นิยายรัก แบบฉบับครอบครัว นางเอกแยกทางกับพระเอกโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองท้อง แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนลูกสาวโตอายุได้ปรมาณ 4 ขวบ
แชะ แชะ
เสียงกดชัตเตอร์ดังติดต่อกันต่อเนื่องโดยตากล้องมืออาชีพ สองเด็กน้อยคนหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งขนาด ความสูง รูปร่าง น้ำเสียง หรือแม้กระทั่งรอยยิ้ม หากแต่เวลานี้เด็กทั้งคู่จะต่างกันก็ตรงสีชุดที่สวมใส่อยู่ในตอนนี้ ผมที่ถูกรวบตึงไว้เผยให้เห็นผิวแก้มสีชมพูระเรื่อ จมูกเล็กโด่งจนเห็นสันจมูก บ่งบอกว่าโตขึ้นทั้งสองคนจมูกโด่งสวยแน่นอน ริมฝีปากเรียวบางได้รูปแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน ดวงตาสีนิลกลมโตจนแทบจะไม่เห็นนัยน์ตาสีขาวประกายไปด้วยแววตาแห่งความสุข
ฝาแฝดทั้งสองคนกำลังโพสท่าตามที่ผู้ใหญ่ออกแบบให้ รวมทั้งท่าทางที่ทั้งสองคนแสดงออกมาเองอย่างไร้เดียงสา ให้ตากล้องทำหน้าที่กดชัตเตอร์จนหนำใจ รอยยิ้ม แววตา ความสดใสไร้เดียงสาของเด็กทั้งสองสร้างความน่ารักน่าเอ็นดู สร้างสีสันและเรียกรอยยิ้มให้แก่ทีมงานได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“กรี๊ด! กรี๊ด!”
เสียงร้องดีใจดังออกจากปากเล็กจิ้มลิ้มของทั้งคู่พร้อมๆ กัน หนูน้อยพากันวิ่งแข่งกันไปยังจุดหมายเดียวกัน คือร่างสูงโปร่งของหญิงสาวในชุดกางเกงพอดีตัวสีขาวกับเสื้อยืดผ้าเนื้อดีสีฟ้าอ่อน ที่กำลังยืนยิ้มมองไปยังร่างเล็กของทั้งสองคนอยู่
“คุณแม่ขา... วันนี้คุณแม่มารับพี่ทอฝันกับน้องพาฝันด้วย ดีใจที่สุดเลย” เสียงใสของทั้งคู่ดังขึ้นแข่งกันจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
“ไม่ต้องวิ่งค่ะ เดี๋ยวหกล้มค่ะ”
หญิงสาวที่เด็กทั้งสองเรียกว่าแม่เมื่อครู่รีบย่อตัวลงนั่ง อ้าแขนรอรับร่างเล็กที่กำลังวิ่งแข่งกันมา
ณรันดา หญิงสาวหน้าหวานนัยน์ตาสวย แม่แท้ๆ ของทั้งคู่ โดยปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยได้มาดูลูกสาวทั้งสองทำงานเท่าไหร่นัก เพราะติดต้องทำหน้าที่ดูแลทั้งครูและเด็กนักเรียนระดับอนุบาลทั้งหมดของโรงเรียน
หญิงสาวอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทำให้เธอไม่สามารถที่จะติดสอยห้อยตามลูกสาวได้มากนัก เธอจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่เพื่อนรักคอยเป็นธุระจัดการเกี่ยวกับงานของเจ้าตัวน้อยทุกอย่าง
แต่ทั้งนี้งานแต่ละงานยังคงต้องผ่านสายตาเธอด้วย เพื่อช่วยเพื่อนรักจัดสรรเวลาให้เด็กน้อยทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
“ว่าไงจ๊ะ ไหนบอกว่าวันนี้ติดประชุม มาไม่ได้ไงล่ะ”
ปานชนก ซึ่งเดินตามเด็กทั้งสองมาทีหลังด้วย
“พอดีคุณหญิงท่านเลื่อนประชุมจ้ะ ก็เลยแอบมาดูเจ้าตัวแสบสักหน่อย”
พูดจบเธอก็หอมแก้มยุ้ยของเด็กทั้งคู่คนละที
เจ้าตัวแสบทั้งสองก็ไม่ยอมแพ้หอมแก้มคุณแม่ยังสาวคนละข้างพร้อมกันทันทีเช่นกัน
คุณหญิงที่ณรันดาพูดถึงก็คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลที่เธอทำงานอยู่นั่นแหละ หรืออีกนัยก็คือมารดาของมาร์ค หนุ่มลูกครึ่งซึ่งเป็นผู้เปิดโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้
“แล้วนี่จอดรถไว้ตรงไหนล่ะ”
ปานชนกถามขึ้นอีกเมื่อมองดูรอบๆ แล้วไม่เห็นรถของเพื่อนรัก
“เรามาแท็กซี่จ้ะ...”
“อืม งั้นเดี๋ยวเราไปส่ง”
ณรันดาพยักหน้ารับคำเพื่อน ก่อนหันไปให้ความสนใจเด็กน้อยสองคนอีกครั้ง
“วันนี้ลูกสาวแม่ดื้อกับน้าป่าน และพี่ๆ ทีมงานหรือเปล่าคะ”
“ไม่เลยค่ะ พี่ทอฝันไม่ได้ดื้อเลย”
เสียงเด็กเจ้าของชื่อทอฝัน หรือเด็กหญิงรวีรินดา ซึ่งเป็นแฝดผู้พี่ ตอบขึ้นก่อน
“น้องพาฝันก็ไม่ดื้อเหมือนกันค่ะ”
แล้วเสียงใสของน้องพาฝัน หรือเด็กหญิงรวีรันตรา แฝดคนน้องก็รีบตอบมาบ้าง
“เก่งมากเลยค่ะ... ถ้าอย่างนั้นต้องให้รางวัลสักหน่อย วันนี้คุณแม่จะพาไปกินไอติมดีไหมคะ”
คุณแม่ยังสาวเสนอของรางวัลพร้อมหอมแก้มยุ้ยอีกครั้ง
“ดีค่ะ... พี่ทอฝันจะกินสองถ้วยเลย”
“น้องพาฝันกินสองถ้วยด้วยนะคะ”
สองพี่น้องรีบแข่งกันบอกพร้อมชูนิ้วขึ้นเป็นการบอกจำนวน คุณแม่ยังสาวกับเพื่อนรักได้แต่ยิ้มให้กับกิริยาไร้เดียงสาของทั้งคู่
“แล้วนี่ถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยังจ๊ะป่าน”
ณรันดาเงยหน้าขึ้นถามเพื่อนรัก
“น่าจะเรียบร้อยแล้ว... เพราะเขาขอเวลาไว้แค่สองชั่วโมง อีกอย่างวันนี้เจ้าตัวแสบเก่งมาก ดูอารมณ์ดีเหมือนรู้ว่าแม่จะมารับอย่างนั้นแหละ เลยทำให้งานผ่านฉลุย แทบจะไม่ต้องถ่ายแก้เลย”
ปานชนกยืนกอดอกตอบเพื่อนรักก่อนโน้มตัวลงไปหยิกแก้มยุ้ยของเจ้าตัวแสบทั้งคู่อย่างมันเขี้ยว
“อืม... งั้นเดี๋ยววันนี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้วนะ”
พูดจบเธอก็จูงมือเด็กน้อยทั้งคู่ตรงไปยังทีมงานพร้อมกับปานชนกเพื่อถามถึงความเรียบร้อยของงานก่อนที่จะพากันขึ้นรถไป
ห้องทำงานหรูชั้นสูงสุดของคอนโดฯ หรูแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง เวลานี้เจ้าของห้องกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับเอกสารกองโต อีกทั้งแบบโครงการบ้านและโครงการคอนโดฯ ที่เจ้าตัวกำลังมีแพลนสร้างขึ้นใหม่ภายในปีนี้
รวิชญ์ นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังผู้เป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร คอนโดฯ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่ยังไม่เกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ชานเมือง หรือตามจังหวัดใหญ่ ฉะนั้นในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นับว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่จัดว่าหนุ่ม หล่อ ฉลาด เฉียบขาด เป็นที่รู้จักของคนในวงการนี้ และที่สำคัญเขายังจัดว่าเป็นนักธุรกิจเนื้อหอม ที่มีสาวๆ ต่างพากันเสนอตัวให้เขามากมายเลยทีเดียว
“คุณน้องครับ ตกลงว่าหาเด็กที่จะมาถ่ายโฆษณาให้ผมได้บ้างหรือยังครับ”
รวิชญ์ปิดแฟ้มเอกสารที่เพิ่งเซ็นเอกสารฉบับสุดท้ายเสร็จ ก่อนกดเครื่องติดต่อภายในตรงหาเลขาฯ หน้าห้องทันที
“ทางโมเดลลิงส่งมาให้บ้างแล้วค่ะ คุณรวิชญ์จะดูเลยหรือเปล่าคะ”
“อืม... เอามาให้ผมดูหน่อย”
พูดจบก็กดปิดเครื่องติดต่อภายในทันที พร้อมกับคว้านิตยสารเกี่ยวกับแฟชั่นเสื้อผ้าเด็กขึ้นมาเปิดดูระหว่างรอเลขาฯ หน้าห้องเข้ามาพบ
“มีเด็กคนไหนน่าสนใจบ้างครับคุณน้อง”
รวิชญ์ถามขึ้นทันทีที่ร่างของเลขาฯ หน้าห้องเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสาร และนิตยสารอีก สอง-สาม เล่ม
“ก็มีหลายคนค่ะคุณรวิชญ์... น้องว่าคุณรวิชญ์ลองดูก่อนดีกว่าค่ะ”
น้อง หรือกนกวรรณ ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาฯ หน้าห้องให้แก่รวิชญ์มาหลายปี รีบจัดแจงส่งเอกสารพร้อมรูปถ่ายที่ได้รับมาจากโมเดลลิงให้อย่างกระตือรือร้น
“อืม... นั่งก่อนสิ จะได้ช่วยผมดูด้วย ผมอยากจะรีบสรุปให้มันจบๆ จะได้เตรียมงานอื่นต่อ”
“เด็กสมัยนี้เก่งๆ กันทั้งนั้นเลยนะ คุณน้องว่าไหม”
รวิชญ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภาพ และรอยยิ้มที่เด็กน้อยแต่ละคนโพสท่ากัน ดูแล้วความสามารถไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่เลย ผิดกันตรงที่เด็กๆ มีความน่ารัก รอยยิ้มที่ปรากฏก็มาจากความไร้เดียงสา ไม่ใช่การเสแสร้งเหมือนผู้ใหญ่
“จริงค่ะ เด็กสมัยนี้เก่ง... แต่บางคนก็เกินเด็กไปเหมือนกันนะคะ”
เลขาฯ หน้าหวานออกความคิดเห็น มือยังคงเปิดดูรูปเด็กๆ ผ่านไปเรื่อยๆ รวิชญ์ได้แต่พยักหน้าให้
“พรีม ๆ หยุดก่อน” เขาร้องเรียกหญิงสาวเอาไว้ เสียงดังฟังชัดทำเอาเด็กน้อยถึงกับหันมามองคนเรียก “คุณลุง” น้องพอวาเห็นหน้าก็จำได้ว่า เขาคือคนที่ได้เจอที่หน้าห้องน้ำเมื่อตอนมาถึงที่ร้าน พริมาภาตกใจไม่น้อยที่ได้ยินบุตรสาวร้องทักเขาขึ้น จริงอยู่ว่าหญิงสาวต้องการให้เขารับรู้ว่าเด็กที่เธอจับมือเอาไว้อยู่นี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา หากแต่ไม่ใช่ตอนนี้ “น้องพอวา” “คุณลุงจำชื่อน้องพอวาได้ด้วย” เด็กน้อยบอกเสียงแจ๋วด้วยดีใจที่มีคนจำชื่อตัวเองได้ “จำได้สิคะ” “น้องพอวา หนูรู้จักคุณ ... เอ่อ คุณลุงด้วยเหรอคะ” “คุณลุงช่วยน้องพอวากดสบู่ให้ตอนน้องพอวาล้างมือค่ะ” เด็กน้อยบอกเสียงใสเลยทีเดียว “พรีม เด็กคนนี้ ...” “น้องพอวาเป็นลูกสาวพรีมค่ะ” เธอไม่รีรอที่จะบอกออกไปเช่นนั้น เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดไม่ให้เขารู้ว่าเธอมีลูกแล้ว คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าหล่อคมเข้มถึงกับร้อนวูบขึ้นมา พร้อม ๆ กับหลากหลายความรู้สึกที่วิ่งแทรกเข้ามา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่
“พี่ภีมโกรธวาเรื่องอะไรคะ” “หยุด! ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเรียกฉันว่า ‘พี่’ ฉันมียายพลอยเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น” น้ำเสียงดุกร้าวไม่แพ้แววตา “นี่มันอะไรกันคะวางงไปหมดแล้ว พี่ภีมช่วยอธิบายให้วาเข้าใจหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวร้องขอความกระจ่างจากเขา ยังคงสะอื้นไห้อยู่เช่นเดิม “อธิบายเหรอ... ยังจะต้องให้ฉันอธิบายอะไรอีก หรือต้องการให้ฉันประจานต่อหน้าป้าอิ่มและนวลว่าเธอมันเลวชาติ... หน้าด้าน หน้าทน ขนาดไหน” “คุณภีม! / พี่ภีม!” วาทิตา นางอิ่ม อุทนทานเรียกชื่อเขาพร้อมๆ กันเลยทีเดียว ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากเขาได้ “อยากรู้ว่าตัวเองเลวยังไง ฉันว่าไอ้นี่คงจะอธิบายได้อย่างชัดเจนถึงความเลวของเธอนะวาทิตา” ภาคิน ปาก้อนกระดาษที่เขาขยำไว้ในมืออย่างโกรธแค้นจนกลายเป็นก้อนกลมๆ ใส่หน้าหญิงสาวอย่างแม่นยำ ทว่าหากเวลานี้ในมือเขาสามารถประจุไฟขึ้นมาได้กระดาษแผ่นนั้นคงไม่เป็นก้อนอยู่อย่างที่เห็น มันคงกลายเป็นเถ้ากระดาษไปนานแล้ว วาทิตารีบคลี่ก้อนกระดาษที่เขาปาใส่หน้าเธออย่างเต็มแรงจนแก้มขาวนวลข้างซ้ายขึ้นรอยแดงอย่างเห็นได้ชัดทันที นัยน์ตากลมโตค่อยๆ ไล่อ่านทุกตัวอักษรยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งถอดสี ศีรษะส่ายไปมาเล็กน้อย เหมือนต้องการส่งสัญญาณให้บุคคลที่กำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้านั้นได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงตามข้อความในกระดาษนี้ สายตาชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองประดุจเสือร้ายกำลังจ้องกวางน้อยและรอเวลาตะคลุบเหยื่อมาเป็นอาหารอันโอชะอยู่อย่างไม่ละสายตา ทำให้เขาเห็นทุกอากัปกิริยาของเธอ เขากระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งอย่างเหยียดๆ “ไม่จริง! นะคะพี่ภีม ไม่จริง”
หากไม่ใช่เพราะพินัยกรรมฉบับนั้นเธอคงไม่ได้เป็นเจ้าสาวของเขาในวันนี้หรอก “ก็แค่สามปี” กัญญ์ณรัณพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด “ฉันคงไม่ปล่อยให้รตีต้องรอฉันจนถึงสามปีหรอก” “แต่ในพินัยกรรมบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันสามปีนะคะ” “เธอก็เป็นเมียฉันไปตามพินัยกรรมบ้าบออะไรนั่นไปสิ ส่วนฉันก็จะเป็นผัวในแบบของฉัน และจำไว้ว่ารตีคือคนที่ฉันรัก และจะเป็นเมียฉันคนเดียวเท่านั้น”
“นี่คุณ ปล่อยฉันนะไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนเรียกคุณป๋า ท่านจะได้รู้ว่าคุณมันไว้ใจไม่ได้” น้ำเสียงเธอตกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็โดนอีกฝ่ายจู่โจมถึงตัวเอาแบบนี้ “คุณไม่รู้หรอกหรือว่าคุณป๋าคุณเปิดทางให้ผมแค่ไหน” เขากระซิบข้างหูคนตัวเล็กอย่างจงใจ “ปล่อยฉันนะ คุณอย่ามารุ่มร่ามกับฉันแบบนี้นะ” “รุ่มร่ามที่ไหนกันก็แค่กอดเมีย” คนกวนพยายามจะหอมแก้มขาวนวล ทว่าอีกฝ่ายหลบได้ทันเสียก่อน “นี่คุณ” ไม่ได้ห้ามอย่างเดียว ทว่ากำปั่นเล็กทุบเข้าที่หน้าอกเขาเต็มแรง แต่ดูเหมือนคนทุบจะเจ็บมือเองเสียเปล่า ๆ เพราะมันไม่ได้สะทกสะท้านหรือระคายเคืองอะไรกับแผงอกหนาเอาเสียเลย “ถ้ายอมให้หอมก็จะปล่อย” “มันจะมากไปแล้วนะ” เสียงที่ดังลอดไรฟันค่อนข้างเอาเรื่อง “แค่หอมมากไปทีไหนกัน ... โอ๊ย! นี่คุณชาติก่อนเป็นหมาหรือไง” ศิวัฒน์ยังไม่ทันได้กวนโทสะอีกฝ่ายจนสุด ก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาเมื่อคนในวงแขนแข็งแรงหันไปกัดเอาที่ต้นแขนนั้นจมเขี้ยว ทำเอาคนที่กำลังคิดว่าตัวมีชัยอยู่ถึงกับต้องปล่อยแขนออกจากเอวบางทันที
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา อายุ 22 ปี ที่ได้รับทุนเรียนดีจนจบมหาวิทยาลัย ได้แบกร่างกายพาหัวใจอันแตกสลายกลับบ้านเกิดทันทีในวันที่จบการศึกษา เพราะบิดามารดาได้เสียชีวิตกระทันหันทั้งคู่หลังจากกลับจากการนำข้าวไปขายและโดนสิบล้อที่เบรคแตกเสียหลักพุ่งชนรถของพ่อแม่ของมังกร เมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกระทันหันเขาจึงกลับบ้านเกิดเพื่อไปทำไร่ทำนาสานฝันของพ่อแม่และนำความรู้ที่ได้เรียนมากลับมาพัฒนาที่ดินมรดกในบ้านเกิด หากแต่ว่ามังกรยังไม่ทันได้ทำอะไรเขากลับตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ตายแบบไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจที่สุด เขาจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเขาได้ไปไหว้พ่อกับแม่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วก็กลับมานอนแต่พอเขากลับตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชาย อายุ 8ขวบ กับบ้านพุๆพังๆ เขาตื่นมาในร่างของคนอื่นไม่พอ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มันที่ไหน และใครพาเขามา แล้วมังกรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่อยู่ในร่างเด็กชายยากจนคนนี้ มาติดตามชีวิตใหม่ของมังกรกันต่อไปค่ะ
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที