“เธอเป็นผู้หญิงของเขา แล้วเคยเจอเขาหรือเปล่า รู้หรือว่าเขาเป็นคนยังไง” “ทำไมจะไม่รู้ ถึงเขาจะแก่ แต่ฉันชอบเขา คุณใหญ่ใจดี ไม่หยาบคายอย่างนาย จำไว้นะ อย่าบังอาจแตะต้องตัวฉันอีก ไม่งั้นฉันจะฟ้องเขาให้สั่งคนจับนายยิงเป้า” หล่อนประกาศก้อง คนร่างใหญ่ถึงกับยืนจังงัง หากปิ่นลดาตีความไปว่าเขากำลังกลัวโทษที่หล่อนขู่ “อย่าตามมานะ ถ้าไม่อยากตาย” หล่อนถอยอีกสามก้าว ก่อนหันกายวิ่งหนี ร่างน้อยในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เห็นลางๆ ในคืนเดือนมืดจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง คนข้างหลังมองตาม ดวงตาคมหรี่ลง กระตุกยิ้มอย่างจอมวายร้าย อย่างนี้จะพึ่งเทคโนโลยีผลิตเลือดเนื้อเชื้อไขให้โง่ทำไม ก็หล่อนร่ำร้องอยากเป็นผู้หญิงของนายใหญ่ใจจะขาดแล้ว!
สายลมหนาวกระโชกแรง เสียดเสียงหวีดหวิวเป็นระยะ ท่ามกลางความเงียบสงัดที่โอบล้อมบ้านปูนชั้นเดียวขนาดหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำและหนึ่งห้องรับแขก ขนาดช่างกะทัดรัดเหมาะเจาะกับการอยู่คนเดียวเสียจริง ปิ่นลดาคงอุ่นใจกว่านี้หากที่พักพิงแห่งใหม่จะมีเพื่อนบ้านในระยะสายตามองเห็น...ไม่ใช่ตั้งอยู่ชิดขอบกำแพงสูงที่ล้อมคฤหาสน์ใหญ่ที่เห็นดำทะมึนอยู่เบื้องหน้า
คฤหาสน์ใหญ่โต หรูหรา ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางวัน หากมืดสนิทในทุกค่ำคืน
หญิงสาวเอื้อมปิดหน้าต่าง ปิดกั้นความหนาวเย็นและมืดสนิทของบรรยากาศด้านนอกที่จะแทรกผ่านเข้ามา แล้วมองหนังสือในมือจากแสงนวลของโคมไฟส่อง หนังสือเล่มเดียวที่ติดกระเป๋าเสื้อผ้ามาจากบ้านซึ่งสร้างความเพลิดเพลิน สิ่งเดียวที่ช่วยคลายเหงาและลดทอนความหวาดหวั่นที่มักจู่โจมเข้ามายามความคิดระแวงผุดแทรก และเหมือนมันจะถี่ขึ้นในพักหลังอย่างที่เธอไม่อาจหักห้ามตัวเอง
“งานพี่เลี้ยงเด็ก”
เธอพึมพำกับตัวเอง ก้มมองร่องรอยการใช้งานอย่างหนักของหนังสือ ไล้มุมกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับ ใช้เรียวนิ้วคลี่มันออก แล้วปิดลง หยิบวางตรงโต๊ะหัวเตียง ปีนขึ้นเตียง ทอดกายนอน พยายามหลับตา กว่าชั่วโมงที่เธอจะหลับใหล ไม่ต่างจากสิบกว่าวันก่อนนับจากมาอยู่ในบ้านหลังเล็กสีฟ้านี้
กระดาษเก่าคร่ำคร่าถูกวางบนโต๊ะไม้เนื้อดีในห้องทำงานขนาดกว้างขวางทางปีกขวาบนชั้นสองของคฤหาสน์ โดยผนังด้านหนึ่งของห้องมีประตูเชื่อมติดกับห้องนอนใหญ่สุด
“เอาแน่แล้วใช่ไหม”
“ทำไมถามอย่างนี้ คิดว่าฉันจะลังเล เปลี่ยนใจปล่อยผู้หญิงคนนั้นกลับไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ” รัชตะพูดพลางวางมือเรียวแข็งแรงจากงาน เงยหน้ามองคนถาม
