“อัญมณี” นามปากกาที่เขียนนิยายรักจนโด่งดัง มีแฟนคลับทั่วบ้านทั่วเมือง แต่กลับไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นใครมาจากไหน รูปร่างหน้าตาเช่นไร อัญมณี ช่างภาพข่าวสาวต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกปองร้ายจากคนที่ไม่รู้ว่าใคร ด้วยเหตุชื่อเหมือนนามปากกานั้น ทั้งยังเป็นตัวแทนนักเขียนคนนั้นไปร่วมงานศพของดวงดาวแฟนนิยาย ทำให้นายแพทย์ชลทิศน้องสาวผู้ตายและดวงดาราลูกสาววัยรุ่นของคนตายมองหล่อนเป็นผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของดวงดาวตามข่าวลือ ใครคือฆาตกรที่ทุกคนกำลังสืบหา และช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันก็มีคนเร่ร่อนถูกฆ่าตายอย่างทรมานคนแล้วคนเล่า ฆาตกรจะเป็นคนเดียวกันและเกี่ยวข้องกับอัญมณีและ “อัญมณี” หรือไม่ การตามไขปัญหาของชลทิศและอัญมณีทำให้เกิดเป็นความรักและผูกพัน
บทที่๑
‘อัญมณี’
ทุกสายตาในศาลาสวดอภิธรรมต่างหันไปมองชื่อเจ้าของพวงหรีดที่กำลังถูกแขวนด้วยมือคล้ำของใครคนหนึ่งซึ่งเป็นคนช่วยจัดการในงาน พวงดอกไม้ราคาแพงสีขาวบริสุทธิ์ไม่ได้สะดุดตาเท่าชื่อที่ติดไว้ ทุกคนต่างหันไปมองนอกศาลาเพื่อหาเจ้าของพวงหรีด จนไปหยุดที่หญิงสาวคนหนึ่ง
หล่อนมีรูปร่างโปร่งค่อนไปทางผอมในชุดเสื้อแขนยาวกระโปรงคลุมเข่าสีดำ และรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาจึงเดินช้าลง กวาดตามองอย่างหวาดระแวง แล้วสำรวจตนเองอีกรอบ บางทีการอยู่ในชุดสุภาพสำหรับงานศพอาจทำให้หล่อนดูแปลกไปกว่าทุกวัน และยิ่งไม่รู้จักใครในงานนี้เลยยิ่งตกประหม่าจนอยากหันหลังกลับ
“มานี่ มางานนี้ด้วยหรือ” เจ้าของคำถามเดินมาหา
ตั้มเป็นชายหนุ่มวัยใกล้สามสิบหน้าตาคมเข้มด้วยหนวดและเคราบางๆ เป็นเพื่อนร่วมงานของมานี่หรือนางสาวอัญมณี เจริญยิ่งณรงค์ หล่อนแทบจะกระโดดกอดดีใจที่อย่างน้อยเจอคนรู้จักตั้งหนึ่งคนแล้ว
อัญมณีพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ
“ญาติหรือคนรู้จัก” ตั้มถามต่อ แต่หล่อนส่ายหน้าช้าๆ แล้วอ้อมแอ้มบอก
“ไม่ใช่ทั้งสอง”
“อ้าว! แล้วมาทำไม”
“มาแทนพี่”
“เรามีพี่ด้วย” ตั้มพูดด้วยเสียงอันดัง ทำให้คนทั้งศาลาแทบหันมามองเป็นตาเดียว
“พูดเบาๆ ก็ได้ ไม่ใช่พี่แท้ๆ หรอก เรียกว่าคนนับถือกันนะ”
“ก็เห็นใช้ชื่อตัวเองบนพวงหรีด เลยแปลกใจน่ะ” ตั้มสงสัย
“เอ่อ ไมใช่ชื่อนี่ นั่นมันนามปากกาของพี่ที่นับถือไง”
คนนับถือกัน อัญมณีอยากค้อนให้คำพูดนี้ของตัวเอง คนนับถือกันที่ว่าขอร้องแกมบังคับให้หล่อนนำพวงหรีดมาแสดงความเสียใจอาลัยคนตาย ทั้งที่หล่อนไม่รู้จัก
บ้าไปกันใหญ่แล้ว แต่หล่อนก็ต้องทำตามสั่ง ดูเหมือนว่าไม่เคยขัดใจ ขัดคำสั่งได้เลย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ หล่อนก็ไม่เข้าใจตนเอง
“อ๋อ นักเขียนามปากกาอัญมณีหรือ เคยได้ยินอยู่นะ ไหนๆ ก็มาแล้วไปเคารพศพกัน”
ตั้มชวนเหมือนเป็นเจ้าภาพเสียเอง เขาบอกว่าถึงไม่ใช่เจ้าภาพหรือญาติของคนตาย แต่ก็สนิทสนมกับน้องชายคนตายดีเพราะเจอกันตอนทำงานบ่อยๆ ระหว่างเดินตามตั้มเข้าไปในศาลา อัญมณีรู้สึกถึงสายตาจับจ้องบอกถึงความไม่เป็นมิตรจนเสียวสันหลัง ทั้งที่ตนเองไม่รู้จักทั้งคนเป็นและคนตายในงานเลย
แต่หล่อนก็รู้ว่ามีคนจ้องมองตั้งแต่ส่งพวงหรีดให้คณะเจ้าภาพนำไปวางแล้ว
หรือคนพวกนี้อาจสงสัยว่าหล่อนคือเจ้าของพวงหรีด? ดันชื่อเดียวกันเสียนี่
‘ทำไมใช้นามปากกาอัญมณีคะ’
‘พี่ชอบชื่อมานี่ไง เลอค่าง่ายแก่การจดจำ’
‘ชื่อโหลๆ นี่นะ’
‘ชื่อโหล แต่นามปากกาไม่มีทางโหล เพราะนักเขียนเขาไม่ใช้ซ้ำกันอยู่แล้ว’
อัญมณีคุกเข่าลงเบื้องหน้าโลงศพ ตรงนั้นมีเด็กหญิงวัยรุ่นที่ตาแดงก่ำและบวมเป่งเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักคอยจุดธูปส่งให้คนที่มาไหว้ศพ เด็กสาวส่งธูปที่จุดแล้วมาให้รวดเร็วแทบจะทิ่มหน้าทิ่มตาหากตั้มไม่รีบยื่นมือไปรับไว้แทน หล่อนคิดว่าตัวเองตาไม่ฝาดที่เห็นแววตาอาฆาตของเด็กคนนี้ แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที
“ขอบคุณนะ” หล่อนพูดกับตั้ม ขอบคุณที่เขาช่วยไม่ให้ธูปปลายแดงๆ ทิ่มหน้าตาให้เกิดเป็นแผลพุพอง อัญมณีมั่นใจว่าเด็กสาวจงใจ เพราะไม่ปริปากสักคำไม่ว่าจะเป็นคำขอโทษหรือขอบคุณเมื่อหล่อนยื่นซองช่วยงานให้
“คุณอัญมณีฝากมาแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” หล่อนพูดตามที่ถูกสั่งมา หลังจากตั้มแนะนำว่าเด็กสาวผู้นี้คือลูกสาวของคนตาย
เด็กสาวพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ ซึ่งอัญมณีรู้สึกขัดตาขัดใจมาก เหมือนไม่มีใครอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาท ทั้งที่อายุอานามขนาดนี้โรงเรียนต้องสอนมาแล้ว เด็กสาวรับซองเงินแล้วเดินไปหาชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีที่ต้อนรับแขกอยู่หน้าศาลาแล้วยื่นซองให้พลางชี้กลับมา
ตั้มยิ้มแล้วพยักหน้าให้ชายดังกล่าวที่กระทำตอบลักษณะเดียวกัน แต่หล่อนรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นจ้องไม่วางตาจนทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มให้เขาก็ไม่ได้รู้จักหรือแสดงการทักทายหล่อนแต่อย่างใด จะบึ้งก็ไม่มีเหตุอันควร อัญมณีจึงหันไปมองตั้มแทน
“กลับดีกว่า” หล่อนเปรยหลังความอดทนสิ้นสุด
“อ้าว ทำไมรีบ ไม่รอฟังสวดก่อนหรือ”
“ไม่ไหว นี่รู้สึกว่ามีคนมองแปลกๆ”
“คิดมาก คนกำลังโศกเศร้าก็หน้าบึ้งหน้านิ่งเป็นธรรมดา ไปนั่งด้วยกันเถอะเดี๋ยวกลับพร้อมกันผมไปส่งเอง” ตั้มแตะแขนพาเดินไปหาที่นั่ง อัญมณียอมตามไปนั่งแต่ยังมีข้อสงสัย
