/0/14939/coverbig.jpg?v=bf80b9f17b7bee749025f63a3c24828f)
เมื่อพลังปราณทั้งสี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข
เมื่อพลังปราณทั้งสี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข
พิเศษสุดๆ
หนึ่งบุรุษผู้ครอบครองพลังปราณแห่งปฐพี ควบคุมพื้นดินทั้งใต้หล้าเอาไว้ในฝ่ามือ แต่ไม่ว่าจะมีพลังมากเท่าใดกลับยิ่งกลายเป็นดาบสองคมมากเท่านั้น เขาต้องหลบซ่อนตัวตนจากคนของพรรคมาร มีชีวิตรอดด้วยนามของผู้อื่นอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตั้งแต่จำความได้ แต่แล้ววันหนึ่งหัวใจของเขานั้นกลับกลับสยบลงแทบเท้าสตรีอ่อนแอนางหนึ่งเท่านั้น เขาและนางฐานะแตกต่างกัน แต่เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างนาง
สตรีนางหนึ่งนางเติบโตมาด้วยไฟแค้น จิตใจของนางหล่อหลอมและเติมเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ภายใจของนางนั้นเต็มไปด้วยโทสะที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ นางคือผู้ครอบครองพลังปราณแห่งไฟกัลป์ แต่ไม่ว่าเปลวไฟนั้นจะร้อนเพียงใดหัวใจดวงน้อยๆ ของนางกลับถูกความเย็นฉ่ำจากสายน้ำของบุรุษผู้หนึ่งชโลมล่อเลี้ยงจิตใจ
บุรุษอีกคน ผู้ที่ครอบครองพลังปราณวายุและปราณวารี บุรุษผู้เดียวในรอบหลายพันปีที่สามารถใช้พลังปราณได้ถึงสองสาย ผู้ที่คนทั้งใต้หล้าหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่ว่าเขาย่างกายไปที่ใด แคว้นนั้นมักจะมีสงครามเสมอ เขาก่อสงครามไปทั่วทุกย่อมหญ้า เพื่อรวบรวมหมายจะครอบครองทุกดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียว เขามีปณิธานแรงกล้าที่จะรวมพลังปราณทั้งสี่เอาไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว พลังและอำนาจคือทุกสิ่ง แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับถูกดรุณีน้อยคนหนึ่งทลายมันลง หากไม่มีนางอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ พลังเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย จะมีอำนาจไปเพื่อสิ่งใดหากไร้ดวงใจอยู่เคียงข้าง
เมื่อราวๆ เกือบหนึ่งร้อยปีก่อน มีนักพรตทำนายเอาไว้ว่า
‘เมื่อพลังปราณทั้งสี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข’
สงบสุขกับผีนะสิ
อู่เหมยตาฮวย เม้นปากแน่น เมื่อคิดถึงเรื่องราวความเป็นมาของพลังปราณที่สามีของตนเล่าให้ฟัง จะไม่เชื่อเรื่องพลังวิเศษก็ไม่ได้ เพราะตัวนางเองนั้นวิญญาณก็มาเดินทางทะลุมิติมาจากอนาคต แถมนางก็ยังได้ยินและสื่อสารกับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายได้