“เห็นนายทิ้งเรื่องนี้ไว้นาน นานจนฉันคิดว่านายใจดีปล่อยเงินก้อนโตให้นายวัฒนะเอาไปกินฟรี แล้วยังใจดีปล่อยสมบัติของพ่อให้คนมาชุบมือเปิบ”
ท้ายเสียงมีแววประชดประชัน จนคนนั่งบนเก้าอี้หนังสีดำหลังโต๊ะปรายตาคมกริบมองคนร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกันที่ยืนอิงหน้าต่างห้องทำงานเขา
“ฉันไม่ปล่อยให้นายชวดมรดกเพราะเงื่อนไขบ้าๆ นั่นหรอกน่า”
“อย่าทำใจดีหน่อยเลย ความจริงนายก็อยากได้มันด้วยใช่ไหม ถึงจะเป็นแค่เสี้ยวเดียวที่นายมีอยู่ แต่นายไม่มีวันตัดใจจากทรัพย์สินของพ่อเราได้หรอก”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” เจ้าของคำพูดหลุบตาลง เขามีเหตุผลที่ไม่อาจบอกใคร...เพราะตนเองก็ยังไม่มั่นใจมันเหมือนกัน “นายรู้เพียงว่าฉันจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อ และเราก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน”
“ใช่ ฉันจะได้สมบัติของพ่อ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่ขังจมอยู่ ส่วนนายโชคดี ได้จากคุณแม่มาลงทุน สร้างกิจการจนร่ำรวยมหาศาลไปแล้ว”
“พูดยังกับว่าถ้าไม่มีมันแล้วนายหมดทางทำกิน” เจ้าของห้องส่งเสียงกลั้วหัวเราะ “ถึงแม้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ได้ส่วนของคุณพ่อ นายก็สามารถสร้างมันเองได้ ตอนนี้นายก็ล่ำซำพอตัวแล้ว อีกอย่างฉันไม่มีวันทิ้งนายให้กลายเป็นยาจกข้างถนน สบายใจได้ น้องรัก”
“ถ้าจะรักฉันมากกว่านี้ นายก็ไปเร่งทำให้บรรลุเงื่อนไขของตาแก่นั่นเร็วๆ ฉันเบื่อการรอคอย...สำเร็จเมื่อไหร่ เราต่างคนต่างได้ แม้แต่ลูกหนี้ชั้นเลวของนายที่เอาลูกสาวมาแลกก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะฉันจะเลิกเอาระเบิดไปหย่อนเล่นที่ประตูรั้วบ้านสักที”
“พูดเรื่องนี้ก็ดี” คนร่างใหญ่ขยับตัวนั่งตรง น้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งกับคนบ้านนั้น เพราะฉันตกลงล้างหนี้ของนายวัฒนะแล้ว ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่”
คนถูกสั่งเพียงไหวไหล่ เหมือนว่าตนยังไงก็ได้ เพราะคนที่พูดถึงไม่มีความน่าสนใจและไม่สำคัญพอที่เขาจะติดใจ ในเมื่อพี่ชายฝาแฝดบอกให้จบ คนอย่างรัชภาคย์ก็จบได้เหมือนกัน
“ฉันกลับละ จะไปนอนเล่นแก้เบื่อที่เหมืองสักหน่อย”
ว่าจบ คนร่างสูงใหญ่ในเสื้อผ้าเนื้อหนาเก่าปอนแต่ดูน่าจะสบายพอตัวก็เดินผ่านไปอย่างง่ายดาย ทิ้งคนข้างหลังให้มองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนเขาจะหมุนเก้าอี้ไปทางด้านข้าง มองออกนอกหน้าต่างที่กรุกระจกนิรภัยซึ่งน้องชายยืนอิงเมื่อครู่ ภาพที่เห็นเป็นบ้านหลังเล็กสีฟ้าที่อีกไม่นานหรอกเขาจะเหยียบกรายไปหา
สายลมหนาวพัดเกรียวเข้ามาในเวลาบ่าย ปิ่นลดาห่อกายเมื่อความเย็นแทรกผ่านเสื้อไหมพรมเนื้อหนาที่เตรียมมาพร้อม ก่อนเดินทางหล่อนศึกษาข้อมูลอากาศ รวมทั้งภูมิประเทศของสถานที่ทำงานแห่งแรกในชีวิตนี้ค่อนข้างละเอียด
ระยะนี้ หล่อนรู้จากข่าวในทีวีว่าความกดอากาศสูงในประเทศจีนพัดผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทางตอนเหนือ ทำให้อุณหภูมิลดต่ำอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ปิ่นลดาจึงไม่พลาดที่หยิบบรรดาเสื้อหนาวที่นานๆ ครั้งจะได้ใช้ยามอยู่บ้านในกรุงเทพฯ มาพับใส่กระเป๋า ก่อนเดินทางโดยเครื่องบินมาลงที่สนามบินประจำจังหวัด แล้วต่อด้วยรถยนต์ที่ไปรอรับเธอเพื่อมายังที่แห่งนี้
ความจริงแล้วเมืองเชียงราชซึ่งเป็นเมืองชายแดนในภาคเหนือของไทยก็ใหญ่พอ แถมมีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากยิ่งกว่าตัวเมืองของจังหวัด เพราะถูกวางเป็นเป้าหมายในการพัฒนา เป็นประตูเมืองในการเปิดการค้าเสรีในกลุ่มประเทศแถบนี้ จนสามารถมีท่าอากาศยานนานาชาติตั้งอยู่ แต่เนื่องจากสายการบินภายในประเทศมีน้อยและราคาค่อนข้างสูง หล่อนจึงเลือกลงที่สนามบินของจังหวัดแทน แล้วนั่งรถต่อมายังเมืองนี้ แม้ระยะทางจะไกลหน่อย แต่ประหยัดได้หลายพันบาททีเดียว
เมื่อสิบกว่าวันก่อน ปิ่นลดายังตื่นตากับบรรยากาศสวยงาม ไร่ผลไม้กว้างสุดลูกหูลูกตาที่ปลูกในพื้นที่ราบระหว่างหุบเขา เมื่อทอดสายตาออกไปไกลๆ หล่อนยังเห็นความอุดมสมบูรณ์ของพรรณไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นงดงามแซมจนทั่ว
กระทั่งรถแล่นผ่านสะพานคอนกรีตที่สร้างตัดแม่น้ำสายหนึ่ง แม่น้ำสายเล็กแต่มีน้ำไหลผ่านสมบูรณ์ รถยนต์แล่นตรงมาอีกไม่กี่ร้อยเมตร หญิงสาวก็เห็นคฤหาสน์ใหญ่สีแดงอิฐมาแต่ไกล รูปทรงเมดิเตอร์เรเนียนที่ดูน่าทึ่งถูกปลูกสร้างอย่างโดดเด่น ท่ามกลางความเขียวขจีของทิวเขาที่โอบล้อม ปิ่นลดาตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น และยิ่งพอใจเมื่อรู้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ทำงานของตน
เมื่อ พราวพิชชา สาวสวยจากเมืองเพิร์ท กลับมายังเชียงราช โดยใช้สิทธิ์ลาพักร้อนสิบห้าวันมาทำภารกิจบางอย่าง...ทั้งหมดก็เพื่อน้องสาว อะไรๆ ก็เป็นไปตามแผน มันดูสำเร็จไม่ยาก แต่แล้วก็มีมนุษย์ป่าเถื่อนอย่าง รัชภาคย์ โผล่มาทำให้แผนของเธอล่มไม่เป็นท่า พราวพิชชาคิดว่าตัวเองแกร่งพอ รับมือเขาได้แน่นอน คราวนี้จะตอกกลับเขาให้หน้าหงาย สมกับที่เคยกวนอารมณ์เธอมาแล้วครั้งหนึ่ง แค่สบโอกาสเถอะ เธอจะจัดการให้อยู่หมัด แล้วจะเป็นไปได้แค่ไหน... เมื่อพราวพิชชาไม่รู้เลยว่าคู่ปรับเก่าอย่างรัชภาคย์มีแผนอะไรอยู่ในใจ เกมนี้เธอจะได้เอาคืนเขา... หรือจะเป็นเขาที่ทำให้ชีวิตเธอพลิกคว่ำคะมำหงายตลอดการลาพักร้อนกันแน่ ----------- "คนท้องคนไส้...