(พิกานxกานต์ระพี) เมื่อว่าที่อาเขยคิดไม่ซื่อกับหลานสาวของคู่หมั้น เรื่องต้องห้ามจึงเกิดขึ้น
ทันทีที่รถตู้จอดเทียบข้างรั้วหน้าบ้าน ประตูด้านข้างก็ถูกเลื่อนออก เปิดทางให้เด็กสาวสองคนในชุดนักเรียนมัธยมปลายได้ก้าวลงจากรถ ก่อนที่คนขับจะพารถคันนั้นแล่นห่างออกไป เพื่อส่งนักเรียนคนอื่นๆ ต่อไป
เด็กสาววัยสิบแปดสองคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน ผูกผมเป็นหางม้าและผูกโบสีเดียวกัน ก้าวตามกันเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่คนแถวนี้ไม่ได้เรียกว่าบ้าน แต่เรียกว่าคฤหาสน์ เพราะนอกจากตัวบ้านจะโอ่อ่าหรูหราแล้ว อาณาบริเวณยังกว้างขวาง สมฐานะเจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ หากจะมีอะไรที่ดูขัดแย้งไปบ้าง ก็ตรงที่หลานสาวไม่มีคนขับรถส่วนตัวคอยรับส่งเฉกเช่นคุณหนูทั่วไป ทว่ากลับต้องนั่งรถตู้รับส่งตามคำสั่งของผู้ปกครอง
แพรววดีไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการไปโรงเรียนด้วยรถตู้ รู้ดีว่าอาของตนต้องการฝึกความอดทน ให้รู้จักความลำบาก และรู้จักที่จะใช้การสัญจรแบบสาธารณะร่วมกับผู้อื่น
วันนี้หลานสาวเจ้าของบ้านไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่มีเพื่อนที่สนิทและกำลังจะเป็นดองกันอย่างกานต์ระพีติดสอยห้อยตามมาด้วย
“เป็นอะไรไปกานต์ เข้าบ้านกันเถอะ” แพรววดีหันไปมองเพื่อนสาวที่มีอาการคล้ายลังเลเล็กน้อย หนำซ้ำพวงแก้มยังแดงระเรื่อ ซึ่งนั่นคงจะเกิดจากความเขินอายของเจ้าตัว
“เราเขินอะแพรว เราว่าเรากลับดีกว่า” กานต์ระพีบอกแบบป๊อดๆ มือกำช่อกุหลาบสีแดงแน่นขึ้นกว่าเดิม หัวใจเต้นแรงตึกตัก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะมาเปิดเผยความในใจที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่ง หรือภาษาวัยรุ่นเรียกว่าสารภาพรักนั่นเอง
“ได้ไงมาถึงขนาดนี้แล้ว เถอะน่าเชื่อเรา ไม่มีอะไรน่าอายสักนิด อย่าลืมนะวาเลนไทน์มีแค่ปีละครั้ง หรือว่ากานต์จะยกไปปีหน้าล่ะ ถ้าพี่พิชชอบคนอื่นก่อนจะทำยังไง” แพรววดีทั้งเชียร์ทั้งยุอย่างออกนอกหน้า เพราะอยากให้เพื่อนสาวกับพี่ชายตัวเองตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน และเพราะแรงยุนั้นก็ทำให้กานต์ระพีถอนตัวไม่ได้
“ถ้าพี่พิชไม่รับดอกไม้เราล่ะ เราจะเอาหน้าไปไว้ไหน”
“ต้องรับสิ อย่างน้อยพี่พิชก็ต้องเกรงใจอาพิกับอาก้อยบ้างล่ะ อย่าลืมสิว่าถ้าอาพิกับอาก้อยแต่งงานกันเมื่อไหร่ เราสองบ้านก็เป็นญาติกันแล้วนะ พี่พิชไม่กล้าหักหน้ากานต์หรอก”
“แบบนั้นก็จะไม่ต่างกับมัดมือพี่พิชชกเหรอ แล้วถ้าพี่พิชมีแฟนแล้วล่ะ”
“เราเอาหัวเป็นประกันเลยนะว่าพี่พิชยังไม่มีแฟน โอเค อาจจะมีผู้หญิงที่ควงๆ กันอยู่บ้าง แต่ที่ตกลงคบกันเป็นแฟนจริงๆ ยังไม่มี เราถึงเชียร์กานต์ไง เราไม่อยากได้พี่สะใภ้แบบที่ตัวเองไม่ได้เลือก นั่นไงเสียงรถแล่นเข้ามาพอดี คงเป็นพี่พิชแหละ เพราะช่วงนี้อาพิกลับดึก กานต์จัดการให้เรียบร้อยนะ เราจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ารอฟังข่าวดี” ว่าแล้วแพรววดีก็ก้าวขึ้นชั้นสอง เพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนสาวได้สารภาพความในใจกับพี่ชายตัวเองตามลำพัง
หัวใจของสาวสิบแปดหยกๆ อย่างกานต์ระพีเต้นแรงตึกตัก ยิ่งเมื่อมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา หน้าเธอก็ยิ่งร้อนซ่านเพราะเขินอายสุดขีด
“นี่เธอมาทำอะไรที่นี่”
เสียงเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคนที่กานต์ระพีรอคอย แต่เป็นเสียงของคนที่มีอำนาจสูงสุดในบ้านหลังนี้ ความสูงของเขาคะเนได้ว่าน่าจะกว่าหกฟุต สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับมาถึงข้อศอก ช่วงล่างเป็นกางเกงสแล็กสีดำเนื้อดี เข้ากับรองเท้าหนังมันปลาบ ผมที่หวีเรียบไปด้านหลังแม้จะยุ่งเหยิงไปบ้าง แต่ใบหน้านั้นก็ยังดูโดดเด่นชวนเกรงขาม
“คุณพิธาน!” กานต์ระพีเรียกชื่อว่าที่อาเขยตัวเอง สีหน้าและน้ำเสียงดุๆ ของเขาทำให้เธอลืมความเขินอายไปชั่วขณะ ทำให้เธอต้องรีบเอาดอกไม้ซ่อนไว้ด้านหลังอย่างเด็กที่กำลังมีเรื่องปกปิดผู้ใหญ่
“เธอยังไม่ได้ยกมือไหว้ฉัน” เขาทวงถามมารยาทที่กานต์ระพีไม่ได้ลืม เพียงแต่มือเธอไม่ว่างที่จะยกขึ้นไหว้เขาได้
“สวัสดีค่ะ” กานต์ระพีเพียงแค่เอ่ยปากและโค้งศีรษะลงเป็นการทักทายแทน
“มาติวหนังสือหรือว่ามาทำรายงานล่ะ”
“เปล่าค่ะ หนูมาหาพี่พิช”
“เป็นผู้หญิงยิงเรือควรรักนวลสงวนท่าทีบ้าง หรือดูไม่ออกว่าผู้ชายเขาไม่สน”
ทันทีที่ได้ยินว่าเธอมาหาใคร ว่าที่อาเขยก็ตำหนิตรงๆ ด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงและไม่ถนอมน้ำใจเลยสักนิด ทำเอากานต์ระพีอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เพราะที่ผ่านมาพิชญะไม่ได้แสดงท่าทีว่าสนใจเธอเลยจริงๆ
“หนูอาจจะยังเด็ก พี่พิชเลยยังไม่มอง แต่ถ้าหนูเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ พี่พิชอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
“เธอก็เลยรีบมาเสนอตัว เผื่อว่าตาพิชจะชายตาแลว่างั้นเถอะ” พิธานสาดคำพูดแรงๆ ใส่ต่อทันที เขาทำเหมือนว่าเธอมีความผิดมหันต์ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องและสิทธิ์ส่วนตัวของเธอมิใช่หรือ
“มันสิทธิ์ของหนูไม่ใช่เหรอคะ”
“สนใจแต่สิทธิ์ โดยไม่สนใจศักดิ์ศรีตัวเองเลยอย่างนั้นเหรอ”
“หนูไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่คะ ทำไมคุณตำหนิหนู เหมือนหนูทำเรื่องผิดร้ายแรงนักหนา ทั้งที่ความจริงแล้วคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะว่ากล่าวหนูด้วยซ้ำ” ไม่ได้อยากเถียงผู้ใหญ่ แต่กานต์ระพีต้องการปกป้องตัวเอง เพราะเขาตำหนิเธอรุนแรงมากเกินไปแล้ว
เธอ...รักอย่างภักดีและเจียมใจ เขา...จ้องแต่จะทำลาย เลยทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้รัก สุดท้าย...สิ่งที่เธอได้รับการตอบแทน จากรักที่แสนภักดีก็คือคำว่า ง่าย ที่เขาตะโกนใส่หน้าอย่างไม่คิดแม้แต่จะสงสาร
ศาสตรา ภูวเดชาธร คือผู้ชายที่ ภัคธีมา บอกตัวเองว่าเขาช่างร้ายกาจสมกับชื่อ ผู้ชายคนนี้พร้อมจะฟาดฟันให้เธอย่อยยับแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งๆ ที่เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ หรือเขารังเกียจว่าเธอจน ไม่คู่ควรกับคนในตระกูลภูวเดชธรเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เขาจึงกีดกันเธอกับน้องชายเขาทุกวิถีทาง แม้ภัคธีมาพยายามจะไม่ข้องแวะกับเขา หากทว่าในที่สุด โชคชะตาก็กลั่นแกล้ง ให้ต้องตกไปอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภัคธีมาจึงได้แต่นับวันรอ… รอวันที่กริชผู้แข็งกร้าวอย่างเขาจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย เพราะหัวใจที่แสนอ่อนไหวถูกบ่วงเสน่หาร้อยรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทำให้พรรษรดาต้องเข้าพิธีกับน้องชายของเจ้าบ่าวแทน แม้วิวาห์ครั้งนี้จะเป็นเพียงวิวาห์สมมติในความรู้สึกของเขาและเธอ หากทว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในนั้นต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอจะกล้าบอกความในได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายที่เธอมีใจใฝ่ปองและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ ก็คือเขา ในเมื่อผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี เอาแต่เฉยเมยเย็นชาใส่ ซ้ำยังเอ่ยปากขอหย่าอยู่หลายครั้ง พรรษรดาจะจัดการปัญหาหัวใจครั้งนี้อย่างไรดี ในเมื่อยิ่งเขาทำให้เจ็บ หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ เธอควรรั้งเขาไว้ให้เป็นสามีในนามเพื่อทรมานใจกันเล่นๆ หรือว่าปล่อยเขาไปให้สมรักกับผู้หญิงอื่นตามที่เขาร้องขอ ***ตัวอย่าง*** “ฉันรักเธอพรรษรดา ฉันรักเธอ รักเธอคนเดียว” เขาสารภาพออกมาเสียงแหบห้าว นัยน์ตาหม่นมัวไปด้วยแรงรักแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ข้างใน “คุณภู...” “หัวเราะสิ หัวเราะเยาะฉัน หัวเราะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันเป็นทาสรักของเธออย่างโงหัวไม่ขึ้นมาตลอดหลายปี หัวเราะเยาะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ตัดใจไม่ได้เสียที” คำสารภาพของเขาเหมือนระลอกคลื่นยักษ์ที่กระแทกโครมเข้าใส่หัวใจดวงน้อยของพรรษรดา เธอถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะแบกรับความรู้สึกอันท่วมท้นนั้นไม่ไหว “ฉันมันคงน่าสมเพชมากสินะ” ร่างใหญ่ขยับตัวเหมือนจะถอดถอนออกไป แต่พรรษตวัดขารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ทำให้เขาดำดิ่งเข้ามาฝังลึกอยู่ในช่องสาวอีกครั้ง “อย่าบังอาจลุกจากตัวพรรษ” เธอแหวใส่เขาเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทาเพราะความรัญจวนและความเต็มตื้นในหัวใจ “พรรษรดา...” “อย่าคิดว่าจะผลักไสพรรษง่ายๆ อีก รู้มั้ยว่าพรรษรอนานแค่ไหน รู้ไหมว่าต้องเสียน้ำตาไปกี่ครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองรักคุณภูข้างเดียว อย่ามาบอกรักพรรษ ล้อเล่นกับหัวใจพรรษแล้วหนีไปง่ายๆ อีก พรรษไม่ยอมอีกแล้ว คราวนี้พรรษจะตามรังควานไปตลอดชีวิตเลย อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสมีความสุขกับผู้หญิงคนไหน อย่าหวังว่าจะได้บอกรักใครอีก เพราะคำว่ารักของคุณภูจะเป็นของพรรษคนเดียวตลอดไป”
ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศ ความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้น อย่างหวังว่า เขาจะเลิกชัง อย่าหวังว่า เขาเหลียวแล อย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขา นภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ แต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้น ที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว