แต่งงานมาก็ตั้งปีกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะท้องอีกเหรอ
แต่งงานมาก็ตั้งปีกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะท้องอีกเหรอ
“แต่งงานมาก็ตั้งปีกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะท้องอีกเหรอ...หืม” ฉันถูกถามประโยคนี้อีกครั้งจนได้ และคนที่ถามฉันก็ไม่ใช่ใครอื่น หม่อมแม่ของฉันนั่นเอง
ฉันชื่อเหมือนฝัน ปีนี้อายุสามสิบเอ็ด แต่งงานกับสามีสุดหล่อที่ชื่อว่าเปรมเมื่อปีก่อน เราคบกันมาห้าปี ก่อนจะตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน และเมื่อแต่งงานฉันก็หวังว่าจะเป็นภรรยาและแม่ที่ดีด้วย หน้าที่ภรรยานั้นฉันทำได้ดี ยกเว้นหน้าที่แม่ ที่ฉันยังไม่มีโอกาส
“ยังเลยจ้ะแม่”
“ผัวไม่มีน้ำยาหรือยังไง” ประโยคนี้ทำเอาคนข้างๆ ที่กำลังขับรถอยู่สะดุ้งเบาๆ เพราะฉันเปิดสปีกเกอร์โฟนให้เปรมได้ยินด้วย ว่าฉันคุยอะไรกับแม่
“ก็มีอยู่นะ แม่อยากกินน้ำยาอะไร กะทิ หรือป่า เอาน้ำเงี้ยวไหม”
“ไปตลกไกลๆ ลูกคนนี้นี่” ฉันถูกเอ็ดที่เล่นตลกไม่ดูเวลา ส่วนคนข้างๆ ก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ เดี๋ยว...กลับบ้านก่อนเถอะ จะเอาให้น่วมเลยคอยดู
“หนูก็แค่ไม่อยากให้แม่เครียด” ถูกต้อง…เพราะยิ่งแม่เครียดเรื่องนี้ก็ยิ่งกดดันให้ฉันรีบๆ ท้อง
“แม่อยากอุ้มหลาน กลัวจะตายก่อนได้เห็นหน้า”
“ไม่หรอก แม่ต้องอยู่กับหนูอีกนาน เผลอๆ นู่น ร้อยกว่าปี”
“แก่ไป ขี้เกียจอยู่” คำพูดของแม่ทำเอาฉันส่ายหน้าให้ แม่ฉันแก่มากแล้ว ปีนี้อายุห้าสิบกว่า และฉันก็เป็นลูกคนเดียว ท่านจึงมักจะฝากความหวังไว้เสมอๆ
“เอาเป็นว่าเรื่องหลาน แม่ไม่ต้องห่วง ท้องเมื่อไหร่ หนูบอกแม่ก่อนคนแรกเลย”
“เดือนหน้าเลยยิ่งดี ไม่งั้นแม่จะยกมรดกให้คนอื่น”
“เอ้า! ทำไมเป็นงั้นไปได้ล่ะแม่จ๋า แม่คนงามของลูก” ฉันรีบห้ามทัพด้วยการเยินยอผู้เป็นแม่เข้าไว้ ขืนแม่บ้าจี้ทำอย่างที่พูดมาจริงๆ ฉันจะเหลืออะไรให้ลูกที่จะเกิดมาในอนาคตกันเล่า
“อย่ามาเฉไฉ ถ้าไม่อยากชวดมรดกก็รีบๆ ท้อง เข้าใจไหมฝัน”
“โอ๊ย! แม่ก็”
“แค่นี้นะ”
“จ้ะแม่ สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยลา พอวางสายจากแม่ก็หันมามองหน้าสามีตาปริบๆ เพราะเปรมเองก็ได้ยินที่เธอคุยกับแม่ทุกประโยค
“ที่รักว่าเราควรไปตรวจร่างกายกันดีไหมอ่ะ เค้าอยากรู้ว่าทำไมเค้าถึงยังไม่ท้อง ทั้งๆ ที่เราก็ฟิตเจอริ่ง กันออกบ่อย”
“เอาจริง” เปรมหันมาเลิกคิ้วถาม
“จริง เกิดมีปัญหาเราจะได้หาทางออกกันแต่เนิ่นๆ ไง ที่รักไม่อยากมีลูกเหรอ”
“อยากมีสิ แต่ผมอยากให้ลูกมาเองมากกว่าไปใช้วิธีทางการแพทย์” ฉันก็เห็นด้วยกับความคิดของเปรม แต่พอถูกกดดันมากๆ ก็เริ่มเป๋