หมายถึงลดางั้นหรือคะ ลดาท้องหรือ" "อ้าว! ไม่รู้เหรอว่าน้องสาวคุณท้องจนจะคลอดแล้ว คุณป้า" พราวพิชชา ถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำพูดสวนของ รัชภาคย์ เธอตั้งใจจะไม่สนใจมนุษย์ป่าเถื่อนคนนี้อยู่แล้ว แต่วาจาเราะร้ายที่กระทบโสตประสาท ไม่อาจทนไหวจริงๆ แล้วชายชราที่ดูน่าเกรงขามก็ห้ามทัพ...เป็นครั้งที่เท่าไหร่เธอก็ไม่ได้จำ "นายเล็ก หยุดพูดสักห้านาทีเถอะ คุยไม่รู้เรื่องกันพอดี" ท่านชายปราม แล้วถามแขกสาว "ชื่ออะไรล่ะหนู จะได้ให้เด็กบอกนายใหญ่ถูก" "พราวพิชชาค่ะ พี่สาวของลดา" "ชื่อยังกะลิเก" เสียงเปรยเข้าหูในระยะประชิด พราวพิชชาต้องกลั้นอารมณ์อีกรอบ...
"คุณจะทำอะไร" บัวบูชา ถามเสียงตื่น ถ้าเขายังรังแกกันอีก เธอจะสู้จนขาดใจ หากสิ่งที่เขาบอกนั้นทำให้หญิงสาวชะงัก ไม่มั่นใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า "ผมจะใส่กางเกงให้คุณ" "ไม่ต้อง ฉันไม่ให้คุณใส่" "นั่งนิ่งๆ เถอะ" แม็กซ์เวล ดึงข้อเท้าขาวสะอาดทั้งสองข้างเข้าหาตัวเอง จนเธอร้องวี้ด ถลารูดไปบนโซฟา แล้วยันกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ขณะที่คนตัวใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาจะสวมกางเกงยีนให้โดยไม่สนใจว่าเธออยู่ในสภาพไหน กระทั่งกางเกงยีนกระชับเรือนร่างถูกดึงผ่านสะโพกผายตึงและก้นงามงอนได้สำเร็จ มือแข็งแรงจึงรูดซิบแล้วติดกระดุมให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย... ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยที่สายตายังจับอยู่ที่ผลงานตัวเองอย่างพอใจ "เสร็จสักที ตอนถอดไม่เห็นยากอย่างนี้เลย"
"เฮีย" เสียงเล็กๆ จากเด็กหญิงทำให้ฉัตรฉายยิ้มกว้างอย่างชอบใจ เขาตรงไปหาแล้วนั่งยองๆ บนส้นเท้า สายตาระดับเดียวกับเด็กน้อย "ว่ายังไงคะ แตงหวานคิดถึงเฮียไหม" "คิดถึง คิดถึงเฮีย" เด็กน้อยพยายามพูด ตั้งใจบอกให้เขารู้ความคิดถึงของตัวเอง ฉัตรฉายเอื้อมมือไปหา เมื่อเด็กหญิงไม่ปฏิเสธ เขาจึงค่อยๆ อุ้มแกขึ้นมา ก่อนจะพูด...เหมือนว่าสื่อกับเด็กน้อยเท่านั้น "วันนี้แตงหวานต้องหยุดเล่นก่อน เพราะเฮียมีงานต้องทำ แตงหวานช่วยเฮียทำงานด้วย...ได้ไหมคะ" "ได้ค่ะ" เจ้าตัวน้อยรับคำแล้วปรบมืออย่างชอบใจอีกต่างหาก ญาณินยืนอึ้ง จับทางยังไม่ถูก มองเจ้าของบ้านที่อุ้มหลานสาวเดินลิ่วเข้าบ้านไปแล้ว จนได้สติถึงเร่งฝีเท้าตาม เดินขึ้นบันไดไปจนเขาผลักประตูห้องหนึ่ง "ส่งแตงหวานมาให้ฉันเถอะค่ะ คุณทำงาน แกจะกวนคุณ" "ใครบอกกันล่ะ แตงหวานจะช่วยเฮียทำงานใช่ไหมคะ" ตอนท้ายถามความเห็นจากคนในอ้อมแขน ซึ่งไม่ผิดหวัง มีเสียงตอบรับในทันทีเช่นกัน "ใช่ค่ะ...แตงหวานทำงาน" อะไรกันนี่ แม่หลานสาวจอมป่วนจะมาสนุกอะไรกันตอนนี้ ญาณินถึงกับทำหน้าปั้นยาก อ่อนใจกับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก "มีงานสำหรับเธอด้วย สนใจไหม อย่างน้อยก็เป็นค่าเช่าบ้าน ค่าอาหารวันละสามมื้อ"
เมื่อคนแปลกหน้า นัยว่าเป็นเศรษฐีใหม่เข้ามาในเชียงราช เขากว้านซื้อบ้าน ที่ดินและทรัพย์สินที่ตกทอดมาตั้งแต่ต้นตระกูลของ ณิชา ไป ทายาทที่เหลือเพียงคนเดียว แถมยังสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างเธอจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำใจยอมรับ คิดจะหลีกทางให้อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวที่สุด แต่นั่นไม่นับรวมถึงการถูกทำร้ายจิตใจ ดูหมิ่นเกียรติไม่เว้นวัน มันทำให้ณิชาสุดจะทน...จากที่คิดจะถอยอย่างสงบ จึงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง คอยดูนะ เผลอเมื่อไหร่ ณิชาคนนี้จะตลบหลัง เอาทุกอย่างคืนมาให้หมด! ส่วน ไรวินทร์ คนอย่างเขาคงไม่เหมาะกับการปิดทองหลังพระจริงๆ สำหรับแม่คุณหนูตกอับอย่างณิชาคงเข้ากับสำนวนไทยที่ว่าทำคุณบูชาโทษแท้เชียว เมื่อเสียเงินไปก็มาก แต่เจ้าตัวยังทำตัวร้ายกาจไม่เลิก เขาก็หมดความอดทนได้เหมือนกัน แม่จอมวายร้าย งั้นมาลองดูกันสักตั้งไหม ว่างานนี้ใครจะอยู่หรือใครจะไป! .................... “ตกใจที่ฉันรู้ใช่ไหม จะบอกให้ว่าขณะที่คุณอวดตัวว่ารู้เรื่องของฉัน การเคลื่อนไหวของคุณ เรื่องของคุณก็ไม่เป็นความลับ สำหรับฉันเหมือนกัน ฉันรู้ว่าคุณเข้ามาเชียงราชทำไม เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐาน แต่ถ้าฉันหาได้เมื่อไหร่จะส่งให้ตำรวจ อย่าคิดจะมาสร้างเครือข่าย สร้างอิทธิพลในเมืองนี้ได้ สักวันคุณจะตกเป็นผู้ร้ายที่ถูกส่งตัวข้ามแดนกลับไปรับโทษ” คำขู่ดุเดือดจากคนร่างกลมกลึงอรชร มันทำให้ ไรวินทร์ นึกอยาก...สั่งสอนให้รู้จักเขาเสียเดี๋ยวนี้ ชายหนุ่มเดาะลิ้น ปรายตามองแม่แมวน้อยที่กำลังสู้สายตาอย่างไม่ยอมแพ้ นึกพอใจในความเก่งกล้าของ ณิชา อย่างถึงที่สุด มันช่างผิดกับภาพแรกที่เห็นลิบลับ... แล้วอยากรู้ต่อมาว่าภายใต้ผิวขาวนวลแลดูบอบบาง กับท่าทางนิ่มนวลนั้น หล่อนจะซ่อนไฟร้อนอยู่สักขนาดไหน ซีรีย์ชุด สิงห์หนุ่มแห่งเชียงราช
การพบเจอกันครั้งนี้ของ สไลลา กับ ดร.อนล นั้น ไม่ใช่ครั้งแรก ทว่าสองคนเคยเจอกันนานแล้ว เพียงแต่สถานะในวันวานกับวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ------------ ดร.อนล จบปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการด้านการเงินในธนาคารพาณิชย์ และรับช่วงดูแลธุรกิจส่งออกของครอบครัว ปากกับใจตรงกัน จนบ่อยครั้งที่ถูกมองว่าเป็นคนปากร้าย นิสัยเอาแต่ใจตัวเองตามประสาลูกชายคนโตที่ได้ดังใจพ่อแม่เกือบทุกอย่าง จนเกือบจะมองตัวเองเป็นแกนโลกอยู่ละ...อีกนิดเดียว แต่พอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ตรงที่จริงใจกับเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง ที่สำคัญจริงจังและมั่นคงกับความรู้สึกที่มีต่อ...สไลลา ------------- สไลลา อาชีพพนักงานขายคอนโด มีฝีมือทำขนมหวานเป็นเลิศ แต่อาหารคาวไม่ได้เรื่องเลยสักนิด พื้นฐานครอบครัวค่อนข้างดี พ่อและพี่ชายเป็นนายแพทย์ แต่ด้วยความที่พ่อและแม่แยกทางกัน เธอจึงต้องย้ายตามแม่ไปอยู่ที่อเมริกา การใช้ชีวิตที่นั่นไม่ง่ายนัก บ่มเพาะให้เธอกลายเป็นคนเงียบขรึม เข้มแข็งเกินตัว แต่ก็มีหนุ่มนักเรียนไทยที่ชื่ออนลชอบมากะเทาะความรู้สึกบ่อยๆ จนเธอย้ายกลับเมืองไทย แล้วได้เจอกับเขาอีกครั้ง...ความสัมพันธ์ก็ถูกเริ่มขึ้นใหม่ แต่ยังไงๆ ก็ไม่ได้ทำให้สไลลาปลื้มเขามากกว่าเดิมเลย ก็ปากร้ายขนาดนั้น แถมไม่มีความหวานกันสักนิด ติดจะกระแนะกระแหนเธอด้วยซ้ำ จนไม่มั่นใจละว่า เขาเข้ามาหาเธอในครั้งนี้ เพราะต้องการอะไรกันแน่
ผ่านมาเกือบสี่ปี แทบไม่มีวันไหนเลยที่เราไม่คิดถึงเขา... กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงวันที่อ่านข้อความจากเขา มันเป็นข้อความสุดท้ายที่เขาตอบกลับมาหลังจากที่หล่อนทักไปหาเพื่อจะบอกเรื่องสำคัญ ไปรยาจดจำได้ทุกจังหวะความคิดและความรู้สึกในเวลานั้น หล่อนไม่เคยลืมมันได้เลย... พลันเสียงเจื้อยแจ้วที่แสนคุ้นเคยก็ดึงหญิงสาวให้ออกจากความหม่นหมอง 'แม่กุ๊บกิ๊บคร้าบ แม่กุ๊บกิ๊บอยู่หนาย คุณตาพาอชิไปซื้อขนมมาเยอะแยะเลยคร้าบ' สำหรับไปรยา ไม่ใช่เวลาหรอกที่ช่วยเยียวยารักษาแผลในใจ แต่เป็นเด็กชายอชิระผู้เป็นแก้วตาดวงใจของหล่อนต่างหาก --------------- “หนูอยู่บ้านนี้ใช่ไหม” “ใช่ครับ นี่บ้านของอชิ” “แล้วพ่อเราไปไหน” “อชิไม่รู้ครับ แต่อชิมีคุณตาตัวใหญ่ๆ ใหญ่กว่าคุณลุงด้วย อชิไม่กลัวคุณลุงหรอก” “พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม” เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา “อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ”
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้