“เอารถยนต์มาหรือคะ”
หากตั้มใช้รถจักรยานยนต์ตามปกติคงไม่ชวน เหมือนตัวหล่อนเองก็ใช้จักรยานยนต์เพราะความชอบส่วนตัวและความสะดวกในการเดินทางฝ่าการจราจรที่รถราติดขัด หล่อนรู้สึกว่ารถราบ้านเรามีมากขึ้นทุกวัน แม้ไม่ใช่เมืองหลวงยังติดขนาดนี้ ป่านนี้ไม่รู้คนในกรุงเทพฯ จะเผชิญกับรถติดขนาดไหน
“ไม่ได้เอารถอะไรมาเลย” คนอาสาไปส่งบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วบอกจะไปส่ง”
“แล้วมานี่เอารถอะไรมา ผมนั่งไปเป็นเพื่อนไง แล้วค่อยต่อรถกลับบ้าน”
“อ๋อ นี่คือการไปส่งหรือคะ” หล่อนเลิกคิ้ว แล้วพูดต่อ “แต่นี่ก็ไม่ได้เอารถมาเหมือนกัน พี่วิชแวะมาส่งแล้วเลยไปหาเพื่อนค่อยกลับมารับค่ะ”
“งั้นผมก็ขอติดรถไปด้วย คงไม่เป็นเอบีซีนะ”
หล่อนขันคำพูดของตั้มจนเผลอยิ้มออกมา
พี่วิชที่เอ่ยถึงคือสวิช สุสวิชคู่หมั้นสุดหล่อ ที่นานๆ จะไปไหนมาไหนด้วยกันทีเพราะต่างมีงานที่แตกต่างกัน อัญมณีเริ่มงานเป็นผู้ช่วยช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง ส่วนตั้มเป็นนักข่าวที่มักออกมาทำข่าวด้วยกันบ่อยๆ จึงสนิทสนมกันพอสมควร และตั้มเป็นคนเดียวที่รู้ว่าสวิชเป็นคนคุ้นเคยของหล่อนแต่ไม่รู้ว่าถึงขนาดหมั้นหมายกันแล้ว เพราะหล่อนไม่ชอบใส่แหวนหมั้นหรือไม่เคยใส่เลยหลังจากวันหมั้นก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่สนใจและใส่ใจจำ
อัญมณีใช้แค่คำว่าคนคุ้นเคยทั้งที่เป็นคู่หมั้นกันมานาน เพราะครอบครัวหรือจะเรียกว่าบรรพบุรุษของทั้งคู่เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมยิ่งกว่าญาติ เรือกสวนไร่นาติดกันจากอดีตแปรเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่อาศัยก็รั้วชิดติดกันเช่นเดิม เมื่อมีลูกก็อยากเกี่ยวดองกัน แต่เหมือนมีกรรมหรือโชคชะตาไม่เข้าข้างในรุ่นลูกเพราะต่างก็มีแต่ลูกสาว กรรมจึงมาตกหนักที่รุ่นหล่อนเองที่ต่างเป็นหลานสาวและหลานชายคนแรก
ฝ่ายสวิชนั้นเป็นหลานชายคนแรกและเป็นหลานคนเดียวของตระกูลยิ่งทำให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหล่อนอยากได้มาเป็นเขยขวัญ เพราะเล็งเห็นแล้วว่ามรดกตกทอดทั้งหลายจะเป็นของสวิชเพียงผู้เดียว แล้วหล่อนที่จะแต่งงานกับเขาก็จะสบายไปด้วยแต่ใช่ว่าหล่อนจะสิ้นไร้ไม้ตอกหรือไม่มีมรดกตกทอด หล่อนก็มีทรัพย์สมบัติของปู่ย่าตายายที่ให้ไว้มากพอสมควร และยังมีญาติน้อยทรัพย์สินไม่ถูกแบ่งแยกไปมากนักจึงเรียกได้ว่ามรดกส่วนใหญ่จะตกเป็นของหล่อน มากพอหรือทัดเทียบกับสวิชทีเดียว
สวิชไม่ขัดข้องเพราะไม่มีผู้หญิงที่ชอบพอ ส่วนหล่อนนะหรือแม้ไม่ใช่คนหัวอ่อนแต่ก็ยอมตามใจพ่อแม่ เพราะสวิชคือพระเอกขี่ม้าขาวสำหรับหล่อนในวัยเยาว์ คือผู้ชายในฝัน ทั้งรูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลาเรียกว่าไปไหนมาไหนด้วยแล้วไม่อายใคร