“แค่ไปปรึกษาดูก่อน คงไม่เสียหายอะไรหรอก...นะๆ”
“ครับๆ” เสียงทุ้มของสามีสุดน่ารักเอ่ยรับ ฉันโล่งใจมาเปลาะหนึ่งที่เปรมไม่คัดค้านเรื่องการไปพบหมอ หวังว่าผลตรวจร่างกายอย่างละเอียดจะไม่มีปัญหาอะไร
การไปพบหมอเพื่อตรวจร่างกายก็เกิดขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผลการตรวจไม่พบความผิดปกติอะไรที่บ่งชี้ว่าฉันหรือเปรมมีความไม่พร้อม เราทั้งคู่แข็งแรงดี
“อย่าเครียดไปเลยที่รัก ทำใจให้สบาย อีกหน่อยลูกก็มาเอง”
“แต่มันอดเครียดไม่ได้นี่นา” ฉันรู้สึกห่อเหี่ยว
“คิ้วขมวดแบบนี้ไม่ดีนะ มันส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย จะยิ่งท้องยาก”
“ไม่เครียดก็ไม่เครียด เฮ้อ...”
“เอ้า! มีถอนหายใจอีก” เปรมส่ายหน้าให้ฉัน ก่อนจะยิ้มขำ ฉันรู้ว่าเขาเองก็อยากมีลูกมาก เปรมชอบเล่นกับเด็กๆ ที่หมู่บ้าน ภาพที่เห็นทำให้ฉันยิ่งอยากมีลูกของเรา ฉันอยากเห็นเวลาที่เปรมเล่นกับลูก มันคงน่ารักมุ้งมิ้งมากแน่นอน
“ไม่ถอนแล้วๆ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ซีฟู้ดบำบัดได้ไหมคะที่รักขา”
“ได้สิครับ” ฉันยิ้มแป้นเมื่อเปรมตามใจ ซึ่งปกติเขาก็มักจะตามใจฉันอยู่แล้ว แทบจะไม่เคยขัดใจด้วยซ้ำ อยู่กับเปรมฉันมีแต่ความสบายใจ จนไม่รู้ว่าหากไม่มีเปรม ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไป
เธอคือ....นางโจร ส่วนเขาคือนายตำรวจ...มือหนึ่ง แต่พรหมลิขิตกลับชักพาให้นางโจรอย่างเธอปล้นความรักไปจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่าง...เขา +++++ “ผมบอกไปหรือยังว่าผมรักคุณ” “ยังค่ะ” มีนาเอ่ยตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อคืนเหมือนเธอจะได้ยินเมฆาบอกรัก แต่มันก็แผ่วเบาเสียจนคิดว่าเธอคงฝันหรือไม่ก็เพ้อไปเองคนเดียว “โอเค...ผมรักคุณ” เมฆาบอกรักคนในอ้อมกอด มันคือคำว่ารักที่แสนเรียบง่ายแต่ทว่ากลับตราตรึงอยู่ในความรู้สึก ทั้งจากคนพูดและคนที่ได้ยิน เพราะหากไม่แน่ใจว่ารักเมฆาหรือจะพูดคำนี้ออกมา “ผู้ชายเขาบอกรักกันง่ายๆ แบบนี้เหรอคะ” “ใครบอกว่าง่าย เมื่อคืนกว่าผมจะบอกรักคุณมีนด้วยภาษากายได้ก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเชียวนะ” “ทะลึ่ง” มีนามองค้อนมาให้ นั่นเพราะรู้ความหมายที่เมฆาเอ่ยว่าคืออะไร “ผมพูดเรื่องจริง” “แต่ฉันเป็นโจรที่เคยยกเค้าบ้านคุณนะคะ ถูกแจ้งจับอีก แบบนี้คุณยังจะรักฉันอย่างนั้นเหรอ” “มีกฎหมายข้อไหน ห้ามไม่ให้ตำรวจรักกับโจรบ้าง” “ก็...” คนฟังแย้งไม่ออก “ผมว่าความรักมันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว รักก็คือรัก” “แต่เราต่างกันเกินไป ฉันคิดว่า...” “โลกนี้ไม่มีคำว่าต่าง ต่อให้มีเราก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากันก็ได้นี่ครับ ผมขอแค่โอกาส” “ฉัน...” “ผมรักคุณมีน ต่อให้จะนอนคิดนั่งคิดหรือตีลังกาคิดก็ยังรัก” เมฆาเอ่ยคำว่ารักให้คนในอ้อมกอดได้ยินและได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอีกครั้ง “แล้วถ้าฉันปฏิเสธละคะ คุณจะว่ายังไง” “ผมคงเสียใจหนักมากแน่” เมฆาเสียใจจริงๆ แต่เขาคงไม่ถอดในจากเธอด้วยเรื่องแค่นี้แน่ แต่ทว่าคำพูดหลังจากนั้นของมีนากลับทำให้คนฟังยิ้มกว้างออกมา “แต่ฉันไม่อยากเห็นคุณเสียใจ” “งั้นก็รับรักผม ได้ไหม” “เฮ้อ! ไหนๆ ฉันก็ได้คุณแล้วก็คงต้องแมนๆ รับผิดชอบ ฉันรับรักคุณก็ได้อะ คุณจะได้ไม่ร้องไห้เสียใจเพราะฉัน” มีนาพูดติดตลก นั่นเพราะไม่อยากให้บรรยากาศตอนนี้อึดอัด คำพูดของเธอทำให้เมฆาถึงกับหัวเราะ ก่อนจะรั้งผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมโปงทั้งเธอและเขา แล้วเริ่มปฏิบัติการยืนยันว่าแท้จริงแล้วใครได้ใครกันแน่ และใครต้องรับผิดชอบใคร
‘เขาเป็นแวมไพร์ที่ปฏิเสธการดื่มเลือด แต่กลับไม่ปฏิเสธหากจะได้กลืนกินเธอ’ ------------ “วันนี้นายริทเป็นอะไร ดูเหม่อๆ” “นั่นนะสิ” คนงานอีกคนเห็นด้วย ก่อนจะหยุดการสนทนาใดๆ แล้วตัดดอกไม้ต่ออย่างขะมักเขม้น ส่วนคนที่พวกเขาเอ่ยถึงนั้น ตอนนี้ก็กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าเช่นเดียวกัน กระทั่งได้ดอกไม้ครบตามจำนวน เชโรมจึงเดินไปยังรถที่ตอนนี้มีดอกไม้แสนสวยอยู่ท้ายกระบะเต็มไปหมด แต่จังหวะนั้น สายตาของเชโรมกลับมองไปเห็นกระต่ายสีขาวที่เขาเลี้ยงไว้หลุดออกมาจากกรง จึงเดินไปอุ้มมันขึ้น ท่าทางเขาดูอ่อนโยนเสียจนมาศิตาที่ผ่านมาเห็น คิดว่าตัวเองตาฝาด จนต้องขยี้ตาแรงๆ สามสี่ครั้ง “ผู้ชายหน้าโหดกับกระต่ายสีขาว ดูยังไงก็ไม่เห็นจะเข้ากันสักนิด สงสัยจะเลี้ยงกระต่ายไว้กินแน่ๆ” “เลี้ยงไว้ดูจ้ะ นายริทชอบกระต่ายสีขาว ตรงนู่นเป็นกรงกระต่าย มีหลายสิบตัว” คนงานสาวคนหนึ่งเอ่ยแย้งให้ผู้เป็นเจ้านาย “ชีวิตดูมุ้งมิ้งกิงก่องแก้วขัดแย้งกับหน้าตาสุดๆ แวมไพร์ตนอื่นๆ มีแต่จะเลี้ยงกระต่ายไว้ดื่มเลือด นี่อะไร เลี้ยงไว้ดูเล่น โอ๊ย! พ่อมังสวิรัติ” มาศิตาบ่นคนเดียวอีกตามเคย ตามมาด้วยอีกประโยค “สอนแวมไพร์ให้ดื่มเลือด มันจะเหมือนสอนจระเข้ว่ายน้ำปะวะเนี่ย ของมันเป็น มันอยู่ในสายเลือด จะให้เรามาสอนเขาทำไม หืม” คนข้างๆ ที่เผลอได้ยินทั้งสองประโยคนี้เข้า กลับมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด พอจะถามมาศิตาก็เดินตัวปลิวไปเสียแล้ว “ใครเป็นแวมไพร์หว่า หรือเราจะหูฝาดไป” คนงานสาวที่เพิ่งจะเอ่ยแก้ต่างเรื่องกระต่ายให้เชโรมไปเมื่อครู่ถึงกับคิ้วขมวด พูดกับตัวเองตามมาศิตาไปอีกคน ------------------ “แต่ศิตาไม่ยอมให้พี่ริทตายเด็ดขาด เพราะศิตารักพี่ริท” เอ่ยจบก็โน้มใบหน้าลงไปจูบเชโรม จูบที่ต่างฝ่ายต่างต้องการจากกันและกันมาโดยตลอด จูบที่ฝันว่าครั้งแรกมันต้องโรแมนติกและน่าจดจำ ไม่ใช่จูบที่ได้กลิ่นคาวเลือดจากริมฝีปากเขาเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด เลือด! ใช่…เลือด คำๆ นี้ทำให้มาศิตานึกอะไรขึ้นมาได้ เธอคือผู้พิทักษ์ เลือดของเธอแวมไพร์ที่ยืนจ้องอยู่ตรงนั้นยังต้องการ แล้วทำไมเธอถึงไม่ให้เชโรมชิงดื่มเลือดของเธอเสีย ไม่แน่ว่า หากเขาได้ดื่มเลือดมนุษย์จริงๆ เชโรมอาจมีพลังขึ้นมาก็เป็นได้ มาศิตาถอนจูบออก แล้วแสร้งโอบกอดเชโรม ก่อนจะกระซิบให้เขาฝังคมเขี้ยวลงไปบนลำคอเพื่อจะได้ดื่มเลือดเธอ แต่เหมือนเชโรมกลับส่ายหน้าปฏิเสธกับแผนนี้ กระทั่งมาศิตาชิงลงมือก่อน เธอกัดริมฝีปากตัวเองสุดแรงจนเลือดไหล แม้จะเจ็บแต่ก็ยอมทน จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงไปจูบเชโรมอีกครั้ง ทันทีที่ได้สัมผัสเลือดของผู้พิทักษ์ นั่นทำให้เลือดในกายของแวมไพร์หนุ่ม ผู้ที่ไม่เคยลิ้มรสชาติของเลือดใดๆ มาก่อน พลันพลุ่งพล่านราวกับเปลวไฟ “เจ้าทำอะไร” แดนเองก็ได้กลิ่นเลือดของมาศิตาเช่นเดียวกัน รวมทั้งจ้องมองความผิดปกติของเชโรมอย่างไม่กะพริบตา เลือดเพียงหนึ่งหยด กลับทำให้นัยน์ตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนแปรเปลี่ยนมาเป็นสีแดงเพลิงในทันที ร่างกายที่เคยเจ็บปวดกลับค่อยๆ หาย และรู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนวิ่งพล่านไปทั่วร่าง “แววตาแบบนั้น เจ้าเป็นใครกัน หรือว่า…”
จูบแรกก็เป็นของเขา จูบครั้งที่สอง สาม สี่ ก็ยังคงเป็นของเขา แบบนี้โสภิตาจะหนีจาก CEO หนุ่มที่เธอบังเอิญผ่านไปช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างไร ++++++++++++++++ **โปรย 1 “เท่าที่ได้คุยกันฉันว่านายเชนคนนี้นิสัยก็ใช้ได้” “อึนๆ มึนๆ นี่เหรอใช้ได้” โสภิตาอยากจะบอกเหลือเกินว่าบางครั้งราเชนก็กวนตีนเธอ “อื้อ...นายเชนเขาให้ความพิเศษกับแกนะ ขนาดปลายังแกะก้างออกให้ นี่ถามจริงๆ แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ” “ก็...” โสภิตาอ้ำๆ อึ้งๆ เธอนั้นไม่มีประสบการณ์เรื่องความรัก เรียกได้ว่าชั่วโมงบินน้อยมากๆ ใครมาดีหรือมาร้ายบางครั้งก็มองไม่ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณของตัวเองซึ่งบางครั้งมันอาจผิดพลาด “หรือคิดมากเรื่องฐานะที่นายเชนมีน้อยกว่าแก” “ไม่ใช่เรื่องนั้น ถามว่าฉันรู้สึกดีกับเขาไหมก็...อื้ม บางครั้งเวลาฉันอยู่กับเขาแล้วเหมือนตัวเองเป็นง่อย จากที่ทำอะไรได้เองก็เริ่มอยากให้เขาทำให้ อยากให้เขาช่วย” นั่นคือความเปลี่ยนแปลงที่โสภิตารู้ตัวเองดี “ไม่แปลกหรอก เพราะผู้หญิงเราต่อให้แข็งแกร่งยังไงลึกๆ ในหัวใจก็อยากมีใครสักคนมาดูแล” “แกก็เป็นเหรอ” “เป็นสิ บางครั้งฉันยังงอแงให้บอสจับแมลงสาบเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเห็นตอนไหนฉันกระโดดกระทืบตอนนั้น” คำพูดของรติชาทำให้โสภิตาหัวเราะออกมาเพราะนึกภาพออกทันที เวลานั้นปิลันธน์คงทั้งกลัวทั้งอยากกำจัดให้คนรักส่วนรติชาก็คงหัวเราะชอบใจแน่ๆ “นึกว่าฉันเป็นอยู่คนเดียว” “แกนะเข้มแข็งมากนะหวาน เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นหัวหน้าคนงาน รับผิดชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย ที่ผ่านมาอาจเพราะแกยังไม่เจอใครที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้แกเลยไม่เปิดใจ แต่ถ้าตอนนี้แกเจอคนคนนั้นแล้วฉันแนะนำว่าแกควรฟังเสียงหัวใจของตัวเองให้มาก ว่าอยากอยู่แบบที่ผ่านๆ มาหรืออยากจับมือกับใครสักคนไปจนวันตาย” นั่นคือคำแนะนำจากใจของรติชาเพราะเธอเคยลังเลแบบนี้มาแล้ว หากเวลานั้นตัดสินใจผิดตอนนี้เธออาจโกนหัวบวชชีที่วัดป่าที่ไหนสักแห่ง “ฉันอยากจับมือใครสักคน” ++++++++++++++++ ***โปรย 2 “ฉันเกลียดที่สุดคือคนโกหก ที่ผ่านมาฉันรู้สึกดีกับนายเพราะเข้าใจมาตลอดมานั่นคือนาย แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใครกันแน่ นายจะโกหกอะไรฉันอีกไหม ฉันต้องโง่ไปอีกกี่ครั้ง” น้ำเสียงของโสภิตานั้นสั่นเครือ “ผมสัญญาว่าจะไม่โกหกอะไรคุณอีกแล้ว สาบานให้ตาย...” จังหวะที่ราเชนกำลังจะสาบานให้ตัวเองตาย โสภิตาก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของเขาไว้เสียก่อน “ลองตายดูสิ ฉันจะลากตัวนายขึ้นมาแล้วสับๆ” ราเชนอึ้งกับประโยคที่ได้ยินก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าโสภิตาไม่ยอมให้เขาตายง่ายๆ สินะ “โอเคๆ ผมไม่ตายแล้วก็ได้ ยกโทษให้ผมเถอะนะคุณหวาน ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” “นายนี่มัน ทำฉันทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนคนเป็นไบโพลาร์แบบนี้ได้ยังไง รับผิดชอบสติฉันมาเลย” “ถ้าผมรับผิดชอบจริงๆ คุณหวานจะตอบตกลงไหมครับ” “อื้อ” “จริงๆ นะ” ราเชนถามย้ำ ส่วนคนที่ตามความเจ้าเล่ห์ของเขาไม่ทันก็ไม่ได้เอะใจอะไรแม้แต่น้อยเช่นกัน “จะรับผิดชอบอะไรว่ามา” “แต่งงานกันไหม”
‘พรพระพาย’ คือสาวสวยวัยยังไม่แตะเลขสาม แต่ทว่าอาภัพเพราะต้องเป็นหม้ายถึงสองครั้ง แต่งงานครั้งแรกสามีเสียชีวิตตั้งแต่คืนส่งตัวเข้าหอ แต่งงานครั้งที่สอง (ว่าที่) สามีกลับไม่โผล่หน้ามางานแต่งงาน ‘กานต์’ คือชายหนุ่มหน้าโหดลุคเหมือนโจรป่า แต่ทว่าเขามาเพื่อทำลายกำแพงอันสูงลิ่วหวังพาคนที่รักให้หลุดพ้นคำว่า ‘หม้าย’ หากการแต่งงานครั้งที่สามเกิดขึ้น!! มันจะ…ล่ม! หรือจะ…รุ่ง! จะเป็นงานแต่งงานในฝันที่แสนจะโรแมนติก หรือจะวิวาห์เหาะเพื่อแก้เคล็ดล้างอาถรรพ์กันนะ
เขาคือพระเอกดาวค้างฟ้า เล่นละครเรื่องไหนเรตติ้งพุ่งแรงเสมอ ในขณะที่เธอก็เป็นแค่เอ็กตร้าในกองถ่าย ที่เอ๋อๆ เด๋อๆ เพราะไม่ได้เป็นแฟนคลับของเขาเธอจึงไม่ได้แสดงออกว่าปลื้ม แต่ยิ่งเธอเฉยเขายิ่งสนใจ กระทั่งมีเหตุการณ์ให้ทั้งคู่ได้ทำงานร่วมกัน จูบแรกของทั้งคู่เกิดขึ้นก็เพราะงาน แต่หัวใจของเธอกลับถูกริมฝีปากนุ่มและแสนร้ายกาจของพระเอกกระชากจนหลุดลอยและมันมักจะลอยไปหาเขาโดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ของขวัญวันเกิดปีนี้ของเธอก็ยังเป็นจูบจากเขา จูบที่ทำให้ใจสาวหวั่นไหวและยากจะต้านทาน หัวใจเธอถูกเขาไล่ต้อนจนมุม ทางเดียวที่จะรับมือคือพุ่งเข้าชนแล้วเอาหัวใจเป็นเดิมพัน
ถึงอาดิน เรารู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้วนะคะ เป็นสิบปีที่มิลค์มีความสุขมาก ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่มิลค์จะหยุดรักอาดินได้เลย นอกจากจะหยุดรักไม่ได้แล้ว ยังรักมากขึ้นๆ ทุกๆ วัน สิบปีมานี้มิลค์ได้บอกรักอาดินไปหลายครั้ง ทุกๆ ครั้งที่บอกไปมิลค์มีความสุขมากค่ะ ถึงแม้อาดินจะไม่ตอบรับมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่มิลค์ก็ยังพยายามต่อ เพราะหวังว่าสักวันอาดินจะหันมามองเห็นความรักที่มิลค์มีให้และรับมันไป แต่ว่า...มันคงไม่มีวันนั้นแล้วจริงๆ มิลค์ขอโทษนะคะที่เอาแต่ใจ ที่ตามกวนใจอาดิน หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันสักพัก มิลค์ขอให้อาดินเจอคนที่ใช่ คนที่อาดินรัก ส่วนมิลค์จะขอเฝ้ามองอาดินอยู่ห่างๆ แทน ลาก่อนค่ะ มิลค์
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
จี้ฮันโจวเป็นคนมีฝีมือร้ายกาจและเด็ดขาด แต่กลับเอ็นดูรักใคร่เสิ่นชือมาก เสิ่นชือ ซึ่งเกือบจะเสียชีวิตเนื่องจากการสมรู้ร่วมคิดจากพ่อและแม่เลี้ยงของเธอ และเธอได้ช่วยชีวิตหัวจี้ฮันโจว นายน้อยของตระกูลใหญ่ที่สุดใน เมืองเซิ่นจิน ส่งผลให้ทั้งสองบรรลุความร่วมมือ และสุดท้ายตกหลุมรักกัน คนนอก: "ไหนบอกว่าคุณชายจี้จะไม่ชอบผู้หญิง ไหนบอกว่าไร้ความปรารถนา และไม่แยแสกับผู้หญิงล่ะ!"
หนุ่มใหญ่วัย 42 เจ้าของโรงแรมและรีสอร์ตระดับ 5 ดาว ผู้ทรงอิทธิพลแห่งขุนเขา ดุดัน โหดและดินเถื่อน ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับสายตาและรอยยิ้้มแสนหวาน ของสาวน้อยวัย 19 เธอคือ made mind day เธอคือคนที่ทำให้วันเครียดๆ ของเขากลายเป็นสีชมพู รอยยิ้มของเธอทำให้เขาไม่มีวันลืม นอนไม่หลับ และเฝ้ารอที่จะได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง “ปวดท้องอีกแล้วค่ะ อื้อ! พอปวดมันก็ไหลออกมาอีก” “บอกอาเลย ให้อาทำยังไง” “ไปร้านสะดวกซื้อ ซื้อผ้าอนามัยให้วีได้ไหมคะ” “ไอ้เขตไปร้านสะดวกซื้อ เร็ว” พ่อเลี้ยงหนุ่มสั่งอย่างรีบร้อน ก่อนจะประคองมนัสวีเขามากอดปลอบไปก่อนเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร “ครับๆ” ว่าแล้วเขตแดนก็ขับรถไปพาร้านสะดวกซื้อทันทีซึ่งหาไม่ยาก “ถึงแล้ว ให้อาซื้ออะไรบ้างบอกมาซิ” ครั้นจะให้หนุ่มๆ ไปซื้อก็มีความรู้เท่ากันนั่นแหละ สู้เขาไปจัดการเองดีกว่า “ได้เหรอคะ วีกลัวคุณอาจะ...” “ไม่เป็นไรวีเดินไม่ไหว ไหนกางเกงน่าจะเปื้อนแล้ว” “เอาแบบกลางวัน ยาว 30 cm. 1 ห่อนะคะ แล้วกลางคืนยาว 35 cm. ค่ะ ถ้าหาไม่เจอบอกพนักงานก็ได้ค่ะ” “โอเคจ้ะ” ได้หรือไม่ได้เขาก็รับปากไปก่อนก็แล้วกัน ว่าแล้วจึงรีบลงจากรถพุ่งตัวเข้าไปในร้านในทันที เพียงไม่กี่ล็อกก็เจอผ้าอนามัยแต่ “คุณพระคุณเจ้ามีเป็นร้อย เอ่อ ไงดีวะ” ด้วยความไม่แน่ใจ กลัวหยิบไปผิด ต้องรวบรวมความกล้าและทิ้งความอายไปถามพนักงาน ไม่งั้นเมียเขาม่ได้ใส่ผ้าอนามัยแน่ๆ เชียว “ขอโทษทีครับ คือ ผม... มาซื้อผ้าอนามัยให้... ภรรยา แต่ไม่รู้ว่าต้องเลือกยี่ห้อไหนขนาดอะไรหรือแบบไหนถึงจะดี”
ครั้งที่เก้าสิบเก้าที่ ‘เจต’ ทำให้ฉันใจสลาย คือครั้งสุดท้ายของเรา เราสองคนเคยเป็นคู่รักดาวเด่นของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา อนาคตของเราถูกวางแผนไว้อย่างสวยหรูว่าจะเข้าเรียนที่จุฬาฯ ด้วยกัน แต่แล้วในช่วงปีสุดท้ายของม.ปลาย เขากลับไปหลงรักผู้หญิงคนใหม่ที่ชื่อ ‘แคท’ เรื่องราวความรักของเรากลายเป็นละครน้ำเน่าราคาถูกที่น่าเบื่อหน่าย เต็มไปด้วยการทรยศของเขาและการขู่ว่าจะเลิกอย่างไร้ความหมายของฉัน ในงานเลี้ยงจบการศึกษา แคท ‘บังเอิญ’ ดึงฉันตกลงไปในสระว่ายน้ำกับเธอ เจตกระโดดลงไปช่วยโดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขากลับว่ายผ่านฉันที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดไปอย่างไม่ใยดี แล้วโอบแขนรอบตัวแคทก่อนจะพาเธอขึ้นจากสระอย่างปลอดภัย ขณะที่เขาช่วยพยุงเธอขึ้นจากสระ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อนๆ เขาหันกลับมามองฉันที่ตัวสั่นเทา มาสคาร่าไหลเป็นทางสีดำอาบแก้ม “ชีวิตเธอ ไม่ใช่ปัญหาของฉันอีกต่อไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนน้ำในสระที่ฉันกำลังจะจมดิ่งลงไป คืนนั้นเอง บางสิ่งในตัวฉันก็แตกสลายลงอย่างสมบูรณ์ ฉันกลับบ้าน เปิดโน้ตบุ๊ก และคลิกปุ่มยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษาต่อ ไม่ใช่ที่จุฬาฯ กับเขา แต่เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คนละฟากฝั่งของกรุงเทพฯ
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY