“เป็นอะไร หน้ามืดเหรอ” เขาตีหน้าเครียดถามไถ่ เก็บซ่อนอาการขำขันด้วยความเอ็นดูเอาไว้มิดชิด เธออายจนต้องยกมือปิดหน้า ซ้ำยังบิดตัวซุกหลบกับอกแกร่งเพราะกลัวจะตก “คุๆๆๆ คุณ..คุณไคปล่อยครีมลงเถอะค่ะ” “ไม่ปล่อย” “ทำไมล่ะคะ” “ก็ไม่อยากปล่อย ตั้งแต่แต่งงานกันมาเรายังไม่เคยทำตัวเป็นสามีภรรยากันเลย ผมก็อยากอุ้มภรรยาดูบ้างไม่ได้เหรอ” “ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่เวลานี้ ตอนนี้คุณไคไม่สบายอยู่นะคะ ปล่อยครีมลงก่อนดีกว่าค่ะ อุ้มของหนักมากๆ เดี๋ยวยิ่งปวดหัวนะคะ” เธอแก้ตัวบ้าบออะไรของเธอเนี่ย ทำไมยิ่งฟังยิ่งน่ารักน่าฟัด พาให้หมั่นเขี้ยวนัก
บทที่ ๑ ความรักของฮาโตริ เคนชิน
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2548
บุรุษชาวญี่ปุ่นวัย 55 ปี กำลังอยู่ในพิธีฌาปนกิจศพของสตรีที่เขาหลงรัก แต่ไม่อาจเอามาเป็นของตนได้อย่างอาลัยอาวรณ์ เพราะเธอผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว เจ้าของของเธอก็คือคู่ค้าทางธุรกิจคนสำคัญของเขานั่นเอง
เธอแต่งงานกับเจ้าของบริษัทเลิศอินเตอร์คอร์ปอเรชั่น ชีวิตของเธอดูน่าจะมีความสุขเพราะได้แต่งงานกับพ่อม่ายที่เพียบพร้อมอย่างประมาณ แต่ความจริงที่เขารู้และเห็นมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธออยู่กับเขาด้วยความอดทน ทำงานเยี่ยงคนงานโดยไม่ปริปากบ่น เพราะเธอเป็นแม่ม่ายมีลูกติด เธออยากให้ลูกได้เรียน ได้กินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อเหมือนในอดีต จึงต้องทนและอยู่อย่างเจียมตัว ไม่ได้มีความสุขกับความรักที่สามีมอบให้เลย เพราะเขารักแต่เธอ แต่ไม่ได้รักลูกของเธอเหมือนอย่างที่เคยรับปากเอาไว้
วันนี้เป็นวันสุดท้าย เป็นวันที่จะเผาร่างที่ไร้วิญญาณของเธอแล้ว แต่สามีของเธอก็ยังใจดำกับลูกเลี้ยง ไม่ยอมให้ลูกของเธอมายืนรวมกลุ่มกับเจ้าภาพ ภาพของหญิงสาวที่ยืนซบสามีและกอดลูกสาวตัวเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นห่างออกไปจากกลุ่มเจ้าภาพ ช่างเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจเหลือเกิน
หลังจากเผาศพเสร็จเรียบร้อย ฮาโตริ เคนชิน แห่งมามิยะกรุ๊ปก็เดินไปที่รถ เกือบจะถึงรถอยู่แล้วเขาก็หันไปเห็นลูกสาวของคนตายกำลังนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จึงเดินไปหาเธอ เขาโค้งศีรษะรับไหว้จากสามีของเธอ และลูบศีรษะเด็กหญิงที่ทำตามบิดาอย่างเอ็นดู
“คุณหนู คุณฮาโตริมาหาครับ” สุภัคกระซิบบอกภรรยาที่เอาฝ่ามือปิดหน้าร้องไห้อยู่
ระพีเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมา “คุณลุง”
“ฉันเสียใจด้วยนะ”
“ขอบคุณนะคะคุณลุง ที่มาส่งแม่หนู” พร้อมยกมือไหว้อีกฝ่าย
“แม่เขาไปดีแล้ว ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว อย่าร้องไห้เลยนะ”
“ค่ะ” คำปลอบโยนของบุรุษชาวญี่ปุ่นทำให้ระพีสะอื้นหนักยิ่งกว่าเดิม เธอรู้ว่าแม่เหนื่อยมากแค่ไหน เธอจึงอดทนมาตลอดเพราะไม่อยากให้ท่านเหนื่อยมากขึ้นอีก พ่อเลี้ยงไม่รักเธอ ไม่เคยให้ความอบอุ่นแม้แต่ทางคำพูดกับเธอ ส่วนน้องๆ ต่างพ่ออีกสองคนนั้นไม่ต้องพูดถึง น้องชายไม่เคยแม้แต่จะชายตามองเธอ ส่วนน้องสาวนั้น ยามลับหลังมารดาก็มักจะด่าทอเธออย่างไร้เหตุผล “หนูจะพยายามค่ะคุณลุง”
ฮาโตริหยิบนามบัตรส่งให้หญิงสาวด้วยความเศร้าใจ “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ ถือซะว่าฉันเป็นพ่อของเธอนะ บอกฉันได้ทุกเรื่อง รับปากฉันสิระพี” เพราะสังหรณ์ใจไม่ดี เขาจึงสั่งกำชับเธออย่างหนักแน่น
ระพีรับนามบัตรของเขาไว้ ซาบซึ้งในน้ำใจที่เขาหยิบยื่นให้ น้ำใจที่เธอไม่เคยได้รับจากพ่อเลี้ยง ถึงแม้เขาจะไม่เคยตีไม่เคยด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ก็มักจะเหน็บแนมด้วยคำพูดลับหลังมารดาอยู่เสมอ
“รับปากฉันสิหนูระพี” ฮาโตริย้ำอีกครั้ง
“ค่ะคุณลุง”
ผ่านไปเจ็ดปีหลังจากครั้งนั้น ฮาโตริไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากลูกสาวของสตรีที่แอบรักเลย วันนี้เขาเดินทางมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง จุดประสงค์หลักคือเพื่อพบเธอโดยเฉพาะ เพราะอยากรู้ว่าเธออยู่สุขสบายเพียงใด เมื่อได้รับโทรศัพท์เรียนเชิญจากประธานแห่งเลิศอินเตอร์คอร์ปอเรชั่น ที่ปัจจุบันยังมีหุ้นส่วนอยู่ในมามิยะประเทศไทยโดยตรง จึงรับปากทันทีอย่างไม่ลังเล
“คุณลุงไม่จำเป็นต้องมาก็ได้นี่ครับ แค่งานเลี้ยงครบรอบบริษัทของคุณประมาณ ให้ผมไปแทนก็ได้”
ฮาโตริ เคนชิน มองหน้าหลานชายแท้ ๆ เพียงคนเดียวของตนพร้อมกับคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“ลุงไม่ได้อยากมาร่วมงานหรอกนะ แต่ลุงมีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญกว่านั้นต่างหาก ลุงถึงได้ถ่อสังขารมานี่ไง”
“จุดประสงค์อะไรครับ บอกผมได้หรือเปล่า”
“ได้สิ ลุงไม่คิดจะปิดบังแกอยู่แล้ว ลุงแค่อยากมาเห็นหน้าลูกสาวของผู้หญิงที่ลุงเคยรักว่าเธออยู่สุขสบายดีไหม แค่นี้แหละ”
“แค่นี้เองเหรอครับเหตุผล” ไคมองผู้เป็นลุงอย่างไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องราวของสตรีไทยที่ท่านเคยหลงรักก็พอได้ยินมาจากท่านบ้างแล้ว จึงไม่แปลกใจอะไร
“ก็เธอไม่ติดต่อมาหาลุงเลยนี่นา ลุงก็ต้องมาดูให้เห็นกับตาหน่อยสิ บอกตรงๆ ว่าลุงไม่มั่นใจเลยว่าคุณประมาณจะอุปการะเธอต่อไปอีก”
“คุณประมาณเขาคงไม่ใจดำกับลูกเลี้ยงขนาดนั้นหรอกครับคุณลุง”
“ถ้าเราไม่มีประโยชน์ร่วมกัน เขาคงไม่ดีกับเราแบบนี้หรอก” ถ้าหลานชายเคยเห็นแบบที่เขาเห็นคงจะไม่พูดแบบนี้
“เอาไว้ดูกันวันงานก็แล้วกันนะครับ ว่าลุงจะคิดถูกหรือผิด”
“อือ ว่าแต่วันนี้แกว่างนักเหรอ ทำไมถึงมารับลุงได้ล่ะ”
“ทำไมคุณลุงถามผมแบบนี้ล่ะครับ จะว่างหรือไม่ว่างยังไงผมก็ต้องมารับลุงของผมด้วยตัวเองสิครับ จะให้คนอื่นมาแทนได้ยังไง”
“แกช่างเป็นหลานที่กตัญญูรู้คุณเสียจริง”
คนถูกชมขมวดคิ้วนิดๆ มองหน้าลุงที่กำลังอมยิ้มด้วยสายตาสงสัย ไม่แน่ใจว่านั่นคือคำชมหรือคำพูดประชด
“ไค”
“ครับ”
“ถ้าสิ่งที่ลุงกังวลเป็นเรื่องจริง แกต้องช่วยลุงนะ”
“ช่วยอะไรครับ อย่าบอกนะว่าจะให้ผมตามหาพวกเขา... เฮ้อ! ผมไม่อยากจะทำหรอกนะครับ แต่เพื่อคุณลุงผมจะยอมก็แล้วกัน” ลุงก็เปรียบเสมือนพ่อของเขา เพราะเขาเสียพ่อไปตั้งแต่ยังอยู่ในท้องของแม่ ดังนั้นอะไรที่ทำให้ท่านสบายใจได้เขาก็อยากจะทำ
ก๊อก ๆ ๆ
“ขออนุญาตสักครู่นะคะครูเกตุ” คุณครูประจำห้องแนะแนวใช้ไม้เรียวที่ถือติดมือเคาะประตูห้องเรียนเพื่อให้สัญญาณครูที่กำลังสอน
“เชิญค่ะ”
“สุภัครพี เลิกเรียนแล้วไปหาครูที่ห้องแนะแนวด้วยนะ”
“ค่ะคุณครู”
“ขอบคุณค่ะครูเกตุ” ครูแนะแนวหันไปขอบคุณครูผู้สอนแล้วเดินจากไป
“คุณครูเรียกหนูทำไมเหรอคะ” หลังจากจบคาบเรียน เด็กสาววัยสิบเจ็ดก็มาพบครูที่ห้องแนะแนว
“นั่งสิ เธอยังอยากทำงานอยู่ไหมสุภัครพี”
“อยากค่ะคุณครู” เด็กสาวตอบรับทันที
“เธอจะไม่ถามหน่อยเหรอว่างานอะไร”
“ไม่ค่ะ ถ้าคุณครูหาให้ก็แสดงว่าเป็นงานที่เชื่อถือได้อยู่แล้ว”
นงนุชคลี่ยิ้ม พยักหน้าคล้อยตามคำพูดของลูกศิษย์คนโปรด เธอรู้จักเด็กคนนี้มานานก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่ และสนิทชิดเชื้อกับพ่อแม่ของอีกฝ่าย รู้เรื่องราวทุกอย่างพอประมาณ และยังกำความลับสำคัญเอาไว้อีกเรื่องหนึ่งด้วย
"ณัฐวรา" สถาปนิกสาวสวยแม่ม่ายลูกสอง ความน่ารักของเธอถูกตาต้องใจประธานคนใหม่อย่างแรง เขารุก ๆ และรุก แล้วเธอจะหนีทำไม ในเมื่อหัวใจก็เรียกร้องต้องการ ก็เขาตรงตามสเป็กซะขนาดนั้น สูงใหญ่ บึกบึน แถมเป็นลูกครึ่งด้วยสิ คงหนีไม่พ้นเขาแน่ ๆ "เควิน" ---------------- เหตุการณ์บางอย่างทำให้ "สินี" ต้องล้มเหลวกับชีวิตคู่ เธอเริ่มมองเขาที่เคยเป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือเธออยู่ตลอดเวลา จนมันพัฒนามาเป็นความรักครั้งใหม่ในระยะเวลาสั้น ๆ "นภดล" ผู้ชายที่แอบเฝ้ามอง แอบหลงรักเธอมาตลอดเวลาห้าปี ------------------------------- หญิงสาวฟุบตัวลงกับอกแกร่งอย่างเหนื่อยหอบ เพราะงัดกลยุทธ์ออกมาพิชิตใจเขาจนหมดสิ้น “เควี่คะ” เรียกเขาเสียงหอบ “ว่าไงครับฮันนี่” เขาลูบศีรษะเธอแผ่วเบา “ถูกใจกับของขวัญมั้ยคะ” เธอถามเพราะอยากรู้ว่าตัวเองทำได้ดีพอมั้ยสำหรับครั้งแรก “ถ้าบอกว่าไม่ถูกใจจะขอแก้ตัวมั้ยครับ” แล้วหัวเราะเบา ๆ เมื่อถูกค้อนใส่ “ถูกใจที่สุดเลยครับ ให้ผมบ่อย ๆ นะ ผมรับได้ทุกโอกาส ทุกเทศกาลเลยนะครับ นะครับฮันนี่” เขาอ้อนวอนขอ “ค่ะ ถ้าคุณทำตัวน่ารักกับน้ำผึ้งนะคะ” “ผมจะทำตัวน่ารัก และเป็นสามีที่ดีของคุณภรรยานะครับ” “สามีภรรยาอะไรคะ พูดแบบนี้น้ำผึ้งเขินนะ” แล้วขยับตัวจะลงไปนอนบนที่นอน แต่เขารั้งไว้ไม่ยอมปล่อย “นอนกับอกผมนี้แหละ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะหนัก เพราะตัวคุณเบาอย่างกับนุ่น” แล้วกอดเธอกระชับขึ้น “ไม่เอาค่ะ ขอน้ำผึ้งนอนบนเตียงแล้วซบอกคุณดีกว่า อุ่นดี”
ชติรสรีบพลิกตัวหันหลังให้ชายหนุ่มทันทีที่เขาผละจากเธอไปยืนอยู่ข้างเตียง ควานมือไปด้านหลังเพื่อหาผ้าห่มมาคลุมร่างที่เปลือยเปล่าของตนให้พ้นจากสายตาร้อนแรงสีน้ำตาลเฮเซลคู่นั้น แต่ให้ตายเถอะผ้าห่มมันหายไปไหนวะ! ชายหนุ่มกอดผ้าห่มไว้กับอก มองทรวดทรงอวบอัดที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน เธอคือผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติในสายตาของเขาจริงๆ คิดไปคิดมาความต้องการที่เพิ่งสงบลงไปก็เริ่มตื่นตัวอีกครั้ง เขารีบคลี่ผ้าห่มคลุมร่างให้เธอแล้วแต่งตัวเพราะกลัวอดใจไม่ไหว กลัวจะทำให้เธอเจ็บปวดทรมานจนเข็ดขยาด “ผมไปก่อนนะยอดรัก” เขาเกี่ยวร่างที่ตะแคงหันหลังให้ด้วยมือข้างเดียว แล้วโน้มหน้าไปกระหน่ำจูบที่เรียวปากอิ่มนั้นอย่างเสน่หา ก่อนจะออกไปจากห้องเขายังหยิบโทรศัพท์ของเธอมากดเข้าหาเบอร์ตัวเอง และอดไม่ได้ที่จะรั้งร่างบางมากอดแนบอกและดูดดื่มความหวานของเรียวปากอย่างอาลัยอาวรณ์ “อย่าลืมสัญญาของเราล่ะ” เธอเน้นย้ำเมื่อเขาจะจากไป เขามองร่างที่กอดกระชับผ้าห่มนวมเอาไว้ด้วยความรักใคร่อย่างเปิดเผย “ผมจะรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัดถ้าคุณไม่ผิดคำสัญญา” “เราควรทำหนังสือสัญญาต่อกัน” “ไม่จำเป็น หน้าที่ของคุณคือเป็นตัวแทนของลิก้า หน้าที่ของผมคือห้ามยุ่งกับลิก้า ดังนั้นคุณและผมแค่ทำหน้าของตัวเองอย่างเคร่งครัดหนังสือสัญญาก็ไม่มีความหมาย” “ถ้าฉันรู้ว่าคุณยุ่งกับพี่สาวของฉันทั้งที่ฉันยอมคุณถึงขนาดนี้ เราได้เห็นดีกันแน่” เธอข่มขู่ “ผมไม่โง่เสียคุณไปหรอกยอดรัก คุณเด็ดกว่าเธอเป็นไหนๆ” “อย่ามาหยาบคายกับฉัน ไสหัวออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” เธอหยิบหมอนปาใส่คนปากเปราะนัยน์ตาลามกด้วยความอับอายระคนโกรธแค้น
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบทุกกระเบียดนิ้วอย่างเขา ทำไมต้องมาแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นง่อยอย่างเธอด้วยล่ะ.. ------------------ เขากอดเธอแน่น จูบหนักหน่วงขึ้น เรียกว่าแทบจะสูบเอาวิญญาณออกมา จูบจนเธอต้องเบือนหน้าหนีเพื่อสูดเอาอากาศเข้าปอด “หายใจไม่ทันเหรอ” ถามเสียงนิ่ง จ้องใบหน้านวลไม่กะพริบ “ตอบผมสิ” คะยั้นคะยอขอคำตอบเมื่อเธอเอาแต่อ้ำอึ้ง ไม่กล้าจะสบตาด้วย “..ค่ะ” ตอบอย่างขัดเขิน “มองหน้าผมให้เต็มตาแล้วค่อยตอบสิหนูเล็ก” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเอื้อมมือไปจับปลายคาง รั้งใบหน้าเธอให้หันมามองตน.. แต่ใบหน้าเรียวแดงซ่านช่างน่ารักเหลือเกิน อดใจไม่ได้ต้องโน้มไปหาและจูบเสียอีกที หอมอีกสองฟอด “เด็กเลี้ยงแกะ!” แล้วตำหนิเสียงขรึม แววตาวาว คนถูกดุเหลือบสายตามองโต้ ทั้งเขินทั้งงง ไม่เข้าใจว่าตนกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะได้อย่างไร
อดีตนักดนตรีรูปหล่อพ่อรวยที่ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจเต็มตัวเพื่อสืบทอดกิจการของครอบครัว สามปีที่เขามัวแต่เรียนรู้เรื่องงานที่ไม่ถนัดจนต้องปล่อยวางเรื่องความรัก ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะรับมือกับมัน แต่ให้ตายเถอะ! ทำไมผู้หญิงแต่ละคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถวิลหาได้เหมือนเธอคนนั้นเลยสักคน ตอนนี้เธออยู่ไหน ทำอะไรอยู่นะ เขาอยากเจอเธออีกสักครั้ง และครั้งนี้จะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือเด็ดขาด เชิญพบกับความรักของพี่โฉดผู้น่ารักกับน้องแนนผู้ใสซื่อ(จากบัญชารักจากหัวใจ)ได้ในเล่มนี้เลยค่ะ
เขาคือเจ้าของฟาร์มนกกระจอกเทศที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนเธอคือหญิงสาวที่เขารับมาทำงานด้วยเพราะถูกน้องชายขอร้อง อะไรจะเกิดขึ้น? เมื่อคนที่เขาคิดว่าขี้เหร่นักหนากลายเป็นนางฟ้าเดินดินที่อยากครอบครอง
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
เฉียวลู่ นักแสดงแถวหน้าของจีนมีข่าวฉาวออกมาทำให้ทางต้นสังกัดของเธอสั่งให้เธองดออกสื่อชั่วคราว จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับคนงานยุ่งตลอดทั้งปีของเธอที่จะได้พักผ่อน เฉียวลู่เดินทางกลับบ้านเกิดของเธอและการกลับไปครั้งนี้ทำให้ชีวิตของเฉียวลู่เปลี่ยนไปตลอดการ ฉีหมิงเยี่ยน อนุชาองค์เล็กของฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี ถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างที่เดินทางมาทำหน้าที่เจรจาสงบศึกกับเเเคว้นเซียว เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้ชินอ๋องความจำเสื่อมและได้รับการช่วยเหลือจากพ่อลูกตระกูลเฉียว เซียวยิ่น ฮ่องเต้แคว้นเซียวมีพระสนมมากมายเเต่กลับไม่สามารถให้กำเนิดพระโอรสได้โหรหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่า ในอนาคตองค์รัชทายาทที่แท้จริงจะกลับมาเซียวยิ่นจึงมีรับสั่งให้ทหารออกตามหาพระโอรสและอดีตฮองเฮาของตนอย่างลับๆ ฉินอี้เหยา ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างลอยตามแม่น้ำมาพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขนเมื่อฟื้นขึ้นมานางจึงแสร้งจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ เพื่อให้นางและบุตรชายมีชีวิตรอดต่อไป
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
เพราะแอบรักกล้าตะวันมากนาน หวันยิหวาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครองรักกับเขา โดยมีมารดาของเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่สำหรับกล้าตะวันแล้ว หวันยิหวาคือนางมารร้ายที่ทำให้เขากับคนรักต้องเลิกรากัน ดังนั้นทุกวินาทีหลังจากงานวิวาห์นี้จบลง หวันยิหวาจะต้องได้รู้จักกับนรกอเวจีปอยเปตอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว “อา... อ๊า...อา...” ลำคอระหงถูกซุกไซ้และดูดเม้ม เสื้อผ้าถูกดึงทึ้งออกไปจากร่างกาย จนในที่สุดก็เปลือยเปล่า กล้าตะวันเลียลงมาที่ไหปลาร้า และมาซบหน้าคลุกเคล้ากับร่องอกอวบ เขาดอมดมกลิ่นสาปสาวอย่างหิวกระหาย ขณะที่ฝ่ามือหนาวางทาบลงกับเต้านมอวบอัดข้างซ้ายของหล่อน “อา... อ๊า... ซี๊ดดดด” หล่อนเผยอปากครางลั่น เมื่อปทุมถันถูกฟอนเฟ้นบีบเคล้าหนักหน่วง ปลายนิ้วแข็งแรงถูไถเม็ดเต่งอย่างเมามัน หล่อนดิ้นเร่าๆ หยัดหน้าอกขึ้นหาสัมผัสจากฝ่ามืออบอุ่นด้วยความกระตือรือร้น
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"