เมื่อ 'รมิตา' ต้องมาเป็นเลขาจำเป็นอย่างไม่เต็มใจ เพราะ 'ชัชนนท์' เป็นบอสของเธอ ที่เอาแต่จะหาเรื่องแกล้งเธอตลอดเวลา แต่ทว่ามีอะไรฝั่งใจชัชนนท์กันนะ ถึงได้แกล้งนางเอกของเรา แต่มันมีเรื่องราวอะไรมากกว่านั้น
“ยัยตาบอสเรียกหาแกแน่ะ” น้ำเสียงหวานไพเราะซึ่งเป็นเสียงเรียกจากผู้หญิงที่เพิ่งก้าวขาออกมาจากห้องที่มีป้ายติดหน้าประตูไว้ว่า‘ผู้บริหาร’
ใบหน้าเรียวยาวของหญิงสาว หน้าตาจัดจ้านที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีฉูดฉาด จมูกโด่งจากมีดหมอ ชุดเซ็ทกระโปรงสีแดงสดที่ยาวเหนือหัวเข่า ริมฝีปากบางแต้มด้วยลิปสติกสีแดงสด เหมือนชุดที่เธอสวมใส่ มองต่ำลงมาอีกนิดจะเจอกับรองเท้าส้นสูงสีแดง ปลายหัวรองเท้าเป็นทรงแหลม เจ้าของน้ำเสียงนี้ มีชื่อว่า สุวิมล หรือ มล เป็นเพื่อนร่วมงานของ รมิตา และเธอยังเคยเป็นเพื่อนสมัยเรียนประถม
“หือ เรียกอีกแล้วเหรอ?” หญิงสาวที่นั่งก้มหน้าก้มตา ซึ่งมีแว่นตากรองแสง พร้อมกับใช้สายตาสอดส่องไปตามเอกสารหลายสิบแผ่นที่ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะทำงานและยังมีโน้ตบุ๊กประจำตำแหน่งของเธอ หน้าจอมีขนาดสิบสี่นิ้ว สีชมพูเคลือบมุก รมิตาค่อย ๆ เงยหน้ามองเพื่อนสาว พลางขมวดคิ้วทั้งสองข้างเป็นปม ในขณะเดียวกันก็ได้นำมือถอดแว่นตาออกพร้อมกับเก็บมันลงกล่อง
รมิตา หรือ ตา หญิงสาววัยสามสิบสามปีเศษ รูปร่างส่วนสูงเหมือนนางแบบไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเธอเคยเป็นถึงดาวโรงเรียนมาตั้งแต่มัธยมปลาย จนจบมหาวิทยาลัย และหญิงสาวยังเป็นเด็กกิจกรรมมาตลอด แถมเป็นเด็กเรียนดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เธอเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะหน้าที่การงานที่มั่นคง หรือฐานะทางบ้านที่พอมีพอกิน แต่ไม่ได้ถึงกับรวย เพราะเธอมาจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น
บิดาและมารดามาพบรักกันที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อท่านทั้งสองมีรมิตา ก็ได้นำเธอไปให้ปู่ ย่า ตา ยาย เลี้ยงจนรมิตาจบประถมปีที่หก หลังจากนั้นหญิงสาวก็ได้ย้ายเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อเธอเรียนจบ ท่านทั้งสองขอย้ายถิ่นฐานกลับไปทำมาหากินที่บ้านนอก
เพราะท่านทั้งสองอยากกลับไปแก่และตายที่บ้านเกิด ถึงแม้ว่าทั้งสองจะรักและคิดถึงบุตรสาวขนาดไหน แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด แต่ท่านก็รักและเอ็นดูบุตรสาวของตนไม่แพ้ไปกว่าเด็กที่ถูกบิดาและมารดาเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ๆ
“ยัยนี่ แอบป้ายน้ำมันพรายใส่บอสหรือไง ฉันเห็นบอสเรียกใช้แต่แก” สุวิมล ยืนพิงโต๊ะทำงานของรมิตา