สวิชจบการศึกษาด้านเคมีทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อหล่อนต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศเขาก็เป็นคนจัดการทุกอย่างให้ เรื่องที่เรียน ที่พัก และอยู่เป็นเพื่อนจนหล่อนปรับตัวได้เขาจึงกลับมาประเทศไทยแต่ก็บินไปเยี่ยมเยียนหล่อนบ่อยครั้งเมื่อมีเวลา สวิชดูแลกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและเคมีภัณฑ์พร้อมทำงานอดิเรกที่เขาชอบและประสบผลสำเร็จอย่างดีทีเดียว
ส่วนหล่อนก็กลับมาทำงานที่ชอบแต่ทางบ้านไม่ค่อยปลื้มนัก และมีเพียงสวิชเท่านั้นที่คอยสนับสนุนหาที่ทำงาน ให้กำลังใจ และคอยแก้ต่างให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่างานของหล่อนได้เสี่ยงภัยอะไรและเป็นงานที่ตรงตามสาขาที่เรียนมา เขาขอขอโอกาสให้หล่อนได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำงานได้ ซึ่งผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสหล่อนทันทีทั้งที่หล่อนเว้าวอนจนปากเปียกปากแฉะแม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว
แม้ไม่มีแผ่นดิน หากแต่เรายังไม่สิ้นลมหายใจ ถึงสิ้นชาติหากแต่รักของเรามิได้สิ้นลง บราลี เป็นบอดี้การ์ดมือใหม่ ที่ทำงานพลาดจนถูกไล่ออกจากงาน ในวันเดียวกันนั้น บ้านของเธอก็ถูกไฟไหม้ แม่ถูกไฟคลอกบาดเจ็บ พ่อตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก เมื่อเธอจะหันไปพึ่งแฟนหนุ่มที่รักกันมาหลายปี กลับพบเขากำลังคลุกวงในกับผู้ชายอีกคน!! เมื่อชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ เธอจึงคิดฆ่าตัวตาย ... และทำจริง!! แต่ไม่ตาย มีคนมาช่วยไว้ ... พอรอดตายก็มีคนยื่นข้อเสนอแปลกประหลาด ... ให้เธอไปเป็นบอดี้การ์ดให้เจ้านาย แลกกับเงินมหาศาล และกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร บราลีกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ก็ได้ข้ามเวลาย้อนอดีตไปซะแล้ว
เมื่อความรักที่มีมากเหลือล้น ไวกูณฐ์นั้นอยากแต่งงานเสียทันทีที่เดินทางกลับมาจากเรียนต่อ หากแต่ จิรัฐิติกาลกลับกลัวการใช้ชีวิตคู่จึงปฏิเสธไป แต่เพราะอุบัติเหตุที่บังเกิดขึ้นทำให้ไวกูณฐ์ตาบอด จิรัฐิติกาลจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขาในทันทีเพื่อเป็นการรับผิดชอบ เพราะการแต่งงานที่ไม่พร้อมทำให้อุปสรรคแห่งรักนั้นมีมาให้พิสูจน์หัวใจกันเนืองๆ
เจ้าฟ้าหญิงจิรัฐิติกาลในคราบชายหนุ่มดูจะเกษมสำราญเป็นอันมากเมื่อได้ออกมาท่องโลกกว้าง แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่บ้างที่มี 'ผู้คุม' เป็นไวกูณฐ์ ชายหนุ่มอ่อนแอ เจ้าหนอนหนังสือใส่แว่นลูกชายองครักษ์คนสนิทของพระบิดา แต่ถ้าไม่ยินยอมร่วมทางไปกับเขา เจ้าพ่อก็คงไม่ปล่อยออกจากกรงทอง เธอจำใจร่วมทางและสร้างความยุ่งยากเป็นภาระใหญ่หลวงให้เขา แต่ในคราเดียวกันความใกล้ชิด ความใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นในใจ แต่จะทำอย่างไร เมื่อเธอฝังใจว่าเขาไม่ใช่ "ชายจริง" นิยายภาคต่อของ ลิขิตรักบัลลังก์หัวใจ
เมื่อต้องเสียแผ่นดินจากการช่วงชิงของพระเจ้าอา ทรรศินากัลยามาส เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งมธุรรัฐจำต้องเสด็จหนีจากแผ่นดินเกิด แฝงกายเข้าไปในสิงขรรัฐ จากที่คิดจะปลอมตัวเป็นนางกำนัล กลับตกกระไดพลอยโจนถวายตัวเป็นสนมของเจ้าหลวงรัฐสิงห์สีหนาทในนามลูกของศัตรู!? รอจนถึงวันทวงบัลลังก์คืน กล้วยไม้ป่าแรกแย้มเพิ่งผลิรับฤดูฝน เจ้าหลวงเอื้อมไปหมายจะเด็ด ก็ถูกพระหัตถ์เล็กๆ ตีเผียะลงบนหลังมือ "ดอกไม้จะสวยงามที่สุดเมื่ออยู่กับต้นเพคะ" ดำรัสขึงขัง "แต่พี่จะเก็บให้เธอ" รับสั่งกลับอ่อนโยน "ท่าจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มเสียจนเคย" เจ้าฟ้าหญิงประชดตรงๆ เจ้าหลวงยกพระหัตถ์ในท่าสาบาน "สาบาน ต่อไปพี่จะไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ว่าดอกไหน จะรอดอกฟ้าตรงหน้านี้ดอกเดียวเท่านั้น"
เมื่อซากีน่าน้องสาวอันเป็นที่รักถูกฆ่าข่มขืน หลักฐานในมือคือแผ่นเงินฉลุลวดลายสวยงาม ซาห์ราจำได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งนี้ การตามล้างแค้นจึงเกิดขึ้น ชีคฮาซัน บินญาบิร อัล บุสตานีย์ กลายเป็นเหยื่อความแค้นที่เขาไม่ได้ก่อ ถูกหล่อนทรมานต่างๆ นานาและต้องสูญเสียเมียสาวในคืนวันแต่งงานจากน้ำมือซาห์รา แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าใครเป็นฆาตกรที่แท้จริง ซาห์ราจะชดใช้สิ่งที่ทำลงไปให้แก่เขาด้วยชีวิต ตามกฏชีวิตแลกชีวิต แต่ชีคฮาซันกลับต้องการให้หลอนชดใช้ด้วย หัวใจ
เมื่อธิดาองค์น้อยเริ่มเติบโต ชีคกาเบรียนที่อยากให้ลูกรู้จักภาษาของแม่บังเกิดเกล้า จึงมองหาครูสอนภาษาชาวไทย แต่กลับได้ทโมนไพรไปแทน นางสาวกฤติกา หรือแม่ดาวลูกไก่ นอกจากสอนภาษาไทยให้ธิดาองค์น้อยของชีคแล้ว ยังสอนปีนต้นไม้กลายเป็นลิงเป็นค่าง จนพระนมของชีคเอือมระอา ทว่าท่าทางแก่นกะโหลกของดาวลูกไก่กลับจับใจต้องตาชีคกาเบรียนจนกลายเป็นความรัก แต่ปัญหาสงครามแบ่งแยกดินแดนในประเทศยังไม่สงบ เมื่อดาวลูกไก่ถูกจับตัวไปเพื่อต่อรอง แม้พระองค์ไม่อาจยกแผ่นดินเพื่อแลกกับผู้หญิงที่รักได้ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจเหมือนครั้งที่เสียสนมคนอื่นไป ทรงลอบออกจากวังเพื่อไปช่วยหญิงอันเป็นที่รักด้วยตนเอง
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี