เพราะความเห็นแก่ตัวของใครบางคน ก่อเกิดการแยกจากของคนทั้งสอง วันเวลาผ่านไป.. หัวใจของเขาหวนคืนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับอีกหนึ่งความลับที่ทำให้เขาแทบคลั่ง! แผนการทวงคืนทุกอย่างค่อยๆเริ่มขึ้น เขา.. ผู้ไม่สนใจใครหน้าไหน และแม้แต่วิธีการเขาก็ไม่เลือก ขอแค่ทวงคืนเธอได้ ต่อให้เลวแค่ไหน.. ใครจะสน!
เชียงใหม่ ประเทศไทย
ช่วงฤดูหนาวที่กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการบานสะพรั่งของดอกสุพรรณิการ์ที่ขึ้นอยู่รายรอบในอาณาเขตของเรือนฝ้ายคำ สีเหลืองอร่ามของดอกที่ชูช่ออยู่บนยอดกิ่งไม้นั้นดูเข้ากันได้ดีกับฉากฉากหลังของท้องนภาอันกว้างใหญ่ สายลมที่พัดผ่านทำให้พุ่มดอกเอนไหวไปมาดูน่าหลงใหล และทั้งที่ธรรมชาติตรงหน้าดูสวยงามชวนให้รู้สึกผ่อนคลายแต่กลับไม่ใช่ในใจของใครบางคน โดยเฉพาะกับชวัลดนย์
ใบหน้าหล่อเหลาแหงนเงยขั้นมองดอกสุพรรณิการ์นิ่งมาเป็นเวลานานแล้ว ร่างสูงยืนพิงทิ้งสะโพกลงบนฝากระโปรงรถหรูอยู่แบบนั้นมานานนับชั่วโมง ดวงตาคมที่ทอดมองต้นสุพรรณิการ์นั้นทอประกายอ่อนโยนอย่างที่ใครหลายคนก็ไม่อาจจะได้เห็น เขามาที่นี่ทุกวันทั้งเช้าและเย็นไม่ใช่แค่เพียงเพื่อมาดูต้นสุพรรณิการ์เท่านั้น แต่ลึกๆ ในใจของเขานั้นหวังเสมอว่าการมาของเขาจะได้พบเจอกับใครคนหนึ่ง คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอดว่าเธอจะกลับมาในสักวันหนึ่ง
ชวัลดนย์ไม่รู้เลยว่าเขาจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่เพื่อจะได้พบเธออีกครั้ง เธอผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของเขา รอยยิ้มละมุนปรากฎขึ้นที่มุมปากยามเมื่อได้นึกถึงช่วงเวลาครั้งแรกที่เขาได้พานพบกับเธอ…
ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดขวบผู้มีรูปร่างผอมบางแต่ผิวพรรณขาวสะอาดราวกับกระเบื้องชิ้นดีกำลังเป็นจุดสนใจของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปี จะด้วยเพราะความซุกซนตามวัยหรือความแก่นเซี้ยวเกินไปของเด็กหญิงก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่นั่นก็ทำให้ชวัลดนย์เผลอยิ้มออกมาได้อย่างไม่ทันรู้ตัว
… เด็กหญิงสุพรรณิการ์ผู้ที่กำลังตกเป็นที่สนใจต่อสายตาเอ็นดูคู่นั้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปต่อไปแม้ว่าตอนนี้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นจะเลอะเปื้อนสีจนดูสกปรกไปหมด
ชวัลดลย์ค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาดูใกล้ๆ ด้วยท่าทางอารมณ์ดีอย่างที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ได้
‘โอ้โห... สวยแฮะ’ น้ำเสียงเชิงหยอกเย้าดังขึ้นและนั่นทำให้เด็กหญิงสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมทั้งหันกลับไปมองคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความสงสัย มือเล็กที่ยังคงถือพู่กันไว้ค่อยๆ ลดลงข้างลำตัวพลางกระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้าอย่างไม่ลดละความสงสัย
‘พี่เป็นใครน่ะ’ เสียงเด็กหญิงถามขึ้น
‘พี่ก็… เป็นหลานของคุณยายกรแก้วไงล่ะ’ ชวัลดนย์แกล้งตอบออกไป
‘ห๊ะ... ไม่ใช่แล้ว หนูต่างหากที่เป็นหลานของคุณยาย พี่น่าจะมั่วแล้ว’ เสียงเจื้อยแจ้วตอบสวนกลับด้วยวาจาทั้งฉะฉานและท่าทีที่ขึงขัง
กิริยานั้นของเด็กหญิงยิ่งทำให้ชวัลดนย์นึกสนุกที่ได้แกล้งและเอ็นดูความโต้ตอบของอีกฝ่ายอย่างที่สุด ชวัลดนย์ลดตัวย่อลงให้เสมอกับร่างเล็กนั้นเขาจ้องเขาไปในดวงตากลมโตคู่ใสนั้นแล้วมองนิ่งๆอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ลึกๆในใจของเขากลับนึกชอบเหลือเกินกับดวงตาคู่นี้แบบที่เขาก็ไม่สามารถอธิบายหรือหาเหตุผลให้กับตัวเองได้เหมือนกัน
‘ปากคอเลาะร้ายนะเรา’ เขาแกล้งว่าแต่มุมปากยกยิ้มอย่างชอบใจ
‘หนูไม่ได้ร้ายสักหน่อย ก็พี่มาโมเมว่าเป็นหลานของคุณยายนี่นาหนูก็จะบอกว่าไม่ใช่ หนูต่างหากที่เป็นหลานของคุณยาย พี่น่ะไม่ใช่’
‘โอเค.. ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่าพี่ชื่อชวัลดนย์ เรียกพี่ดนย์ก็ได้ พี่มากับคุณแม่มาเยี่ยมคุณยายกรแก้วกับคุณตาพงษ์อินทร์’ ชวัลดนย์บอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นยอมรับว่าเขารู้สึกถูกชะตากับเด็กผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เข้าให้แล้ว
‘แล้วหนูล่ะชื่ออะไร?’
‘หนูชื่อเด็กหญิงสุพรรณิการ์ สิริภาวิน ชื่อเล่นว่าเอยค่ะ’ เสียงตอบดังฟังชัดและเป็นทางการของเด็กหญิงทำให้ชวัลดนย์หลุดยิ้มอย่างเอ็นดู
‘แล้วพื่เป็นใครมาทำอะไอยู่ตรงนี้ หนูกำลังวาดรูปอยู่นะ มันต้องใช้สมาธินะ’ เด็กหญิงพูดด้วยท่าทีที่จริงจังพลางชี้มื่อไปที่เฟรมไม้ที่มีกระดาษแผ่นใหญ่ขึงกางอยู่ และในกระดาษแผ่นนั้นก็ปรากฎภาพวาดที่โย้ไปเย้มาประกอบกับสีน้ำที่ถูกระบายแต่งแต้มจนแทบจะแยกสีไม่ออกและชวัลดนย์ก็ไม่รู้ด้วยช้ำว่าภาพนั้นมันคืออะไรกันแน่
‘ก็สวยดีอยู่หรอกแต่ดูยากจังเลย’ เขาบอกคล้ายให้กำลังใจ สายตาจ้องมองที่ภาพนั้นอย่างเพ่งพิจารณา
‘มันคือต้นสุพรรณิการ์ไงคะ พี่ดูไม่ออกหรอเนี่ย’ เด็กหญิงพูดด้วยสีหน้าที่ดูคล้ายหงุดหงิดเล็กน้อย
‘อ้อ ที่แท้ก็ต้นสุพรรณิการ์นี่เอง สวยจนดูไม่ออกเลยแฮะ’ เขาพูดแล้วเผลอหลุดขำออกมา แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้างอง้ำของเด็กน้อย
‘พี่จะบอกว่าหนูวาดรูปไม่สวยหรอ’
‘พี่ขอโทษค่ะ เอาอย่างนี้ไหมเรามาช่วยกันวาดใหม่เอาให้สวยๆกว่านี้ดีไหม’
ชวัลดนย์เอ่ยคำขอโทษอย่างง่ายดายพร้อมทั้งพูดเอาใจเด็กน้อยของเขา และเหมือนจะได้ผลเมื่อเด็กหญิงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย ไม่นานทั้งสองก็ช่วยกันวาดรูปโดยที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชวัลดนย์มากกว่าที่วาดและลงสีโดยมีเด็กหญิงยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกหรือว่าคิดอะไรอยู่
‘เอาล่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว’
‘หนูว่ามันไม่ใช่นะ’ เสียงเด็กหญิงแย้งขึ้น
‘ไม่ใช่อะไร?’
‘ไม่ใช่ต้นสุพรรณิการ์ไง’
‘ทำไมล่ะ ก็เหมือนอยู่นะ’
‘เหมือนของหนูไง เนี่ยเหมือนกันเลย’
เด็กหญิงพูดพร้อมทั้งใช้นิ้วจิ้มที่ภาพวาดของตัวเองก่อนหน้านั้น ชวัลดนย์มองตามเขาพิจารณามองภาพทั้งสองสลับกับมองใบหน้าเล็กของเด็กหญิงก่อนจะยิ้มแบบเขินอายออกมา
‘เอ่อ เหมือนกันจริงๆด้วย’
‘พี่กี่ขวบแล้วเนี่ย ยังวาดภาพเหมือนเด็กอยู่อีกหรอ’
‘ห๊ะ! เดี๋ยวเถอะยัยตัวเล็ก!’
กว่าจะรู้ว่าโดนยัยตัวเล็กสบประมาทเข้าให้ร่างเล็กก็วิ่งฉิวหนีเขาไปไกลแล้ว ร่างสูงวิ่งไล่ตามจับท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเด็กหญิงที่วิ่งหนีโดยมีเขาคอยไล่ล่า เสียงหัวเราะแสนสดใสนั้นยังดังก้องอยู่ในความทรงจำของเขา
ดวงตาคมหลับนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มละมุนเมื่อหวนคิดถึงความหลังก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกรบกวนจากเสียงอื่นที่แทรกเข้ามา..
เพราะเธอรัก และทุ่มเททุกอย่างให้กับคนที่เธอรัก แต่สุดท้าย.. เธอก็กลับถูกทรยศหักหลัง ที่มาพร้อมกับตราบาป ที่ยากจะลืม..
ไผ่หลิว.. ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไร้พิษสง ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่เหตุไฉนถึงต้องมาขึ้นเวทีมวยด้วยเล่า!!! ก็นึกอยู่ว่ามันต้องมีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่คาดฝันว่าตัวเองจะได้ขึ้น เวทีมวย! ย้ำนะว่ามันคือ เวทีมวย! สรุป! โทษทัณฑ์ที่จะต้องได้รับคือการได้มาเป็นกระสอบทรายของไอ้เสี่ยเวร!
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------