นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น
ผู้คนมากมายเดินทางจากต่างถิ่นมุ่งหน้าเข้ามาเพื่อเที่ยวชมเทศกาลเข้าสู่ฤดูหนาวอันตระการตาของเมืองหยางโจวที่มักจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีกันอย่างเนืองแน่น ถนนทุกสายแน่นขนัดไปด้วยผู้คน เสียงผู้คนคุยกันดังแซงแซ่ เสียงโห่ร้องยินดีเมื่อได้เห็นลิงสองตัวเต้นระบำเลียนแบบท่าทางมนุษย์ เสียงปรบมือกระโดดโลดเต้นเมื่อปาลูกดอกเข้าปากโถได้สำเร็จ เสียงร้องตะโกนบอกเยี่ยม! เอาอีก! ดังขึ้นต่อเนื่องเมื่อเห็นคนหนึ่งยกค้อนขนาดใหญ่ทุบแผ่นหินบนหน้าอกอีกฝ่ายที่นอนแผ่อยู่บนพื้นจนหักครึ่ง ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งหันมองไปทิศทางใดก็ได้ยินเพียงเสียงอึกทึกครึกโครม โห่ร้องยินดี สีหน้าเบิกบาน สำราญใจของชาวเมืองหยางโจว
ช่วงย่ำค่ำผู้คนเดินกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่ก็คือผู้คนที่ออกมาเดินเที่ยวหาความสุข สำราญ เมืองหยางโจวเต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรืองมากมาย รายล้อมด้วยคฤหาสน์เศรษฐีคหบดี เหลาสุราเลิศล้ำแห่งหยางโจวและหอนางโลม ในเมืองผู้คนแออัดยามสัญจรย่อมมีการเบียดเสียดกันบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
“ฮา..นี่ก็คือผลการทำงานเพื่อบ้านเมืองของท่านพ่อข้าโดยแท้! ไม่เชื่อเจ้าก็ดูสิฝูจิ้นเงินภาษีที่ชาวเมืองหยางโจวเสียให้กับทางการท่านพ่อล้วนแล้วแต่นำมาพัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองมากถึงเพียงนี้” ชายหนุ่มรูปงาม รูปร่างสูงเพรียว ผิวพรรณขาวผุดผ่องราวกับหิมะ หน้าตางดงามราวกับสตรี ใบหน้าหวานละมุนดุจจันทร์กระจ่าง กระทั่งรอยยิ้มยังอ่อนโยน ดวงตาเรียวหงส์ นัยน์ตาดำขลับ เรือนผมสีดำสลวยเงางาม เขาเอ่ยชื่นชมบิดาของตนด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข รอยยิ้มของเขาเผยให้เห็นถึงความปลาบปลื้มกับบ่าวรับใช้คนสนิท
ชายหนุ่มที่มีหน้าตางดงาม อ่อนหวานราวกับสตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลินจินเซี่ย’ หรือคุณชายหลินบุตรชายเพียงคนเดียวของนายอำเภอหลิน ‘หลินอัน’ ปีนี้เขาอายุสิบเจ็ดปี มีนิสัยมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ใจดีและมีเมตตา อ่อนโยนกับสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิด มีอารมณ์ขัน ศิลปะทั้งสี่เขาล้วนเก่งกาจฝีมือแม้นไม่นับว่าเป็นอันดับหนึ่งแต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าอันดับสอง ทว่าวิชายุทธ์ป้องกันตัวนั้นหากมีผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจขึ้นไปถึงสวรรค์ได้ เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีผู้ที่มีฝีมือระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เฮ้อ.. อย่าได้เอ่ยถึงมันเลย ช่างน่าอับอายเกินไปแล้ว แต่ ๆ ยังมีอีกความสามารถหนึ่งที่แม้แต่ผู้เป็นบิดา และมารดาไม่รู้นั่นก็คือความสามารถในการสืบคดีแม้ไม่เก่งกาจเท่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรแต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าคนของทางการ
บ่าวรับใช้คนสนิทแย้มยิ้มภาคภูมิใจที่ตนได้เป็นคนของสกุลหลิน กล่าวว่า “ขอรับนับว่าเป็นโชคดีของชาวเมืองหยางโจวโดยแท้ และถือว่าเป็นวาสนาของข้าน้อยด้วยเช่นกัน ฮี่..”
บ่าวรับใช้คนสนิทมีชื่อว่า ‘ฝูจิ้น’ อายุสิบห้าปี ชีวิตวัยเด็กของเขานั้นรันทดแสนรันทด ตอนนั้นเขากำลังถูกพวกค้ามนุษย์จับตัวไปเพื่อขายให้กับชาวนอกด่านอย่างดินแดน ‘ซีอวี่’ หากตอนนั้นคนของทางการซึ่งนำโดยนายอำเภอเมืองหยางโจว หลินอันไม่ไล่หวดไปจนกระทั่งสามารถกวาดล้างกลุ่มค้ามนุษย์ได้ทันคาดว่าคงมีชาวเมืองหยางโจวรวมถึงชาวเมืองอื่น ๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกกลุ่มค้ามนุษย์จับมารวมกันได้ถูกขายไปยังดินแดนซีอวี่แล้ว! และหากเป็นเช่นนั้นป่านนี้ชีวิตของคนเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย!
กลุ่มคนที่นายอำเภอเมืองหยางโจวได้ช่วยชีวิตไว้ พวกคนต่างถิ่นรู้สึกสำนึกในบุญคุณที่นายอำเภอช่วยชีวิตก็ได้ขออาศัยอยู่ในเมืองโดยตั้งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ พวกเขามีการติดต่อกันกับกลุ่มคนที่เป็นชาวเมืองหยางโจวที่เมีชะตากรรมเดียวกันอยู่เป็นประจำ แม้พวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งวรยุทธ์ ไร้วรยุทธ์แต่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียวใช่ไหม? ที่บอกว่าพวกเขามิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาคอยเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องความผิดปกติภายในเมืองหยางโจวให้กับนายอำเภออย่างลับ ๆ พวกเขาเรียกตนเองว่า ‘ดวงตาสวรรค์’ หากพวกเขาพบเห็นความผิดปกติหรือความเคลื่อนไหวที่นำไปสู่ความน่าสงสัยไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็มักจะนำไปรายงานให้นายอำเภอทราบโดยตรงไม่ผ่านผู้ช่วย
การมีตัวตนของพวกเขา มีเพียงนายอำเภอเมืองหยางโจว หลินอันเท่านั้นที่รู้ว่ามีองค์กรนี้อยู่ ไม่เพียงคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวที่อาจนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยของชาวเมืองหยางโจวแล้ว พวกเขายังแบ่งคนอีกจำนวนหนึ่งคอยแอบติดตามดูแลความปลอดภัยให้กับหลินจินเซี่ยอีกด้วย
หนี้สินชำระยาก หนี้บุญคุณยากชำระ ดังนั้นฝูจิ้นจึงตั้งปณิธานกับตนเองเอาไว้ว่า ‘ชั่วชีวิตนี้แม้ต้องตายก็จะต้องตายเพื่อสกุลหลิน’ ในเมื่อเรื่องของเขาเป็นเช่นนี้แล้วยังมีเหตุผลใดไม่ให้เขารู้สึกซาบซึ้ง และภูมิใจที่ได้เป็นคนสกุลหลินได้อีกเล่า?
หลินจินเซี่ยรู้สึกหมั่นไส้กับรอยยิ้มภาคภูมิใจของบ่าวรับใช้จึงยกมือขึ้นแกล้งตบท้ายทอยอีกฝ่ายไปหนึ่งฉาดแต่กลับไม่ได้ลงน้ำหนักที่ฝ่ามือแรงนักเหมือนท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเขา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “บอกเจ้ากี่ครั้งแล้วเวลาข้าเอ่ยชมท่านพ่อห้ามเจ้ายกหางตนเองเอ่ยชื่นชมคล้อยตามข้าน่ะฮึ!”
“ขอรับ ๆ ข้าน้อยผิดไปแล้ว อ๊ะ!..คุณชายท่านดูนั่น!” ฝูจิ้นหันมองไปทางทิศตะวันออกของเมืองเห็นดอกไม้ไฟดอกหนึ่งรูปร่างผิดแปลกไปจากพวกปรากฏขึ้นอีกฟากหนึ่งของเมืองจึงชี้นิ้วไปที่ดอกไม้ไฟดอกนั้น
ดอกไม้ไฟทั่วไปมักเป็นรูปดอกไม้ ไม่ก็เป็นรูปสัตว์อย่างหมา แมวอะไรพวกนั้น แต่ดอกไม้ไฟที่ฝูจิ้นเห็นกลับมีรูปร่างเป็นตัวอักษรคำว่า ‘อัน’ ซึ่งหมายถึงความสงบสุข ทว่าในความหมายมักตรงกันข้าม ผู้คนทั่วไปที่ไม่รู้ความหมายก็มักจะเห็นเป็นคำอวยพรตรงตัวทั้งยังพูดกันถึงความหมายไปต่าง ๆ นานาว่า “ดูพลุดอกไม้ไฟดอกนั้นสิความหมายดีมากเชียว!”
“สงบสุข ร่มเย็น!..”
“สงบสุข ร่มเย็น!..” ทุกคนต่างพร้อมใจกันตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
แต่หลินจินเซี่ย กลับไม่คิดเช่นนั้นเขาหดม่านตาลง ย่นคิ้วครุ่นคิดและถอนหายใจหนักอึ้งออกมา ฝูจิ้นหันมองเอ่ยเสียงเครียด “คุณชายมีเรื่องหรือขอรับ”
ทันทีที่ดอกไม้ไฟตัวอักษรคำว่าอันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่มืดมิดชนิดยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า หลินจินเซี่ยก็รู้แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุร้ายขึ้นในเมืองหยางโจว อย่างแน่นอน! อีกทั้งทิศทางนั้นก็มาจากทางทิศตะวันออกของเมือง เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างหนึ่งขึ้นจึงสั่งให้ฝูจิ้นไปนำม้ามา
พลุสัญญาณทะยานขึ้นจากทิศทางใด ทิศทางนั้นย่อมเป็นจุดเกิดเหตุ..
หลินจินเซี่ยไม่ตอบคำ ฝูจิ้นเห็นสีหน้ากังวลใจของผู้เป็นนายก็ไม่อาจชักช้าอืดอาดได้อีกต่อไปเมื่อได้ยินคำสั่งเขาก็รีบหันร่างจากไป แม้ว่าหลินจินเซี่ยจะชื่นชอบการชมดอกไม้ไฟมากเพียงใดก็จำต้องพักเอาไว้ก่อน
สิ้นคำ ด้านหลังหลินจินเซี่ยก็มีกลุ่มคนของทางการวิ่งห้อตะบึงจนพื้นดินสั่นสะเทือน มุ่งหน้าไปยังทิศทางตะวันออกของเมือง ฝีเท้าหลายสิบคู่เหยียบย่ำวิ่งผ่านก่อให้เกิดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามถนนฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณทำให้ผู้คนที่ยืนออกันอย่างเนืองแน่นต่างขยับเท้าหลบหลีกกันอย่างอลม่าน ผู้คนในเมืองต่างแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่มาอย่างกะทันหันไม่ได้ตั้งตัว บ้างยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่ลอยฟุ้ง บ้างยกมือขึ้นปิดจมูก ดวงตาเบิกกว้าง
ไม่นานฝูจิ้นก็กลับมาพร้อมกับม้าสองตัวหลินจินเซี่ยพลิกกายขึ้นควบขี่ม้า ดึงเชือกบังเหียนขึ้นทีหนึ่งพร้อมตะโกนว่า ไป!.. มุ่งหน้ากลับจวนสกุลหลินทันที เพราะพลุดอกนั้นทำให้คุณชายผู้อ่อนโยนและมีรอยยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
หน้าจวนมีม้าหลายตัวยืนสะบัดหางไปมา คนของทางการสองคนยืนคุมอยู่สองข้างประตูใหญ่ของจวน หลินจินเซี่ยดึงบังเหียนม้าทีหนึ่งให้ม้าหยุด เขากระโดดลงจากหลังม้าวิ่งไปที่ประตูใหญ่ คนของทางการสองคนเห็นคนที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาเป็นคุณชายสกุลหลินจึงไม่ได้ขัดขวางปล่อยให้เขาเข้าไปพร้อมกับบ่าวรับใช้อีกคน
หลินจินเซี่ยหันไปถามยามเฝ้าหน้าประตูคนหนึ่งน้ำเสียงตื่นตระหนก “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?!”
ยามเฝ้าหน้าประตูผู้นั้นตอบเสียงเบา สีหน้าเศร้าหมองว่า “มีคนร้ายบุกเข้ามาขอรับ”
สายลมฤดูหนาวพัดโชยสร้างความหนาวเย็นเยือกจนร่างสั่นสะท้าน สร้างบรรยากาศน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆสีดำทะมึน พากลิ่นคาวเลือดฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ บรรยากาศภายในโดยรอบ อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ไม่ว่าใครประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ก็ย่อมสะเทือนใจจนทนไม่ไหว
เมื่อหลินจินเซี่ยก้าวเท้าเดินเข้าไปยังลานสวนหน้าเรือนหลักภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็คือคนของทางการกำลังช่วยกันเก็บศพของคนตายไปกองรวมกัน หลินจินเซี่ยเดินลากเท้าที่อ่อนแรง ห่อไหล่เข้าไปจับไหล่ของคนของทางการคนหนึ่งหลังจากวางศพแล้วเอาไว้แน่น นัยน์ดวงตาของเขาสั่นไหว ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดเอ่ยเสียงสั่นถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าล่ะพวกท่านอยู่ที่ใด? พวกท่านอยู่ที่ใด!”
“คุณชายหลิน..” คนของทางการไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างไรดี สีหน้าของเขาก็ฉายแววเจ็บปวดและเสียใจเช่นกัน
ตอนนั้นผู้ช่วยนายอำเภอเดินตามระเบียงทางเดินออกมาหันไปเห็นหลินจินเซี่ยพอดีจึงสาวเท้าเร็วรี่เข้าไปหา เขาส่ายหน้าและถอนหายใจยืดยาวแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง น้ำเสียงเศร้าสลดว่า “หลานชายเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องไม่คาดฝัน เจ้าไปดูเองเถอะ ตอนนี้ยังพอมีเวลาได้ดูใจบิดาเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ผู้ช่วยนายอำเภอเมืองหยางโจวมีนามว่า ‘เกาจงเฉิง’ อายุห้าสิบปี รูปร่างอ้วนพี พุ่งยื่นเวลาเดินอุ้ยอ้ายส่ายพุงไปมา คิ้วบางนัยน์ตาลึก โหนกแก้มสูง ปากหนา คางสั้น นิสัยขี้ประจบ ทะเยอทะยาน รับหน้าที่ผู้ช่วยนายอำเภอมายี่สิบปีไม่ก้าวหน้าแม้พยายามหลายครั้งเพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ดูใจเป็นครั้งสุดท้าย’ นั่นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าบิดาของเขายังมีลมหายใจอยู่! เขายังไม่ตาย!
หลินจินเซี่ยเดินตามผู้ช่วยเกาจงเฉิงไปยังเรือนทางปีกซ้ายด้วยฝีเท้าค่อนข้างเร็ว ไม่นานก็มาถึง ห้องที่พวกเขามาก็คือห้องหนังสือและเป็นห้องที่นายอำเภอหลินใช้เป็นห้องทำงานภายในห้องถูกจุดเทียนให้ความสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง สภาพข้าวของภายในห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย วางระเกะระกะทั่วห้องหากต้องการเดินผ่านจำต้องเขี่ยข้าวของที่วางขวางเท้าออกไปให้พ้นทาง หลินจินเซี่ยยืนอยู่หน้าประตูเดิมทีเรี่ยวแรงก็แทบยืนไม่ไหวอยู่แล้ว ทันทีที่มาถึงและเห็นบิดานั่งหน้าผลุบหายใจรวยรินอยู่กับโต๊ะทำงานเขาไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไปรีบสาวเท้าก้าวฉับ ๆ เดินปรี่เข้าไปสวมกอดแผ่นหลังของผู้บิดาด้วยน้ำตานองหน้า
“ท่านพ่อท่านอดทนไว้ เข้มแข็งไว้ข้าจะพาท่านไปหาหมอ.. ฮือ ๆ อดทนไว้ข้าจะพาท่านไปหาหมอเอง ข้าจะพา.. ฮึก ๆ ” แม้ว่าหลินจินเซี่ยจะรู้ดีว่าด้วยอาการบาดเจ็บของผู้เป็นบิดาจะแย่มากถึงขั้นทนไม่ไหวแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังพยายามฉุดผู้เป็นบิดาให้ลุกขึ้น แม้จะเป็นการไร้ประโยชน์ก็ตาม แต่เขาก็ยังพยายามที่จะรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น(1)ภายใต้สายตาของคนหลายคนที่จ้องมองเขาอย่างเวทนาและสงสาร
นายอำเภอหลินส่ายหน้าเชื่องช้าเขาข่มกลั้นความเจ็บปวดเอ่ยเสียงแผ่วติด ๆ ขัด ๆ ว่า “ไม่มีประโยชน์..”
ริมฝีปากของเขาสั่นระริกด้วยความเสียใจ เขาได้แต่กล่าวโทษตนเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้เป็นบิดาได้ วรยุทธ์ก็ไม่เอาไหนอย่าว่าแต่ไม่เอาไหนเลยเขาไม่เป็นวรยุทธ์ด้วยซ้ำ เขานับเป็นตัวอะไรเป็นตัวไร้ประโยชน์โดยแท้..
สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความท้อแท้สิ้นหวัง สิ้นหวังที่ไม่อาจช่วยชีวิตบิดาได้
ฝูจิ้นยืนอยู่ข้าง ๆ สองมือรวบกำแน่นใบหน้าแดงก่ำ แววตาฉายประกายเกรี้ยวโกรธคับแค้น ขยับเท้าเข้าใกล้หนึ่งก้าวย่างเอ่ยเสียงเศร้าปนปลอบใจว่า “คุณชาย..ฮือ ๆ นายท่าน ๆ”
หลินจินเซี่ยร่ำไห้จนตัวสั่นไปทั้งร่าง ศีรษะของบิดาและบุตรชายใกล้ชิดกันไม่ถึงชุ่น ในขณะที่นายอำเภอหลินยังพอมีลมหายใจและสติอยู่เขาฝืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายแอบกระซิบบอกบางอย่างกับบุตรชายว่า “สมุดบัญชีรายชื่อ ผู้ช่วย.. แม่..” เขาพูดได้เพียงเท่านั้นก็สิ้นใจตายไปเสียก่อนที่จะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ
ทันทีที่มือข้างหนึ่งของบิดาที่วางเอาไว้บนหน้าขาของบุตรชายตกลงไปห้อยแกว่งไกวในอากาศ หลินจินเซี่ยก็ไม่อาจข่มกลั้นความเสียใจเอาไว้ได้อีกต่อไปเขาแหงนหน้าขึ้นมองเพดานห้องร้องตะโกนด้วยเสียงดังจนแทบขาดใจ “ไม่!..ท่านพ่อ.. ฮือ ๆ”
เขาพร่ำบ่นในใจว่า ทำไม? ทำไมเหตุการณ์เช่นนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาด้วย!
แม้แต่ฝูจิ้นก็ยังอดร่ำไห้ตามไม่ได้ เขาคุกเข่าลงนั่งกับพื้นกอดขาผู้เป็นนายปากก็ร้องตะโกนว่า “นายท่าน!” จนสุดเสียงผสมปนเปไปกับเสียงร่ำไห้
จังหวะเดียวกันระหว่างที่ผู้ช่วยนายอำเภอเกาปล่อยให้สองคนพ่อลูกได้อำลากันเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็ได้กลอกตามองไปทางผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งแววตานั้นฉายประกายมีเลศนัยบางอย่าง และผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นก็ส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้าเป็นการตอบ
หลินจินเซี่ยยกแขนเสื้อทรงกว้างขึ้นเช็ดน้ำมูกที่กำลังไหลย้อยเกือบพ้นริมฝีปากบนออก หันไปถามผู้ช่วยนายอำเภอน้ำเสียงสั่นและพยายามข่มกลั้นเสียงสะอื้นไห้ว่า “แล้วท่านแม่ของข้าเล่านางเป็นเช่นใดบ้าง”
“ล้วนไม่รอด.. นางสิ้นใจไปก่อนแล้ว” ผู้ช่วยนายอำเภอเกาจงเฉิงเอ่ยตอบพร้อมส่ายหน้าน้ำเสียงหดหู่ “หลานชายไปดูนางเป็นครั้งสุดท้ายเถิด”
ก่อนที่ผู้ช่วยเกาจงเฉิงจะนำทางหลินจินเซี่ยไปดูศพของผู้เป็นมารดาเขาก็เรียกผู้ใต้บังคับบัญชาให้เข้ามาในห้องสองคน สั่งให้พวกเขานำศพของนายอำเภอหลินไปไว้ที่โถงเปิดโล่งด้านหน้า หลังจากสั่งงานเสร็จสิ้นก็เดินนำอีกฝ่ายไปยังโถงหลักทันที
...................................................................................................................................................................
รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น เป็นสำนวน รู้ทั้งรู้ว่าหมดหนทางเยียวยา แต่ก็ยังมีความหวัง