“จะบ้าหรือไง ฉันเนี่ยนะจะใช้น้ำมันพรายกับบอส มีแต่บอสจะแกล้งฉันละซิไม่ว่า” รมิตามุ่ยหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ก็วันนี้เธอถูกบอสเรียกไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง แล้วห้าครั้งที่เรียกรมิตาให้ไปทำอะไรบ้าง
รอบที่หนึ่ง เวลาแปดโมงเช้า เรียกรมิตาให้ไปชงกาแฟมาให้
รอบที่สอง เวลาเก้าโมงเช้า เรียกเธอมาเก็บแก้วกาแฟ
รอบทีสาม เวลาเก้าโมงยี่สิบนาที เรียกเธอมาปรับระดับเครื่องปรับอากาศให้เย็นขึ้น
รอบที่สี่ เวลาสิบโมงตรง เรียกเธอมาเพราะกลัวจะลืมชื่อ
รอบที่ห้า เวลาสิบโมงครึ่ง เรียกเธอให้มาปรับระดับเครื่องปรับอากาศให้เย็นลง
“บอสเนี่ยนะจะแกล้งแก” สุวิมลทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ ว่าผู้ชายที่ทั้งหล่อ เท่ส์ ขนาดนี้จะแกล้งพนักงานอย่างรมิตา
“แกไม่เชื่อก็แล้วแต่แก” รมิตาทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะเดินกระทืบเท้าออกไปจากที่นั่ง
“มาแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหน้าตาดูสะอาดสะอ้าน ทรงผมเซ็ตไว้อย่างเนี้ยบ แม้แต่เสื้อสูทที่เขาใส่ ถูกเตารีดเรียบไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย กำลังนั่งหมุนปากกาอยู่ในมืออย่างคนอารมณ์ดี แต่ผิดกับอีกคนที่หน้าตาเหมือนไปเหยียบอึที่ไหนมา
“บอสเรียกดิฉัน มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีธุระอะไร ดิฉันขอตัวไปทำงานต่อค่ะ” รมิตาที่เปิดประตูเข้ามาและจะกลับออกไปอีกครั้ง
“เดี๋ยว! คุณกะจะไม่ให้ผมพูดอะไรหน่อยเลยเหรอ ผมเป็นเจ้านายคุณนะ” เขาเรียกให้เธอให้กลับมา
เพี้ยะ!
เส้นสติของรมิตาขาด เจ้าตัวรีบหันหน้าดัง ขวับ! พร้อมกับปล่อยมือออกจากประตูที่มันสามารถปิดได้อัตโนมัติ
“เป็นบอสแล้วยังไงคะ ถึงยังไงบอสก็เป็นพนักงานกินเงินเดือนเหมือนดิฉันอยู่ดีค่ะ” เจ้าตัวว่าพลางนำมือกอดอก พร้อมกับสายตาที่จะกินเลือดกินเนื้อเขาได้ทุกเมื่อ
ชัชนนท์สะอึกคำพูดก้อนโตของหญิงสาวตรงหน้า เห็นเธอตอบโต้มาขนาดนี้ เขาเลยต้องกลับมาทำหน้าเข้มขรึมเหมือนดังเดิม
‘ไม่แกล้งก็ได้ฟร่ะ ผู้หญิงอะไรดุชะมัด’ ชัชนนท์ได้แต่ขบคิดในใจ เมื่อหญิงสาวตรงหน้าแผลงฤทธิ์ใส่เขา แต่ใช่ว่าชายหนุ่มจะกลัวหญิงสาวแม้แต่น้อย
“วันนี้เที่ยง คุณต้องไปทานข้าวกับผม เพราะผมนัดลูกค้าคุยงานไว้ ในช่วงบ่าย” ชัชนนท์ออกคำสั่งกับเธอ พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของรมิตาอย่างไม่วางตา
“หา! ทำไมต้องเป็นดิฉันคะ บอส” หญิงสาวกัดฟันกรอด คนอื่นก็มี ทำไมต้องเป็นเธอ พร้อมกับเอื้อมแขนขยับเก้าอี้ตรงข้ามชัชนนท์แล้วหย่อนก้นลงนั่ง พร้อมกับยกขาขึ้นมาไขว่ห้างอย่างไม่สบอารมณ์
“เพราะคนอื่นไม่ว่าง แต่คุณว่าง ถ้างั้นไปกับผม ไปเก็บข้าวเก็บของซะ เราจะไปกันแล้ว” ชัชนนท์ว่าพลาง พร้อมกับลุกออกจากเก้าอี้
ปัง!
เสียงเก้าอี้ที่รมิตาได้นั่งลงไปเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยฝีมือของตัวผู้นั่งนั่นเอง ในขณะที่ชัชนนท์กำลังก้าวขายังไม่พ้นขอบโต๊ะทำงาน
++ คำโปรย ++ เมื่อเธอท้องกับเขา แต่แม่ฝ่ายชายกลับไม่ยอมรับแถมยังให้ชายคนรักของตนต้องไปแต่งงานของคนอื่นน้องแฝดที่คลอดก่อนกำหนดด้วยสภาวะจิตใจของผู้เป็นแม่จะเป็นอย่างไร +++ เนื้อหาบางส่วน +++ "พะ แพรว... อ๊ายยย" ธิดาเสียหลัก จึงเรียกสายตาของทุกคน พร้อมกับแพรวที่เข้ามาหาร่างของเธอ "กะ แกละ เลือด..." น้ำเสียงสั่นเครือ มองไปบนพื้น ซึ่งเริ่มมีสีแดง ค่อย ๆ ไหลเจิ่งนอง ใบหน้าของธิดาเริ่มไม่สู้ดี เมื่อเพื่อนสาวของตนบอกว่ามีเลือด จึงทำให้ธิดาก้มไปมองด้านล่าง และก็เป็นอย่างที่เห็น "ธะ ธิดา" นันยศลืมไปเลยว่าตนเองอยู่ในฐานะไหน ร่มที่กางแดดบังลมให้กับขวัญเนตร ก็ร่วงหล่นตกพื้น ก่อนจะรีบปีนข้ามรั้ว ปรี่เข้ามาชอนร่างของธิดามาอยู่ในวงแขน "ฉันจะพาธิดาไปโรงพยาบาล ส่วนเธอค่อยตามไป เตรียมของทุกอย่างของธิดาให้พร้อม และอย่าลืมบอกแม่ด้วย" เขากล่าวเสร็จสรรพ ก่อนจะสาวเท้าไปด้านหน้า เช่นเดียวกับที่แพรววิ่งไปเปิดประตูรั้ว "อุ่น!" ตะโกนลั่น ริมฝีปากที่ขบเม้มเข้าหากัน แววตาเบิกโพลง ไม่ชอบใจที่เขาทำอะไรออกนอกหน้า "ถ้ายังเป็นคน ก็หลีกไปซะ ผมจะไม่ยอมให้ลูกในท้องเป็นอะไรเด็ดขาด" น้ำเสียงเข้มของนันยศ ทำให้ขวัญเนตรต้องสะดุ้ง เพราะตั้งแต่ทั้งสองเป็นสามีภรรยา เขาก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับหล่อนเลยสักครั้ง
กุมภัณฑ์ เป็นชายหนุ่มที่เกิดในราศี กุมภ์ และเขาเป็นผู้ที่อยู่ในดินแดนของยมโลก เนื่องด้วยได้คำสั่งจากเบื้องบนให้ไปดูแล โมราห์ เป็นเด็กสาวที่อยู่ในการปกครองของ กุมภัณฑ์ แต่มันจะเกี่ยวอะไรกับเธอหรือเปล่านะ ทำไมถึงต้องส่งชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ที่วัน ๆ คลุกคลีสาวงามที่ดินแดนมีแต่กระทะทองแดง ต้นหงิ้ว และเสียงร้องโหยหวยจากพวกวิญญาณที่ทำชั่ว ทว่าเขาจะอดใจได้หรือไม่ ที่ไม่ได้ปลดปล่อยความเป็นชาย
.. "ใครให้คำนิยาม ว่าการแต่งงานคือตอนจบของชีวิต การแต่งงานต่างหากล่ะ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด" .. . . . # "หากมนุษย์เราสามารถย้อนอดีตไปได้ แล้วการแก้ไขเรื่องราวในอดีต จะทำให้อนาคตเปลี่ยนแปลงไหม"
++ คำโปรย ++ ใครจะไปคิดล่ะว่านางจะเข้าไปอยู่ในซีรีส์ที่ได้ชมก่อนนอน จึงทำให้นางได้ไปพบกับท่านแม่ทัพในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งมีจักรพรรดิเฉียนหลงเป็นฮองเต้ในสมัยนั้น แถมท่านแม่ทัพผู้นี้เพิ่งจะโดนหักอกมามาด ๆ อีกด้วย *** เนื้อหาบางส่วน *** “เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้ในเรือนของซูเม่ย ดังขึ้นมาจากด้านนอก พลางรีบปรี่เข้ามาหานายของตน ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าสาวใช้ของตนมาก่อน “เจ้าจะเอะอะโวยวายอันใดกัน ข้ากำลังนั่งปักผ้าให้สามี” ซูเม่ยที่กำลังจดจ่อกับผ้าขาวบาง ที่มีไม้ขนาดสี่เหลี่ยมทับผ้าผืนนั้นเอาไว้ พร้อมกับลายผ้าที่มีรอยร่างเส้นไว้บาง ๆ ให้เป็นลายปัก “กะ… เกิดเรื่องใหญ่ที่เรือนภรรยาเอกของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” สาวใช้คนดังกล่าวมีใบหน้าที่ตื่นตระหนก พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ “เกิดเรื่องอันใดของเจ้ากัน ข้ากำลังอารมณ์ดี ๆ เจ้ากลับหาเรื่องมาให้ข้าอารมณ์ขุ่นมัว” คิ้วขมวดเป็นปมของซูเม่ยบ่งบอกว่านางไม่สบอารมณ์จริง ๆ เพราะหลังจากที่ท่านแม่ทัพมาให้ความสุขกับนางถึงในอ่างอาบน้ำ นางจึงปักผ้าให้สามีของตนเป็นการตอบแทน ที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ลืมนางเสียทีเดียว
*** เนื้อหาบางส่วน *** ปลายนิ้วหยาบแตะลงบนกางเกงชั้นในของขวัญจิราอย่างเบา ๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วถูขึ้นลงไปมาระหว่างร่องสาวของเธอ ในขณะที่หญิงสาวนั่งจนตัวเกร็ง เพราะเธอไม่เคยรู้สึกยินดีและเต็มใจขนาดนี้มาก่อน “อ๊า! อ๊ะ! อ๊ายยย” คิรากรถูปลายนิ้วขึ้นลงตามจังหวะจากช้าไปเร็ว จนทำให้หญิงสาวหลุดครางเสียงดังออกมาด้วยความเสียว “พี่ขอนะขวัญ” เขากระซิบบอกหญิงสาวที่ตอนนี้นั่งหลับตาพริ้มพร้อมกับขบเม้มริมฝีปากของตนเพื่อกลั้นความเสียวนั้นเอาไว้ ขวัญจิราพยักหน้าตอบเขาแทน เพียงแค่นั้นเขาก็จับกางเกงชั้นในของเธอหลุดออกจากขาขาว ๆ ของเธออย่างเบามือ
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี