แผนการอันแยบยล ถูกอำพรางเอาไว้ด้วยคำว่าผิดพลาด
ต้องตาต้องใจ
เช้าวันต่อมาที่คฤหาสน์ของตระกูลดัง
“แกมากรุงเทพกี่วันแล้ว” ผู้ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหาลูกชาย ร่างหนาที่มีความสูงที่ไม่ต่างจากลูกชายนั่งลงบนโซฟาหนังราคาแพง ผู้ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อลูกชายยังคงปิดปากเงียบ และทำเป็นไม่ได้ยินคำถามที่ถามออกไป ร่างหนายังคงนั่งนิ่งและไม่สนใจการมาของเขา
“ตกลงเรื่องงานที่บริษัทแกจะว่ายังไง” เปลี่ยนเป็นพูดถึงบริษัทส่งออกของครอบครัว ขุนพลเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล เขาก็เลยอยากให้ลูกชายมาดำรงตำแหน่งแทนคนที่อยากวางมือคิดในใจ
“ก็เมียเด็กของคุณไงให้มาทำงานบ้างสิ ไม่ใช่วันๆเอาแต่ปรนนิบัติผัวอย่างเดียว” ส่งสายตาแห่งความเกลียดชังไปให้กับหญิงสาวที่เดินเข้ามา
“ฉัน” เสียงหวานอึกอักอยู่ในลำคอ ผู้ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นมาห้าม
“คงจะใช้เงินเป็นอย่างเดียว” กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ เมื่อเห็นว่าใบหน้าสวยซีดเผือด ร่างหนาที่นั่งกระดิกขาอยู่เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืน
“นั่นแกจะไปไหน”
“เรื่องแค่นี้ใช่ไหมที่คุณจะให้ผมทำ” ถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
“แล้วตกลงแกจะว่ายังไง ฉันอยากวางมือเต็มที”
“อย่าเพิ่งวางมือสิครับ เดี๋ยวคุณหมดผลประโยชน์ก็โดนเมียทิ้งหรอก เมียของคุณยิ่งหน้าเงินอยู่ด้วย” พูดเสียงหยัน พลางตวัดสายตามองไปที่หญิงสาว
“ไอ้ต่อ” เรียกลูกชายเสียงเข้ม ร่างสูงของคนที่ถูกเรียกกลับไม่คิดที่จะสนใจน้ำเสียงที่แข็งกระด้างของคนที่เป็นพ่อ
“ผมขอตัวและทีหลังอย่าส่งคนไปวุ่นวายที่เหมืองอีก ส่วนเรื่องงานผมไม่อยากยุ่ง” พูดจบก็ก้าวเท้าเดินออกไปและไม่หันมามองคนที่อยู่ข้างหลังอีก
“เดี๋ยวฉันไปคุยกับเขาเองค่ะ” ร่างบางรีบเดินแกมวิ่งไปหาร่างหนา เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของคนที่เดินมาจากทางด้านหลัง ทำให้คนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ต้องปล่อยควันสีขาวออกมาจากปากและจมูก
“ต่อ” เสียงหวานเรียกชื่อของอดีตแฟนหนุ่ม ร่างหนาที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำคู่กับกางเกงยีนส์ยืนนิ่ง เท้าหนาที่อยู่ในรองเท้าหนังกำลังจะก้าวเท้าออกไปแต่แล้วคนตัวโตก็ต้องกัดฟันกรอด เมื่อเอวสอบถูกตรึงไว้ด้วยอ้อมแขนของใครบางคน ใบหน้าหวานซบลงที่แผ่นหลังกว้าง
“ต่อ ฉันขอโทษนะคะ ฉันขอโทษ” เสียงหวานเจือสะอื้นแผ่วเบา น้ำตาร้อนๆไหลซึมลงบนเสื้อตัวหนา
“เอาแขนของเธอออกไป” เค้นเสียงรอดไรฟันด้วยความเดือดดาล
“ฉันไม่ได้ต้องการให้เรื่องของเราเป็นแบบนี้” พูดยังไม่ทันจบ ร่างบางก็ถูกผลักให้ล้มไปกับพื้น
“กรี๊ด” หวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตามองหน้าของอดีตคนรักด้วยความเจ็บปวด
“ฉันไม่มีวันยกโทษให้กับเธอ ผู้หญิงเห็นแก่เงิน” พูดจบก็ปล่อยบุหรี่ที่สูบอยู่ลงบนพื้น ตามด้วยเท้าใหญ่ที่เหยียบบุหรี่จนแหลกเป็นผุยผง
“ไอ้เดชากลับ” เสียงห้าวตะโกนเรียกชื่อของลูกน้องหนุ่ม ไม่ถึงนาทีรถกระบะคันเก่าก็แล่นเข้ามาจอดลงตรงหน้าของเจ้านาย
“เดี๋ยวกูขับเอง” กระชากประตูรถให้เปิดออก ร่างหนาเข้าไปนั่งในตำแหน่งของคนขับ เท้าใหญ่เหยียบเข้าที่คันเร่งและเบิ้ลเครื่องรถเสียงดัง
“บรื้น บรื้นนนนนนนน” ควันสีดำลอยพวยพุ่งเต็มหน้าบ้าน ก่อนที่รถคันเก่าจะกระชากตัวออกไปด้วยความเร็ว หญิงสาวที่ยืนอยู่มองตามอดีตคนรักด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเธออยากจะขอโทษและขอโอกาสมากแค่ไหน แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อตอนนี้เธอเป็นภรรยาของบิดาของชายหนุ่มนั่นเอง
“ฉันขอโทษ ที่ทำให้เธอกับเจ้าต่อต้องเลิกกัน” ผู้ชายวัยกลางคนพูดขึ้น หลังจากที่แอบดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ หญิงสาวที่ได้สติรีบยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างลวกๆ
“ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันค่ะ ไม่ใช่ความผิดของคุณ” หญิงสาวรีบเดินเข้าไปในบ้านทันทีที่พูดจบ โดยมีสายตาแห่งความเป็นห่วงมองตามไปอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา
ร่างสูงที่ไม่ต่างจากลูกชายเดินไปยังห้องทำงานที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ ร่างทรงพลังนั่งลงบนโซฟาตัวยาว ศีรษะได้รูปพิงเข้ากับพนักโซฟา ดวงตาคู่คมหลับตานิ่งและคิดถึงวันเก่าๆ
ภายในงานแต่งงานของลูกสาวของเพื่อนสนิท ขุนศึกนักธุรกิจรุ่นใหญ่ที่อยู่ในชุดสูทสีเข้มเดินก็มาร่วมงานวันนี้ด้วย เมื่อสาวสวยที่เป็นเจ้าสาวเป็นลูกสาวของเพื่อนรัก ร่างสูงใหญ่เดินเข้มาในงานและส่งยิ้มมีเสน่ห์ให้กับเหล่าบรรดาสาวสวยที่ส่งยิ้มมา ถึงแม้ว่าอายุจะเข้าสู่เลขห้าไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยหน้าตาที่ยังคงความหล่อเหลา บวกกับร่างกายที่บึกบึนทำให้สาวๆต่างก็มองมาอย่างให้ความสนใจ ตั้งแต่ที่ภรรยาคู่ชีวิตจากไปเขาก็ไม่คิดที่จะรักใครอีก ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาก็แค่บำเรอความใคร่เท่านั้นเขาไม่คิดที่จะจริงจังกับใครอีก คนรักสนุกแต่ไม่คิดผูกพันคิดในใจ เท้าหนาเดินเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยง แต่แล้วดวงตาที่ทรงเสน่ห์ก็มองเห็นหญิงสาวที่เป็นเจ้าสาวของงาน ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอบอุ่นออกมา
“หนูฟ้า” เสียงทุ้มเรียกเจ้าสาวแสนสวย
“คุณอา สวัสดีค่ะ ฟ้านึกว่าคุณอาจะไม่มางานของฟ้าเสียแล้ว” ฟ้าใสพนมมือไหว้เพื่อนรักของบิดาด้วยความนอบน้อม
“งานแต่งงานของหลานสาวทั้งคนอาจะไม่มาได้ยังไง นี่ของขวัญสำหรับเจ้าสาวคนสวยจ้ะ” ยื่นกล่องของขวัญให้กับเจ้าสาว
“ขอบคุณค่ะ คุณอา” ยกมือขึ้นมาไหว้อีกรอบพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ
“แล้วพ่อของเราไปไหนล่ะ” ชะเง้อหาเพื่อนรักที่นัดกันเอาไว้
“อยู่ในงานค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปในงานกันดีกว่านะ” ชวนเจ้าสาวแสนสวย
“ฟ้ารอเพื่อนอยู่ค่ะคุณอา ไม่รู้ว่ามาถึงหรือยัง” มอ’หาเพื่อนสาวไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอาจะรอเป็นเพื่อน” พูดอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“นั่นไงคะ เพื่อนของฟ้ามาแล้วค่ะ” บอกกับชายหนุ่มพร้อมกับมองไปที่เพื่อนสาว ร่างสูงใหญ่มองตามสายตาของเจ้าสาวคนสวยก็พบเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวอยู่ในชุดราตรีสีชมพูเรียบหรู ชุดที่หญิงสาวสวมใส่ช่วยขับผิวให้กระจ่างใสมากขึ้นไปอีก ร่างสูงมองหญิงสาวรุ่นลูกราวกับต้องมนต์
“คุณอาคะนี่ปิ่นเพื่อนรักของฟ้าค่ะ ส่วนนี่คุณอาขุนศึกจ้ะ” เจ้าสาวคนสวยแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน
“สวัสดีค่ะคุณอา” ยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมและอ่อนหวาน เสียงหวานใสพร้อมกับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มทำให้คนตัวโตแทบจะละสายตาไปจากดวงหน้าหวานไม่ได้เลยทีเดียว ใจดวงแกร่งเต้นรัวราวกับคนหนุ่มที่เจอหญิงสาวที่ถูกใจ
“แล้วแฟนของแกล่ะไม่มาด้วยเหรอ” ฟ้าใสถามเพื่อนสาว
“อย่าไปสนใจเลย” ตอบกลับด้วยความน้อยใจ งานแต่งงานของเพื่อนสาวในวันนี้ คนที่มีแฟนเขาก็ต่างพาแฟนของตัวเองมาด้วยกันทั้งนั้น จะมีก็แต่เธอนี่แหละที่ไม่มีใครมาด้วย คิดแล้วก็อดที่จะน้อยใจแฟนหนุ่มไม่ได้
“ฉันก็อยากเห็นแฟนของแกเหมือนกันนะ” เจ้าสาวคนสวยเย้า
“เอาไว้ถ้าเขาขึ้นมากรุงเทพฉันจะรีบนัดแกเลย” บอกปัดอย่างขอไปที และยังไม่รู้เลยว่าขุนพลจะมากรุงเทพเมื่อไหร่ หรืออาจจะไม่มาเลยก็ได้
“โอเค โอเค คุณอาฟ้าว่าเราเข้าไปในงานกันดีกว่านะคะ” พูดกับเพื่อนสาวเสียงใส ก่อนที่จะหันไปหาผู้ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไปสิ” รับคำและเดินตามหลังของหญิงสาวทั้งสองคนไป
ภายในงานแต่งงานของไฮโซสาว หญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิทยืนมองเพื่อนสาวที่อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องและระบายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ฟ้าใสเป็นลูกคนรวยก็จริงแต่ก็ไม่เคยรังเกียจเธอเลยสักครั้ง ร่างบางยืนมองเพื่อนสาวและดื่มน้ำพั้นซ์ไปพลางๆ หญิงสาวที่อยู่ในชุดราตรีตัวยาวหมุนตัวเพื่อจะออกไปรับอากาศข้างนอก แต่ด้วยไม่ทันระวังก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่ง แก้วน้ำพั้นซ์หกรดเสื้อผ้าของผู้ชายคนนั้น
“อ้ะ ฉันขอโทษค่ะ ฉันทำเสื้อของคุณเปียกหมดเลย” รีบคว้ากระดาษที่อยู่ใกล้มือมาซับน้ำที่เปียกเสื้อราคาแพง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อก็ได้” พูดอย่างอารมณ์ดี แต่สายตากลับจ้องที่เหยื่อสาวด้วยสายตาที่แพรวพราว
“ฉันขอโทษจริงๆนะคะ ให้ฉันเอาเสื้อของคุณไปซักดีกว่านะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมซักเองดีกว่า” มองเหยื่อสาวอย่างมีเลศนัย ด้านคนที่ถูกมองรู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ
“แต่ถ้าคุณอยากขอโทษผมจริงๆ ดื่มเป็นเพื่อนผมสักแก้วนะครับ” หยิบเหล้าที่เด็กเสิร์ฟถือมา
“ได้ค่ะ” รับแก้วเหล้ามาถือไว้
“ดื่มครับ” เอาแก้วของตัวเองไปแตะที่แก้วของหญิงสาว ดวงตาที่วาววับมองหญิงสาวที่ดื่มเหล้าทีเดียวจนหมดแก้วพร้อมกับรอยยิ้มร้าย
เมื่อความรักที่เคยสวยงามเปลี่ยนไป ความแค้นและความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ หญิงสาวที่หอบหัวใจและร่างกายที่บอบช้ำจากมาก็พร้อมที่จะเอาคืนทุกคนอย่างสาสม โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้น
หญิงสาวที่แสนซื่อและแสนดีถูกทำร้ายและลงทัณฑ์ เพียงเพราะเธอคือน้องสาวของผู้หญิงคนนั้น
คำว่ารักของเธอ เปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลกลับ ไม่ว่าวันและเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน คนที่ไม่รักก็ไม่มีวันรักอยู่วันยังค่ำ
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"