“จินเยว่ ทำแบบนั้นไม่ได้นะจ๊ะ”
เหมยตาฮวยตะโกนบอกบุตรชายคนโตของโอวหยางเจิ้งหัว ละสายตาพักเดียวเท่านั้น จากกิงดินกองเล็กๆ เขาก็ก่อดินกลายเป็นปราสาททรายจนสูงท่วมหัว หากไม่ห้ามปรามมีหวังว่าปราสาทหลังนี้กลายเป็นภูเขาดินขนาดย่อมๆ
และหว่างที่หันไปดูโอวหยางจินเยว่ หางตาเหมือนเห็นอะไรแวบๆ ผ่านไป
“อ้ายฉิง อ้ายเฉิง ลงมาเดี๋ยวนี้ ก่อนที่น้าจะให้นกยักษ์จับพวกเจ้าลงมา”
เหมยตาฮวยหันไปตะโกนใส่ฝาแฝดชายหญิง บุตรและธิดาของรัชทายาทแคว้นจ้าว จ้าวหยุ่นหลง
สองแฝดหันมายิ้มเผล่ แต่ก็ยอมลอยลงมาจากยอดกิ่งไม้แต่โดยดี ไม่อยากถูกนกยักษ์ของท่านน้าอู่เหมยตาฮวยคาบเพราะมันเสียหน้า วันนี้เพื่อนๆ มาเล่นกันในวัง จะให้พวกเขาเนื้อตัวเปื้อนน้ำลายนกได้อย่างไรเล่า
เมื่อสองแฝดขาแตะพื้น เหมยตาฮวยลอบถอนหายใจ ไหนบอกว่าถึงบุตรธิดาคนแรกของตระกูลจะได้รับการถ่ายทอดพลังปราณ แต่กว่าปราณจะตื่นและสามารถใช้พลังได้ก็ต่อเมื่ออายุครบสิบแปด แล้วทำไมทายาทอสูรพวกนี้ถึงใช้พลังได้ตั้งแต่กำเนิด นางปรายตามองบุตรสาวของตนที่นั่งเล่นเงียบๆ อยู่ไม่ไกล คงมีแค่ต้าเหนิง บุตรสาวของนางกับองครักษ์ชางเจี้ย ที่เรียบร้อยที่สุด
“ต้าเหนิง ทำอะไรอยู่จ๊ะ”
เหมยตาฮวยเดินไปทรุดกายลงข้างๆ บุตรสาว นางเห็นตาเหนิงนั่งเล่นคนเดียวเงียบๆ มาสักพักใหญ่แล้ว
“ลูกกำลังบอกให้พวกมดแดง ต่อตัวเป็นปราสาทแข่งกับจินเยว่เจ้าค่ะ” ชางต้าเหนิงหันมาทางมารดา เอ่ยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว ภูมิอกภูมิใจกับปราสาทมดของตน
“อ่า จ๊ะ ระวังอย่าบาดเจ็บกันล่ะ” พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ทำได้แค่เพียงหันไปบอกเหล่ามดน้อยให้ระวังตัว นางลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กๆ พวกนี้เติบโตมาด้วยกัน ย่อมมีนิสัยใจคอบางอย่างคล้ายคลึงกัน
อู่เหมยตาฮวยเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง วันนี้นางรับอาสามาดูแลเด็กๆ เพราะ เหล่าพ่อแม่ของเด็กพวกนี้กำลังประชุมหารือเรื่องในยุทธภพ องค์หญิงเลี่ยงหลิงก็กำลังแพ้ท้องหนักลุกจากเตียงไม่ไหว ทำให้ในตอนนี้ มีนางคนเดียวที่เด็กๆ ทั้งสี่พอจะเชื่อฟัง หากให้อยู่ตามลำพังกับพวกบ่าวรับใช้ คำเดียวสั้นๆ พินาศ
ก่อนจะไปถามหาความสงบสุขให้ใต้หล้า เอาใต้ต้นไม้ต้นนี้ให้รอดก่อน
“จิบน้ำชาให้ชื่นใจหน่อยไหมเจ้าค่ะฮูหยิน” จางลี่ถือถาดน้ำชาและขนมมาวางบนโต๊ะ
เหมยตาฮวยพยักหน้ารับ ได้น้ำเย็นๆ สักจอกก็คงจะดี นางรับน้ำชามาถือไว้ แม้พระชายาของจ้าวหยุ่นหลงจะอารมณ์ร้อน ชอบทำอะไรมุทะลุ เป็นเพราะนางนั้นยังเด็ก แต่จางลี่ที่เป็นสาวใช้คนสนิทกลับเยือกเย็นสุขุม ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้จะเข้ากันได้ ผิดจากสาวใช้คนเก่าของตน ชิงชิงใช่ว่าจะไม่ดี แต่นางชอบเอาความลับของเจ้านายไปขาย เหมยตาฮวยจึงไม่คิดจะเอาใครมาอยู่ใกล้ตัวขนาดนั้นอีกแล้ว
“ฮูหยินท่านอย่าดุพวกคุณหนูๆ นักเลย ปล่อยให้เล่นกันไปตามประสาเถิด” เวลาที่จางลี่ อยู่กับสองแฝดตามลำพัง นางก็ปล่อยให้เด็กสองคนนั้นทำตามใจตน นางเพียงคอยดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“ข้าก็อยากทำแบบนั้น แต่บางทีมันก็อดใจไม่ไหว ก็ต้องมีร้องเตือนกันบ้าง ก่อนที่จะพลั้งพลาดเกิดอันตรายขึ้น ถึงข้าจะฟังพวกสัตว์ได้ แต่ข้าก็ใช่ว่าจะมีพลังปราณหรือวรยุทธที่จะสามารถหยุดพวกเด็กๆ ได้”
นางเข้าใจในสิ่งที่จางลี่จะสื่อ เด็กทั้งสี่อายุก็สามสี่ขวบกันแล้ว ควรได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวเพื่อพัฒนาการให้สมวัยสองแฝดอ้ายเฉิงกับอ้ายฉิงมีพลังปราณลมทั้งคู่ ลอยไปนั่งบนยอดไม้ก็ด้วยพลังของตน ใช่ว่าจะตกลงมาง่ายๆ คงเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไปนั่งอยู่บนพื้น แต่จะให้นางยืนดูเฉยๆ ก็ไม่ไหวไง ลงมาเล่นข้างล่างแบบลูกคนปกติเถอะ หัวจะปวด
“อ้ายเฉิง น้าบอกว่าห้ามเล่นไฟ น้าจะฟ้องเสด็จพ่อของเจ้า” นั้นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ เอาอีกแล้วไอ้ตัวแสบคนพี่
เมื่อเห็นแฝดผู้พี่ถูกดุเรื่องใช้พลังอีกแล้ว อ้ายฉงแฝดผู้น้องก็ใช้ปราณวารีรีบดับเปลวไฟ หากท่านน้าเหมยตาฮวยฟ้องเสด็จพ่อจริงๆ แย่แน่ๆ เพราะเสด็จพ่อท่านอนุญาตให้ใช้แค่พลังปราณวายุ ห้ามใช้พลังปราณสายอื่นหากว่าท่านไม่อยู่ด้วย เพราะอาจเกิดอันตรายกับผู้อื่นได้
“เจ้าตะโกนแบบนั้น นกในวังข้าบินหนีหมดแล้ว” จ้าวหยุ่นหลงส่งเสียงมาแต่ไกล ข้างตัวของเขามักจะมีพระชายากวนเสี่ยวถงอยู่เสมอ
“จินเย่ว ปะกลับกันเสด็จแม่รออยู่” โอวหยางเจิ้งหัวย่อตัวอ้าแขนรับบุตรชายที่วิ่งตื้อเข้ามาทันทีที่เห็นเขาเดินมา กดริมฝีปากหนาลงบนแก้มนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินเบาๆ “ดื้อกับท่านน้าเหมยตาฮวยหรือไม่”
จินเยว่สายหน้าวือ
“แต่เจ้าสองแฝดไม่เหมือนยินเยว่แน่ๆ เพราะข้าได้ยินเสียงพี่เหมยตาฮวยดังลั่นเชียว” กวนเสี่ยวถงหรี่ตามองสองแสบ
“อ้ายเฉิง เป็นเด็กดี เชื่อฟังท่านน้าพูดทุกอย่าง”
“อ้ายฉิงด้วยๆ”
สองฝาแฝดรีบแก้ตัวก่อนที่ท่านน้าเหมยตาฮวยจะพูดอะไร แม้ท่านพ่อจะทั้งรักและตามใจพวกเขามาก หากทำอะไรผิดก็แค่ว่ากล่าวตักเตือน แต่หากเสด็จแม่ลงมือแล้วละก็ แม้แต่เสด็จพ่อก็ทำได้เพียงยืนฟังเงียบๆ เท่านั้น สองแฝดหันไปมองท่านน้าเหมยตาฮวยอย่างคาดหวัง ว่าอย่าบอกเสด็จแม่ว่าพวกเขาใช้พลังปราณ
“อย่าดุนักเลยน้องหญิง เจ้าดูสวนดอกไม้ของเจ้าสิ ยังอยู่ครบปกติสุขดี แสดงว่าสองแสบไม่ได้ทำอะไรแผลงๆ ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่” จ้าวหยุ่นหลงรีบแก้ตัวช่วย หวังผ่อนหนักให้เป็นเบา
กวนเสียวถงยืนมองอ้ายเฉิงและอ้ายฉิง ก็เพราะจ้าวหยุ่นหลงตามใจเสียแบบนี้ สองแสบถึงได้เล่นสนุกจนบางที่ก็พลั้งเผลอใช้พลังจนเกินตัว นางจึงต้องคอยปรามเอาไว้แบบนี้ ทำให้นางก็กลายร่างเป็นแม่ใจร้ายได้ตลอด ตอนเด็กๆ นางก็ใช้พลังได้เหมือนกันแต่แม่นมของนางก็ห้ามไม่ให้ใช้จนกว่าจะถึงเวลา แล้วนางก็เชื่อฟังแม่นมมาตลอด ผิดกับลูกๆของนาง ไม่ว่านางจะห้ามแค่ไหนก็ยังแอบทำ เพราะมีคนให้ท้ายไง เดี๋ยวเถอะหากยังตามใจกันอยู่แบบนี้ หากดอกไม้ในสวนข้าหักแม้แต่ดอกเดียว ข้าจะให้ทั้งสามพ่อลูกปลูกให้ข้าใหม่ด้วยมือพวกเขาเอง
เหมยตาฮวยคลี่ยิ้มไม่พูดอะไร หันไปยิ้มกับสามีของตนที่พอมาถึงก็เดินไปนั่งคุยกับต้าเหนิง ทำเสียงเล็กเสียงน้อยทั้งๆที่ตัวเองก็พูดกับมดไม่รู้เรื่องแบบบุตรสาว แต่ก็เออออรับต้าเหนิงไปหมดทุกอย่าง
“งั้นข้าขอตัวกลับก่อน ได้เวลานอนกลางวันแล้วจินเยว่แล้ว อีกอย่างข้าไม่อยากให้เลี่ยงหลิงอยู่คนเดียวนาน ใจก็อยากจะพานางมาด้วย แต่นางแพ้หนักเหลือเกินท้องนี้” โอวหยางเจิ้งหัวหันไปบอกลาทุกคน หากวันนี้ไม่มีประชุมสำคัญ เขาคงไม่ทิ้งนางไว้ที่จวนกับสาวใช้เพียงลำพัง
“ไปเถอะ” จ้าวหยุ่นหลงหันไปล่ำลาสหาย
“ต้าเหนิง เจ้าอยากมีน้องเล่นด้วยหรือไม่ ยัได้ไม่ต้องมานั่งเล่นกับตัวสัตว์ตัวเล็กๆ แบบนี้” องครักษ์ชางเจี้ยก้มลงถามบุตรสาว
“น้อง น้องแบบที่อ้ายเฉิง มีอ้ายฉิงเป็นน้องหรือเจ้าค่ะท่านพ่อ” ดวงหน้าน้อยๆ เอียงคอถาม
เหมยตาฮวยกลอกตาขึ้นฟ้า หลังจากคลอดต้าเหนิง นางบอกสามีว่าขอให้ต้าเหนิงโตจนรู้ความก่อนค่อยมีคนต่อไปและนางเองก็ต้องใช้เวลาพักพื้นร่างกายของตนด้วย การแพทย์สมัยโบราณยังไม่ทันสมัยมากนัก นางอยากเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตนเองให้มากที่สุด นางจึงให้ชางเจี้ยใช้วิธีการธรรมชาติในการคุมกำเนิด คือให้เขาหลั่งนอก นี่ลูกเพิ่งจะสามขวบไหนบอกว่ารอได้ไง
“รอให้ต้าเหนิงโตกว่านี้ก่อน”
“ตอนนี้ต้าเหนิงก็โตแล้ว” องครักษ์ชางเจี้ยหันไปทวงสัญญากับฮูหยินของตน จ้าวหยุ่นหลงมีสองแฝด ส่วนโอวหยางเจิ้งหัวก็กำลังจะมีลูกคนที่สอง เขาจะมีคนเดียวน้อยหน้าพวกนั้นได้อย่างไร ยอมไม่ได้
