ใช้ชีวิตสงบสุขมาได้ตั้งนาน แต่กลับต้องมาอึมครึมเพราะดันไปมีเอี่ยวกับสมาชิกแก๊งค์เทพเจ้าประจำมหาลัย แถมไอ้บ้านั่นยังพ่วงตำแหน่ง "ว่าที่ผู้นำแก๊งค์มาเฟีย" ที่กำลังโดนตามล่าด้วยไง เหอะๆ แบบนี้ฉันจะมีชีวิตรอดต่อไปมั้ยให้ทาย?
ปังงงง! เพล้งงง!
“แม่งเอ๊ย! ทำไมเป็นไอ้เหี้ยติณณ์ ไม่ใช่กู!!!”
โครมมมม! ปังงงง! เพล้งงงง!
เสียงโวยวายของคิระดังขึ้นหลังจากที่เขาทุบโต๊ะทำงานราคาแพงที่ดีไซน์ด้วยกระจกหนาจนแตกละเอียดคามือ แถมยังคว้าไม้เบสบอลที่วางอยู่ในห้องนั้นฟาดข้าวของในห้องพังยับจนเศษของข้าวของพวกนั้นกระจุยกระจายไปทั่ว ทำให้ลูกน้องอีก 5-6 คนที่ยืนอยู่ถึงกับก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพราะเขากำลังโกรธจัดจนอยากจะฆ่าใครสักคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ให้ตายคามือ
“โมโหไปก็เท่านั้น อีกไม่กี่วันก็ต้องไปร่วมพิธีแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ของมันอยู่ดี”
“ทำไมถึงเร็วนัก?”
พอได้ยินแบบนั้น คิระก็หันหน้าไปหา ‘มาโคร’ ลูกน้องคนสนิท ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือเพื่อนสนิทของเขาที่ผันตัวเองมาเป็นมือขวาติดตามเขาไปทุกที่ด้วยความสงสัยในทันที
ปกติการแต่งตั้งใครขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์คนใหม่ต้องใช้เวลาเตรียมการนานเกือบ 3 เดือนนับจากวันที่สรุปผล แต่ทำไมครั้งนี้ทุกอย่างถึงดูฉุกละหุกไปหมด เหมือนกับว่ามีบางคนชักใยอยู่เบื้องหลัง
“ท่านปู่อีกแล้วใช่มั้ย...”
คิดได้แบบนั้นเขาก็กัดฟันแน่นและพูดออกมาอย่างรู้ทัน คนที่ไม่เคยให้ความยุติธรรมกับหลานทั้งสองคนอย่างเท่าเทียมกันตั้งแต่เด็กจนโต เห็นจะมีก็แค่ปู่ของเขาคนเดียวเท่านั้น!
“ทำไมต้องเป็นมันทุกทีเลยวะ!!!”
เพล้งงงงง~
น้ำเสียงอิจฉาริษยาที่มีมาตั้งแต่จำความได้เล็ดลอดออกมาจากไรฟันที่เจ้าตัวกัดมันแน่นด้วยความโกรธจัด และเขวี้ยงไม้เบสบอสในมือออกไปแบบไม่มีจุดหมายจนมันเหวี่ยงไปโดนภาพครอบครัวในตู้โชว์หล่นลงมาแตกละเอียด พร้อมกับคิดในใจว่าถ้าไม่มีลูกพี่ลูกน้องที่เป็นหลานคนโปรดของท่านปู่อย่างมันคอยขวางทางอยู่แบบนี้ ป่านนี้เขาคงได้ทุกอย่างของ ‘Dark Shadow’ มาไว้ในครอบครองตั้งนานแล้ว
แต่เพราะปู่ของเขาที่ฉลาดเป็นกรด ใช้ช่องโหว่ในกฎของแก๊งค์มาทำให้เขาต้องอดทนรอวันที่จะผงาดขึ้นมาอย่างเต็มตัวในนามของหัวหน้าแก๊งค์ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีใครคัดค้านเลยว่าเขาไม่เหมาะสม จนวันที่ปู่ดึงไอ้เวรนั่นเข้ามาร่วมพิจารณาด้วย เขาเลยต้องน้อมรับข้อเสนอนั้นอย่างจำยอมเพราะไม่มีใครคัดค้านการเข้าแก๊งค์ของมันเช่นกัน
แล้วสุดท้ายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว.. มติจากที่ประชุมที่เขารอคอยมาแสนนาน ดันกลายเป็นทุกอย่างที่เขาอดทนรอกลับถูกมันแย่งไปในพริบตา
มัน..ที่ไม่เคยสนใจว่าใครในแก๊งค์จะทำอะไร
มัน..ที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อแก๊งค์เลยตั้งแต่ก้าวเข้ามา
ยิ่งไปกว่านั้นที่น่าโกรธ..คือเขาเกือบจะเอาชนะมันได้เพราะคะแนนโหวตจากสมาชิกทุกคนออกมาเท่ากันครึ่งต่อครึ่ง แต่เสียงสุดท้ายของท่านปู่ที่ออกตัวว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกเช่นกัน ดันมาตัดสินให้มันชนะเขาโดยที่ตัวมันไม่ได้เข้าร่วมประชุมและไม่เคยโผล่หน้ามาให้ใครเห็นหัวเลยด้วยซ้ำ
“เมื่อไหร่มึงจะตายๆ ไปซะทีวะ ไอ้เหี้ยติณณ์!!!”
คิระกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด เขาไม่เคยคิดจะนับญาติกับคนที่เข้ามาแย่งทุกอย่างไป และใช้อภิสิทธิ์ของปู่เข้ามาประทับสัญลักษณ์ของ Dark Shadow บนตัวง่ายๆ โดยไม่ต้องพยายามอะไร
เขาเกลียดมัน!
เกลียด..ทั้งที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน
เกลียด..ที่ไม่ว่าจะตอนไหนมันก็เป็นหลานรักของปู่เสมอ
เกลียด..ที่มันได้ทุกอย่างโดยที่ไม่ได้พยายามเท่ากับที่เขาทำ
และเกลียด..จนถ้ามีโอกาสก็อยากจะฆ่ามันให้ตายคามือ!
พรึ่บบบ!
“ถ้าอยากให้มันตาย มึงก็แค่ลาพักร้อนบินไปทักทายมันไง ไม่เห็นยาก”
แฟ้มประวัติพร้อมรูปถ่ายของคนที่คิระหมายหัวเอาไว้ถูกส่งมาจากมือเพื่อนสนิทแบบเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยแววตาประทุจร้ายในแบบที่เขาชอบ มันเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ ทำให้คิระรับแฟ้มนั่นมาเปิดอ่านมันด้วยความสนใจ
“หึ... เตโช Nightshade ..งั้นหรอ?!”
ติณณวัชร์ ภัทรเดชา (เตโช)
Nightshade’ s LEADER
Dark Shadow’ s MEMBER
(ข้อมูลอาจถูกบิดเบือน ข่าวไม่ได้กรอง)
KING OF ME
กำลังศึกษา : คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ (ปี 3)
ธุรกิจส่วนตัว : ZTUDIO / TYN SUPERCAR
ของสะสม : Supercar
งานอดิเรก : แข่งรถ
บุคลิก : นิ่ง...มากกกกกกกก โหด...มากกกกกกกกกก เจ้าชู้...มากกกกกกกก (และอื่นๆ ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติม)
หลายวันต่อมา...
“ไหวแน่นะโมเน่ต์ พี่ว่าคราวนี้มันหนักเอาเรื่องอยู่”
‘พี่เหมียว’ ที่ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดมหาลัย แต่เบื้องหลังก็ช่วยหางาน Proofreader Freelance ให้กับฉันพูดออกมาอย่างเป็นห่วง เพราะงาน proof ครั้งนี้มันเยอะมากกว่าทุกครั้ง แต่จะทำไงได้เงินทองก็ต้องใช้นี่นะ ไม่งั้นก็อดตายกันพอดี
“ไม่ไหวก็ต้องไหวอ่ะพี่”
“(- -) (_ _)”
ฉันตอบกลับไปสั้นๆ พี่แกก็พยักหน้าเข้าใจ แล้วเราก็แยกกันหน้าลิฟท์ ก่อนที่ฉันจะเดินย้อนกลับไปที่ตึกอักษรฯ ที่จอดจักรยานคู่ใจเอาไว้
ฟิ้ววว~ ฟิ้ววว~ ฟิ้ววว~
เหอะ..ให้ตาย! ระหว่างที่ฉันกำลังเดินท่ามกลางแสงสลัวใน ม. ตอนใกล้จะสองทุ่ม อยู่ๆ ก็มีรถสปอร์ต 3 คันกับรถตู้ฟิล์มดำทะมึนขับผ่านไปอย่างรีบร้อน เอ่อ..นี่มหาลัยมั้ยไม่ใช่สนามแข่งรถ -_-? ให้เดารถแพงๆ พวกนั้นก็คงไม่พ้นของใครสักคนแก๊งค์เทพเจ้าอย่าง Nightshade อะไรนั่นแหงๆ ฉันเหล่ตามองนิดหน่อยแต่ไม่ได้สนใจอะไรแล้วเดินต่อ แต่ระหว่างทางดันปวดฉี่ขึ้นมาซะงั้น อืม..งั้นแวะเข้าห้องน้ำข้างลานจอดรถนี่ก่อนละกันมีป้าแม่บ้านอยู่ด้วยพอดีนี่นะ
ไวเท่าความคิด ฉันเดินเลี้ยวเข้ามาในห้องน้ำทันที แต่พอป้าเห็นฉันก็ทำหน้าตกใจเลิ่กลั่ก แล้วรีบสาดน้ำราดลงที่พื้นห้องน้ำอย่างรีบร้อน ก่อนที่ฉันจะเห็นคราบเลือดจางๆ ปนมากับน้ำที่ไหลผ่านไปและหลุดปากถามอย่างไม่คิดอะไร
“มีเรื่องกันหรอคะป้า?”
“ปะ..เปล่าหรอกจ้ะหนู ไม่มีอะไร...”
ป้าส่งยิ้มแหยๆ มาให้ฉัน แล้วรีบออกแรงขัดพื้นที่มีคราบเลือดจางๆ อยู่หลายต่อหลายครั้ง ดูหนักอยู่เหมือนกันแฮะแต่คงไม่ตายหรอกมั้ง
พอเห็นป้าแกก้มตาก้มตาขัดพื้นไปฉันเลยเดินมาเข้าห้องน้ำห้องถัดไป แต่ยิ่งเดินลึกเข้ามาก็เจอกระดุมเสื้อนักศึกษาหญิงหล่นกระจายเต็มพื้นไปหมด หึ.. หลักฐานคาตาขนาดนี้จะบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่ได้ละ ส่วนท่าทางเลิ่กลั่กของป้าแกกับรถที่พุ่งออกไปด้วยความเร็วเมื่อกี๊แบบนั้น ให้เดาไอ้แก๊งค์เทพเจ้านั่นมีเอี่ยวด้วยแหงๆ แต่ช่างเหอะ.. ฉันรีบจัดการตัวเองแล้วไปเอาจักรยานปั่นกลับห้องทันที จะได้รีบเคลียร์งานในคลาส กับงาน proof ให้จบๆ ไปคืนนี้จะได้นอนมั้ยไม่รู้ แต่ก็ยังดีที่วันนี้มันวันศุกร์ เพราะงั้นฉันยังมีเวลาปั่นงาน proof วันเสาร์ อาทิตย์อีกตั้งสองวัน
@ ร้านบะหมี่ลุงตี๋
“ลุง เหมือนเดิม!”
ฉันตะโกนสั่งบะหมี่แล้วเดินไปตักน้ำมานั่งรอ ลุงตี๋เจ้าของร้านแกก็ตะโกนตอบกลับมาอย่างคุ้นเคย
“ได้เลยไอ้โม รอแป๊บ”
เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง แถมร้านนี้ก็เป็นร้านประจำที่กินทุกวันไม่เบื่อตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมฉันเลยแวะจัดซะหน่อย แต่สมัยนี้คนในเมืองคงกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางกันไม่เป็นหรอกมั้ง ต้องไปกินตามห้างนู่นแต่ฉันไม่มีตังค์เยอะขนาดนั้นหรอก
...ก็ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ วันที่ตัดสินใจหนีจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี่ฮาร์ดคอร์สุดละ ดูนีโมมากไปไงเลยอยากจะเผชิญโลกกว้าง ถ้าไม่ได้บะหมี่ลุงไม่โตมาจนทุกวันนี้หรอกเอาจริงๆ
“อย่ากลับดึกนัก ยังไงเอ็งก็เป็นผู้หญิงนะเว้ย!”
ลุงตี๋วางชามบะหมี่ลงบนโต๊ะแล้วบ่นๆ ฉันนิดหน่อย แต่แกก็พูดไปงั้นอ่ะไม่มีหรอกแค่สไตล์คนแก่เป็นห่วงลูกหลานน่ะ
“ก่อนกลับเดี๋ยวล้างชามให้นะ” ฉันบอกออกไปเพราะทำแบบนี้ประจำอยู่แล้วแต่ลุงแกขัดประจำเหมือนกัน
“เรียนไปเถอะทำเองได้ ใกล้จบแล้วนี่” ลุงตี๋พูดพร้อมกับมองเอกสารในถุงผ้าที่ฉันแบกกลับมาด้วยอย่างรู้ทัน
“ไม่ต้องพูดมากหรอก ไม่อยากฟัง” ฉันแกล้งๆ พูดเล่นไปงั้น ลุงแกก็ขำๆ แล้วเอามือมาผลักหัวก่อนจะบ่นๆ ออกมาแล้วเดินกลับไปทำบะหมี่ต่อ
“กวนตั้งแต่เล็กจนโตนะเอ็งเนี่ย”
“เอ้า ใครสอนล่ะ!”
ฉันตะโกนตามหลังไป แล้วลุงตี๋แกก็เดินผิวปากไปอย่างอารมณ์ดี หึ.. ถ้าใครถามเรื่องครอบครัวฉัน..คนเดียวที่ดูแล้วน่าใช่ก็ลุงแกนี่แหละ ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกหลานแกก็เถอะนะ :)
ฉัน...สาวน้อยดาวเสาร์กับเรื่องวุ่นๆของ "เทพบุตรดาวพุธ" ผู้ชายถืออาวุธที่แม่หมอทำนายว่าเป็น "เนื้อคู่" ในใจก็คิดมาตลอดเลยนะว่าต้องเป็นคนในเครื่องแบบแน่ๆ แต่แล้วอยู่ๆดันหลงเข้าไปในดงมาเฟียได้ไงไม่รู้...
เพราะมีหน้าที่สำคัญต้องทำ แต่ก็โดนรุ่นน้องจอมป่วนอย่างเลโอ Nightshade มาวุ่นวาย ตามจีบไม่เว้นแต่ละวัน "ทฤษฎี 21 วัน" เลยถูกใช้เป็นไม้ตายเด็ดของฉัน คิดว่ามันจะกันคนกะล่อนอย่างหมอนี่ให้พ้นทางได้มั้ย?!
“เป็นอย่างที่เคยเป็นมันดีแล้ว” ประโยคปฎิเสธสั้นๆ ดังก้องในหัวฉันตลอดเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายที่บินกลับมาตามคำสั่งที่เจ้าตัวน่าจะลืมมันไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนึง คนที่เคยปฏิเสธ..จะเป็นฝ่ายมาขอคบกับฉันซะเอง!
แอบหื่นไปมั้ยถ้าจะบอกว่าวันเกิดปีนี้ ของขวัญอย่างเดียวที่ฉันอยากได้คือจูบที่แสนเต็มใจจากเขา... ♥ รุ่นพี่รันเวย์ของฉัน ♥ แล้วใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะจัดให้ตามนั้น แถมยังไม่ใช่แค่จูบ! ฉันได้รุ่นพี่ตัวเป็นๆเข้ามาอยู่ในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นมันบ้ามากที่จะบอกว่าอยู่ๆฉันก็ได้เป็นผู้หญิงของเขาด้วย!
“ที่พูดนี่คิดรึยัง?!” พอพายุ Nightshade พูดมาแบบนั้น ฉันเลยพยักหน้าออกไปช้าๆ แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจในคำถามนั้นเหมือนกัน “คิดแล้ว...ฉันว่าแย่กว่าการเป็นผู้หญิงของนาย คือเคยรักนายแต่จำมันไม่ได้มากกว่า”
ก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาพาฉันมาเจอกับอะไร... ทำไมอยู่ๆชีวิตฉันถึงต้องมาข้องเกี่ยวกับพวกคนรวยที่เป็นถึงทายาทมหาวิทยาลัยชื่อดังสองแห่งอย่าง Destinesia และ Vania ที่กำลังมีเรื่องบาดหมางจนแทบจะฆ่ากัน มิหนำซ้ำตัวฉันเองและใครบางคนในความทรงจำที่ฉันกำลังตามหา ก็ดันเป็นสาเหตุหลักของปัญหาที่ว่า ปัญหา...ที่ต้องแลกด้วยชีวิต ความสูญเสีย...ที่ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองก็มีส่วนในเรื่องนี้
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
หลัวเจิง ผู้ตกจากที่สูงกลายเป็นทาสที่ต่ำต้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพบวิธีฝึกในตัวเองให้กลายเป็นอาวุธโดยบังเอิญ สงครามการต่อสู้เริ่มขึ้นทันที และพึ่งพาความเชื่ออันแรงกล้าในการไม่ยอมจำนน เขาพยายามแก้แค้นและไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ นักรบจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลกและโลกก็ปั่นป่วน อาศัยร่างกายที่เปรียบได้กับอาวุธวิเศษ หลัวเจิงเอาชนะศัตรูจำนวนมากบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ในที่สุดเขาจะทำสำเร็จหรือไม่?
หน้าตาก็หล่อเหลา เท่าที่ปั้นหยาอยู่ด้วยก็คิดว่าคงจะดูไม่ผิด ฐานะคุณไม่ใช่ธรรมดา แต่ปั้นหยาก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าถึงขั้นไหน จะหาผู้หญิงมานอนด้วยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะบอกอะไรให้นะคะคุณฮัมดีนขา...” ปัณฑารีย์เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูฮัมดีน “ถึงปั้นหยาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก แต่ก็รักตัวเองเป็น แล้วผู้ชายอย่างคุณ ปั้นหยาไม่เลือกมาดูแลชีวิตปั้นหยาหรอกค่ะ คุณแก่และน่าเบื่อเกินไป” ปึก!! เข่าเล็กกระทุ้งขึ้นไปเตะกึ่งกลางกายใหญ่ ถึงจะไม่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้ฮัมดีนเจ็บได้ไม่น้อย “ช่วยไม่ได้นะคะคุณฮัมดีน คุณเป็นคนสอนให้ปั้นหยาทำแบบนี้เอง”
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"