้นก็รีบๆ ถามมา เธอจะได้รีบๆ กลับไปเสียที”
ทำไมเขาถึงมองไม่เห็นความภักดีที่หล่อนมีต่อเขาเลยนะ ทำไมถึงมองไม่เห็นเลย ก็เพราะเขาเกลียดหล่อนยังไงล่ะ มีแต่หล่อนนั่นแหละที่ยังบ้า ลุ่มหลงเขาไม่เลิกแบบนี้
“นายกับ... แม่คนนี้เป็นอะไรกัน”
ญาดามินทร์หันไปมองหน้าหัสบรรณ และกำลังจะตอบความจริงออกไป แต่หัสบรรณชิงตอบเสียก่อน และตอบไม่เป็นความจริงเสียด้วย
“ญาดาเป็นคนรักของฉัน และเรากำลังจะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้”
“ว่าไงนะ...?”
ตันหยงถามออกไปเสียงเบาหวิว หัวใจเหมือนถูกเชือดให้หล่นลงมากองกับพื้นอย่างอำมหิต หล่อนมองหน้าของหัสบรรณที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มสะใจสลับกับดวงหน้างดงามของผู้หญิงที่หล่อนเพิ่งรู้ว่าชื่อ ‘ญาดา’ ด้วยความเจ็บปวดที่เก็บไม่มิด
“หูเธอไม่ได้ฝาดไปหรอกน่า ฉันกับญาดาเป็นคู่รักกัน และกำลังจะแต่งงานกัน”
“พี่หัสบรรณ...”
ญาดามินทร์ปรามอย่างไม่เห็นด้วย แต่หล่อนก็ไม่มีโอกาสได้แก้ไขความเข้าใจผิดนั้นออกไปได้เลย เพราะหัสบรรณยังคงพูดต่อไปอีกเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้หญิงจากอีกไร่หนึ่งกำลังยืนนิ่งคล้ายกับกำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นที่สุด
“ได้คำตอบแล้วก็รีบกลับไปสิ จะมายืนทำหน้าเหมือนกินยาขมอยู่ทำไมล่ะ”
ตันหยงช้อนนัยน์ตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาขึ้นจ้องหน้าหัสบรรณ กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ความเจ็บปวดเต้นระริกอยู่ในแววตาคู่งามมหาศาล แต่ หัสบรรณไม่มีทางสนใจ ใช่ เขาจะไปใส่ใจกับลูกสาวของศัตรูทำไมกัน แม้ว่าเจ้าหล่อนจะน่ารักน่าเอ็นดูมากก็ตาม
“ฉันไม่กลับ”
“งั้นฉันก็จะโยนเธอออกไปเอง”
ว่าแล้วหัสบรรณก็ก้าวเข้าไปหาตันหยง มือหนาคว้าร่างอรชรจับขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็ก้าวไปหยุดที่รั้วกั้นอาณาเขต ไม่นาน ร่างที่ดิ้นอยู่บนบ่ากำยำก็ร่วงลงกับกองกับพื้นดิน เจ้าหล่อนครางด้วยความเจ็บและจุก คนกระทำหาได้ใส่ใจไม่
“ถ้ากล้าข้ามมาวุ่นวายในไร่ของฉันอีกละก็ เธอเจอหนักกว่านี้แน่”
หัสบรรณคำรามใส่ตันหยงอย่างเหี้ยมโหด ก่อนจะกระชากมือของญาดามินทร์ให้เดินไปจากตรงนั้น ทิ้งให้ตันหยงนั่งร้องไห้น้ำตาท่วมดวงหน้าอยู่เพียงลำพังด้วยความทุกข์ทรมานใจ
“คนบ้า!! ทำไมฉันถึงหยุดรักนายไม่ได้สักทีนะ ทำไมกัน”
หญิงสาวถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่พบคำตอบ ทำได้แค่เพียงพยุงร่างอ่อนแรงบอบช้ำกลับไปยังบ้านของตัวเองเท่านั้น
ญาดามินทร์ช้อนตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่เดินอยู่ข้างกายด้วยความไม่เข้าใจ
“พี่หัสบรรณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าตาบึ้งตึงแบบนี้ล่ะ”
เจ้าของชื่อหยุดเดิน และนั่นก็ทำให้ญาดามินทร์ต้องหยุดเดินตาม
“พี่ก็แค่ยังโมโหยายเด็กนรกนั่นไม่หายน่ะ เด็กอะไรไม่รู้ ชอบสร้างปัญหาให้กับพี่ตลอดเวลาเลย”
หญิงสาวฟังแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้
“พี่หัสบรรณพูดแบบนี้ก็แสดงว่าเด็กที่ชื่อตันหยงข้ามมากวนใจบ่อยใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด พลางเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่คนงานทำเอาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่
“ก็ทุกวันนั่นแหละ วันละหลายๆ รอบด้วย ไม่รู้ว่าจะซนอะไรนักหนา อายุก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
“บางทีแรงจูงใจที่ทำให้คุณตันหยงข้ามมาที่ไร่ของพี่หัสบรรณอาจจะเป็นเพราะ...”
ญาดามินทร์หยุดพูด และนั่นก็ทำให้คนฟังต้องหรี่ตามอง พร้อมๆ ทั้งคาดคั้น
“เพราะอะไรหรือญาดา”
เจ้าของชื่อระบายยิ้มหวาน
“เพราะว่าคุณตันหยงแอบหลงรักผู้ชายบางคนในไร่นี้ยังไงล่ะคะ”
“แล้วญาดาคิดว่ายายเด็กนั่นหลงรักใครล่ะ”
คนถามยังคงแสดงท่าทางเฉยชาเช่นเดิม
“นี่พี่หัสบรรณไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นกันแน่คะ”
หัสบรรณพ่นลมหายใจออกมาทางปากแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เอาเป็นว่าเราเลิกพูดถึงยายเด็กนั่นกันดีกว่า ไป กลับเข้าบ้านเถอะ ใกล้เวลาอาคารค่ำแล้ว”
แล้วหัสบรรณก็ก้าวยาวๆ เดินนำหน้าญาดามินทร์มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านไม้หลังใหญ่ของตนเองโดยไม่หันกลับมามองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังอีกเลย
“มีพิรุธเพียบเลยนะเนี่ยพี่หัสบรรณ”
ญาดามินทร์อมยิ้มก่อนจะเดินตามร่างสูงใหญ่ของหัสบรรณไปติดๆ
เมื่อ คิมหันต์ ชายหนุ่มหล่อ รวย ทายาทคนเดียวของตระกูล ถูกใจ พอฤทัย นักกายภาพบำบัดที่คุณย่าจ้างมา เขาคิดว่าหล่อนง่าย แต่หล่อนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย หล่อนสวย แต่ยาก และนั้นก็ยิ่งทำให้เขากระหาย ยิ่งอยากได้หล่อนจนใจจะขาด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ประตูห้องยังไม่ทันจะปิดสนิท คิมหันต์ก็ดึงคนตัวเล็กเข้ามาประกบปากจูบดูดดื่ม ราวกับว่าถ้ารออีกนิดเดียวเขาจะขาดใจตาย "คุณคิมหันต์ อย่าค่ะ...คุณปวดเอวอยู่ไม่ใช่เหรอ?" หล่อนจับมือที่บีบขยำนมออก แต่เขาก็เอาขึ้นมาบีบใหม่ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหู "ปวดก็ต้องซ้ำครับ จะได้หายปวด" พูดจบก็อุ้มร่างบางขึ้นแนบอกทันที พอฤทัยรู้ว่าโดนหลอก ก็โมโหเอาฟันกัดที่หัวไหล่เขาไปทีหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูดออกมา "ที่แท้คุณก็ชอบความรุนแรงนี่เอง ได้เลยครับเมียจ๋า...เดี๋ยวผัวจัดให้" เขาเดินก้าวยาว ๆ จนมาถึงเตียง วางร่างบางบนที่นอน จากนั้นก็ถอดเหมือนกระชากชุดของหล่อนออกจากร่าง ตามด้วยเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วทาบทับลงไป "เห็นคุณชอบความรุนแรงแบบนี้ แสดงว่าต้องชอบแบบจูบแรกของเราด้วยใช่ไหม?" เขาเคลื่อนหน้าลงมาถาม หล่อนถลึงตาใส่เขา เมื่อนึกถึงจูบรุนแรง ที่มีแต่ความเจ็บตรงหน้าห้องน้ำ "ก็ลองทำอีกสิ คราวนี้ฉันจะกัดลิ้นคุณให้ขาดเลย" เขาได้ยินก็หัวเราะเสียงร่วนออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบกลีบปากอิ่มอ่อนโยน และเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นในเวลาต่อมา
นนท์ปวิธคือคุณหมอหนุ่มรูปงามและใจดี และมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็นมุมมืดของผู้ชายคนนี้ มุมมืด... ที่เขาสร้างเอาไว้เพื่อทำร้ายเธอเพียงคนเดียว +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "นอนกับฉัน แล้วฉันจะยอมช่วยลูกสาวของเธอ" นี่คือข้อเสนอของนายแพทย์นนท์ปวิธ อริณวัฒน์ ศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังของเมืองไทย เขาคือเทพเจ้าแห่งการผ่าตัดหัวใจ เพราะคนไข้ทุกคนที่ผ่านมีดผ่าตัดของเขาจะประสบความสำเร็จทุกราย ทุกคนต่างชื่นชมในฝีมือและความมีน้ำใจของคุณหมอหนุ่มหล่อคนนี้มาก เขาคือเทพบุตร คือเทวดาสำหรับคนไข้และญาติๆ แต่ในมุมมืดของเขามีเพียงแค่หล่อนคนเดียวที่ได้เห็น แน่ล่ะ... เขาสร้างมุมมืดเอาไว้เพื่อทำร้ายหล่อนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น "ตกลงค่ะ" รอยยิ้มหยันเกลื่อนใบหน้าหล่อเหลาของนายแพทย์นนท์ปวิธ ขณะที่เคลื่อนเรือนร่างสูงโปร่งหกฟุตสามนิ้วเข้ามาหยุดใกล้ๆ "งั้นก็คืนนี้เลย" "ตาว... ขอเวลา..." "ลูกสาวของเธอ มีเวลาเหลือเยอะสินะ" "เอ่อ..." "ฉันต้องการเอาเธอคืนนี้..." แล้วเท้าใหญ่ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก จนตอนนี้ร่างกายอยู่ห่างกันแค่เพียงฟุตเดียวเท่านั้น กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขาโชยฟุ้งเข้ามาในจมูก ทำให้รจิตราตัวสั่นเทา หล่อนช้อนตาขึ้นมองคนตัวสูง ซึ่งเขาก็ลดสายตามองลงมามองพอดี ดวงตาสองดวงสบประสานกัน โลกทั้งใบหยุดหมุน ความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนย้อนกลับเข้ามาราวกับสายน้ำไหลหลาก ความทรงจำที่หล่อนไม่เคยลืม... และใช้มันหล่อเลี้ยงหัวใจมากว่าห้าปี
ในสายตาของทุกคน คชาวุฒิเก่งฉลาด สุภาพเรียบร้อย และสุดเนิร์ด คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าใต้แว่นตาหนาของเขาซ่อนความร้อนแรงเอาไว้มากแค่ไหน ไม่รู้จะอวยยศให้อาจารย์ฟิสิกส์คนนี้ยังไงดี แต่รับประกันว่าอาจารย์แซ่บมาก แซ่บฉ่ำแฉะ^^ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "ตรงไหนดี..." หล่อนควรต่อต้านสิ ควรผลักไส เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นเลย แต่... แต่ร่างกายของหล่อนมันอ่อนระทวยไม่มีแรงเลย "ตรงไหนดีเด็กน้อย..." เขากระซิบถามเสียงกระเส่า "ถ้าคุณไม่ตอบ ผมจะเลือกเองนะ..." "อาจารย์... หนู... หนู..." ใบหน้านวลแดงระเรื่อ ตอนนี้สมองของหล่อนขาวโพลนไร้ความคิดชั่วคราว รอยยิ้มจากปากหยักสวยของอาจารย์ฟิสิกส์สุดหล่อช่างบาดใจเหลือเกิน เขาค่อยๆ ย่อตัวลง และคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่สายตาช้อนขึ้นมาสบประสานกับหล่อนตลอดเวลา ไฟร้อนๆ ในดวงตาของเขากำลังแผดเผาให้หล่อนมอดไหม้ "อา... จารย์..." นี่เขากำลังจะทำอะไรน่ะ เขาคุกเข่าทำไม
พระเอกเรื่องนี้แรกๆ จะออกแนวปากหมา ใจร้าย ชอบทำนางเอกช้ำใจ แต่หลังจากเห่าหอนเป็นแล้ว ก็จะกลายเป็นหมาโบ้คลั่งรักสุดๆ เลยค่ะ ไรต์นอนยันเลย 555+++ คำเตือน... พระเอกเรื่องนี้โบ้ซ้ำโบ้ซ้อนโบ้ไม่ปรานีใคร 55 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "คุณ... ภาม... เป็นอะไรคะ..." คำถามของหล่อนตะกุกตะกักจนแทบฟังไม่เป็นคำ "หึ... ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือคาลิสา!" เขายื่นมาบีบคอของหล่อน และนั่นก็ทำให้หล่อนตกใจแทบช็อก "คุณภาม... ครีม... กลัว..." ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมภาวินทร์ถึงบีบคอหล่อนล่ะ แม้จะไม่ได้บีบแรงนัก แต่ก็ทำให้หล่อนกลัวจนแทบหยุดหายใจ "เธอนี่มันเลี้ยงไม่เชื่อง" "คุณภาม... พูดอะไรคะ ครีมไม่เข้าใจ... อ๊ะ..." นิ้วยาวของเขาบีบเค้นลงกับลำคอขาวผ่องของหล่อนแรงขึ้น จนหล่อนเกือบจะหายใจไม่ออก "ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ เธอไปทำอะไรเอาไว้ล่ะ" "ครีม... ครีมเปล่า..." "เลิกตอแหลเถอะ ฉันรู้เรื่องจากน้องอัญหมดแล้ว" "..." "เธอจงใจละเมิดข้อตกลงของเรา" "ครีมเปล่านะคะ คุณอัญเธอรู้อยู่แล้ว... เธอรู้จากคุณภามไม่ใช่เหรอคะ..." หล่อนพยายามจะอธิบายในมุมของตัวเอง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับฟัง "เธอเดือดร้อน ฉันก็ช่วย ให้ข้าวให้น้ำ ให้เงิน เซ็กซ์ดีๆ ฉันก็ให้ งานก็มีให้ทำ แล้วเธอยังต้องการอะไรจากฉันอีก อยู่เงียบๆ อยู่ในที่ตัวเองไม่ได้หรือไง หื้อ!" "ครีม... ฮืออออ..." "แล้วเธอยังมีหน้าไปโกหกน้องอัญว่าท้องกับฉันอีกเหรอ เธอกล้าดียังไงพูดแบบนั้นออกไป คาลิสา!" หากหล่อนบอกออกไปว่าตัวเองกำลังตั้งท้องลูกของเขาจริงๆ ภาวินทร์ก็คงจะไม่เชื่อ ใช่... เขาไม่มีทางเชื่อหรอก ตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของคู่หมั้นคนสวยของเขาคนเดียวเท่านั้น "ตอบมาสิ... เธอท้องลูกของฉันจริงหรือเปล่า" ใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาส่ายไปมา ก่อนจะตอบเสียงสะอื้น "ไม่... ไม่ได้ท้องค่ะ..." "หึ... นึกอยู่แล้วเชียว เธอมันก็แค่ผู้หญิงมารยา ที่ต้องการทำให้ฉันเดือดร้อนเท่านั้นเอง" เขาหยุดบีบคอของหล่อน และผลักร่างของหล่อนออกห่าง แสดงท่าทางรังเกียจออกมา "เราเลิกกันเถอะ"
เรื่องนี้พระเอกเป็นพวกชอบวิ่ง ตอนแรกวิ่งหนี ตอนหลังวิ่งชนจนมดลูกน้องแทบอักเสบ ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยค่ะ เลิฟ เลิฟ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "พี่วิศ... ทำไมพี่เปลี่ยนไปแบบนี้คะ... อื้อ... อย่าทำแบบนี้สิคะ... " แม้จะพยายามขัดขืน แต่เสียงก็แผ่วเบา และอ่อนแรงเหลือเกิน "แล้วชอบพี่แบบนี้ไหมล่ะครับ... อืมม หอมจัง" ปลายจมูกของเขาซุกไซ้อยู่ที่ลำคอ ในขณะที่ฝ่ามืออบอุ่นลูบไล้ซุกซน "พี่ชอบก้นของเธอจัง นุ่มนิ่มมาก" "พี่วิศ..." "และพี่ก็ชอบเสียงครางของเธอด้วย ฟังแล้วยิ่งมีอารมณ์..." เขาเงยหน้าขึ้นจากลำคอของหล่อนที่ดูดเม้มจนแดงช้ำ ดวงตาสบประสานกัน ก่อนที่ปากหยักสวยจะแนบชิดลงมาหา เขาจูบเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแปร่งพร่า "ให้พี่เอานะ... พี่หิว..."
เพราะแอบรักจึงยอมทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งเป็นคนในความลับ อยู่เงียบๆ ในเงามืดชั่วนิรันดร์ กฎของเขาก็คือ มีอะไรกัน นอนด้วยกัน สนุกกัน แต่ห้ามบอกใคร ห้ามให้ใครรู้ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบไหน ในที่ทำงานเขาคือท่านประธาน และเธอก็คือพนักงานคนหนึ่งในบริษัทเท่านั้น เมื่อเจอกันก็ทักทายกันบ้างแบบเจ้านายกับลูกน้อง ห้ามแสดงท่าทางหรือแสดงความเป็นเจ้าของ ห้ามโพสต์สถานะในโซเชียล แม้จะไปเที่ยวด้วยกัน ไปถึงไหนต่อไหนด้วยกันก็แล้วแต่ห้ามเปิดเผยทั้งนั้น ซึ่งด้วยความรักที่มีต่อเขา ทำให้เธอตกลงยอมเป็น คนในความลับของเขาอย่างเต็มใจ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "มามี๊ขา..." วชิรวัฒน์มองเด็กหญิงตัวน้อยที่อายุน่าจะไม่ถึงสามขวบวิ่งเข้ามาสวมกอดฟาริดาด้วยความประหลาดใจและตกใจในเวลาเดียวกัน เขามองใบหน้ากลมๆ ของเด็กหญิงคนนั้น สลับกับใบหน้าของฟาริดา ซึ่งก็พบว่าหญิงสาวกำลังหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด "นี่มันอะไรกัน น้องฟาง... เด็กคนนี้... เป็น..." เขายังพูดไม่ทันจบ ฟาริดาก็ดันร่างของเด็กหญิงไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะตอบเขาด้วยสุ่มเสียงดังฟังชัด "ลูกสาวของฟางเองค่ะ" วชิรวัฒน์ถึงกับอึ้ง เขาหันไปมองสบตากับอภิวัฒน์ ก็พบว่าเลขาฯ หนุ่มก็อึ้งไม่ต่างกัน หลังจากตั้งสติอยู่ชั่ววินาที เขาก็หันกลับมาจ้องหน้าฟาริดาเขม็ง "เด็กคนนี้เป็นลูกของใครครับ" เขาพยายามที่จะถามเสียงสุภาพ ทั้งๆ ที่ภายในในเต็มไปด้วยเพลิงไฟกัลป์ เพราะอย่างนี้เองเหรอ ฟาริดาถึงได้หนีจากเขาไป เพราะหล่อนท้อง... แล้วหล่อนท้องกับใครล่ะ นอกจากเขาแล้ว หล่อนยังแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ บ้าชิบ! นี่หล่อนกำลังจะทำให้เขาโมโหจนเป็นบ้าอยู่แล้วนะ! "ลูกของใครก็ช่างเถอะค่ะ แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่โรมแน่นอน"
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
หลิวชิวเยว่จบชีวิตจากชาติภพปัจจุบัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในร่างของหญิงอ้วน ชื่อเดียวกับตัวเอง อีกทั้งตัวเธออยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะไปแต่งงานกับแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชิงเป่ย จากซีอีโอสาวแสนสวย ผู้ทระนงตนว่า ฉันสวย รวยและเริ่ดในปฐพี ต้องกลายมาเป็นหญิงอ้วน น้ำหนักร่วมสองร้อยจิน (100กิโลกรัม) แถมด้วยฉายา สตรีกาลกิณี ! แล้วข่าวลือที่ว่าแม่ทัพหนุ่มสามีของเธอ เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ (ชอบผู้ชาย) นั้นเป็นจริงหรือไม่...จำต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง! ทว่า... ยามจันทร์เต็มดวง หลิวชิวเยว่กลับค้นพบความลับของสามี เมื่อเขากลายร่างเป็น หมีแพนด้า ! หลิวชิวเยว่จะใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณอย่างไรให้แฮปปี้ เมื่อต้องมีสามีเป็น หมีแพนด้าผู้คลั่งรัก !
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"