“เจ้าไม่มีน้ำยาเองหรือเปล่า”
“ฝ่าบาท” องครักษ์ชางครางเสียงอ่อยหันไปมองค้อนให้สหายพวงตำแหน่งนายเหนือหัว ก็เพราะตอนประชุม เขาถูกจ้าวหยุ่นหลงเย้าแย่ว่าไร้น้ำยา ถึงมีลูกสาวแค่คนเดียว ใช้ที่ไหนเล่า น้ำพิสูจของเขาไม่เคยเข้าไปในตัวฮูหยินแล้วจะมีลูกคนที่สองได้อย่างไรกัน ตอนนี้เขาถึงได้มานั่งขอให้ต้าเหนิงช่วยอยู่แบบนี้ หากบุตรสาวไปบอกฮูหยินของเขาว่าอยากมีน้อง นางต้องยอมใจอ่อนแน่นอน
โอวหยางเจิ้งหัวอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก สหายสองคนนี้ทั้วรักทั้งกัดกันมาตลอด โดยไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้นเขาก็นึกขอบคุณทั้งคู่เสมอที่ชักจูงเขาให้ก้าวมาสู้แสงสว่าง ไม่ต้องมีชีชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป หากนางมารไม่ตาย เขาคงต้องพาองค์หญิงเลี่ยงหลิงและจินเย่วหลบหนีเขาไปอยู่ในป่าเขา เช่นที่ตระกูลของกวนเสี่ยวถงเคยทำร่างสูงอุ้มบุตรชายเข้าไปอำลา ทั้งสาม ก่อนจะพาอุ้มออกจากสวนของวังรัชทายาท
เมื่อพลังปราณที่สี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข
แต่รอบกายของข้านั้นวุ่นวายทุกวัน
กวนเสี่ยวถงพรูลมหายใจออกมาหนักๆ มองสองแฝดที่วิ่งเข้าไปนั่งเล่นกับบุตรสาวขององครักษ์ชางเจี้ย ยิ่งสองแฝดโตก็ยิ่งซนหนัก ขนาดอ้ายฉิงที่เป็นพระธิดาก็ยังซุกซนไม่ต่างจากพระโอรส ผิดกับบุตรสาวของพี่เหมยตาฮวย ชอบนั่งเล่นกับสัตว์ตัวเล็กๆ ไม่ปีนป่ายลอยเคว้งคว้างบนอากาศแบบอ้ายฉิง
“เฮ้อ อยู่เพียงลำพังมาทั้งชีวตพอมีท่านเข้ามาชีวิตข้าก็ไม่เคยได้เงียบเหงาอีกเลย" กวนเสี่ยวถงบ่นเบาๆ
"อยากมีเพิ่มอีกคนไหมล่ะ" แม้เสียงนางจะเบาแค่ไหน เขาก็ได้ยิน จ้าวหยุ่นหลงใส่ใจพระชายาของตนเสมอ
"แต่ถ้ามีอีกคน ก็จะไม่ได้รับถ่ายทอดพลังปราณใดๆ จากทั้งท่านแล้วข้า จริงอยู่ที่ต่อให้ลูกของข้าจะไม่มีพลัง ข้านั้นก็รักไม่แตกต่างกัน แต่เขาล่ะจะเขาใจมันมากน้อยเพียงใด ที่ต้องมีชีวิตอยู่โดยการถูกเปรียบเทียบกับพี่ๆ เสมอ แค่สองแสบก็พอแล้ว" การมีชีวิตอยู่อย่างไร้ตัวตนนางเคยประสบมาแล้ว นางจะไม่มีวันให้ลูกๆ ของตนมีชีวิตเช่นนั้นเด็ดขาด
จ้าวหยุ่นหลงพยักหน้ารับ แม้ใจจะอยากมีลูกสักเจ็ดแปดคน แต่คงต้องยกเลิกความคิดนั้น กวนเสี่ยงถงว่าอย่างไรเขาก็ตามนั้นล่ะ
-----------จบ---
ซีรี่ย์ - องค์หญิงบรรณาการผู้ถูกลืมเลือน
- ดอกมู่ตานขี้เซา ผ่ามิติข้ามภพมาเพื่อนิทรา
-หนึ่งปรารถนา ปฐพีนี้ของมีเพียงเจ้า
ทั้งสามเรื่องอ่านแยกกันได้ค่ะ
เลือกสามีผิดคิดจนตัวตาย!เป็นเช่นไรรู้ก็เมื่อสายไปเสียแล้ว ลูกต้องตายจาก พ่อแม่พี่ชายพลัดพราก ด้วยหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมือง ช่วยชีวิตทุกคนไว้ได้ เว้นแต่นาง เว้นแต่ครอบครัวของนาง
โปรยปราย ผู้คนเกลียดชังข้า แต่กลับมิมีผู้ใดรู้เบื้องหลังว่าแท้จริงแล้วข้าต้องโหดร้ายเช่นนี้เป็นเพราะผู้ใด แทงมีดใส่อกคนรักของข้า สังหารตระกูลข้าจนสิ้นแม้แต่เด็กทารกก็มิเว้น ข้าต้องยืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า ไม่เป็นไร ข้าให้อภัย นั่นคงมีเพียงพระโพธิสัตว์เสียแล้วมิใช่ข้าคนนี้ คนที่พวกเจ้าหวาดกลัวยิ่งกว่าภูตผี
นางเคยเป็นดั่งดอกบัวขาว บริสุทธิ์ผุดผ่องมองแล้วสบายตา แต่เขาและน้องสาวต่างมารดาของนางกลับมาแต้มหมึกดำลงบนบัวขาวดอกนี้
นางเกิดมาขาพิการแต่หาได้ไร้ใจไม่ มีเพียงคนผู้นั้นที่ไร้หัวใจยิ่งกว่านาง เขามาหลอกให้นางหลงรักแล้วถอนหมั้นอย่างเลือดเย็น หลังนางตายจากไปแล้วยังใช้ความเห็นอกเห็นใจของพี่ชายนางเพื่อหาประโยชน์เข้าตัว โชคดีสวรรค์ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล กลับมาครานี้ ในเมื่อพวกมันรักกันมากนัก ก็เชิญรักกันไปได้เลย ชายชั่วเช่นนี้คิดจนตัวตายก็ไม่เอามาเป็นสามีเด็ดขาด!
ท่านช่างใจดำยิ่งนัก ท่านกับข้าเปรียบดั่งเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ข้าเชื่อว่าสักวันท่านจะกลับมาเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้า แต่ใยท่านจึงพาสตรีอื่นกลับมา แล้วถอนหมั้นข้าอย่างไร้เยื่อใย
เพราะรักนางจึงยอมทุกอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับมอบความรักให้สตรีอื่น ในเมื่อเดินมาจนถึงสุดทางแล้วนางก็ไม่คิดจะยื้อไว้อีกต่อไป ไปเถิดข้าปล่อยมือท่านแล้ว ส่วนข้าจะเดินจากไปพร้อมกับบุตรในครรภ์
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
เธอ..เป็นของต้องห้ามสำหรับเขา..คุณหนูผู้เอาแต่ใจ ลูกสาวเจ้านายผู้มีพระคุณ เขา..เป็นของร้อนสำหรับเธอ อยู่ใกล้แล้วมันร้อนรุ่ม บอดี้การ์ดหน้าโหดที่ขัดใจเธอไปเสียทุกอย่าง และแม้ว่าบอดี้การ์ดอย่างเขา จะอยากขย้ำเธอให้จมเขี้ยวสักเท่าไร แต่ก็ทำได้เพียงอดทน..จนกว่าจะถึงวันที่เขา..คู่ควร
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
แค่ทะลุมิติมาในโลกยุคโบราณก็นับว่าแย่มากพอแล้ว แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เธอต้องมาแต่งงานกับท่านอ๋องที่ขึ้นชื่อว่าอำมหิตมากที่สุดในเมืองหลวง แล้วจางอวิ๋นซีจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของท่านอ๋องจอมโฉดได้อย่างไร
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด