นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
ในห้องนอนที่ใหญ่กว้าง มีเสียงโทรศัพท์จากโต๊ะข้างเตียงที่ประณีต ดังอย่างไม่ยอมหยุด ทำให้ นรีรัตน์ ทวีศักด์สกุล รำคาญจนทนไม่ได้
เธอพยายามคว้าผ้าปูที่นอนที่ทับอยู่ใต้ร่าง ขณะที่เธอตะคอกชายที่อยู่ข้างเธอ “ชยุด คุณ–” ก่อนที่เธอจะพูดจบ ชายคนนั้นก็ทำให้เธอครางด้วยความอิ่มเอม
เธอยังไม่ทันได้พูดจบเลย ผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เสียงโทษของเธอกลายเป็นการหายใจหืด ๆ แทน
ร่างของเธออ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งลนไฟ เมื่ออยู่ภายใต้ร่างของเขา
ชายคนนั้นค่อย ๆ เขยิบตัวออกจากร่างของนรีรัตน์ เขาบิดขี้เกียจก่อนยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างโต๊ะ
“ที่รัก เดี๋ยวพี่ลงมาหาจ้ะ “ตัวเองรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้วใช่มั้ยจ้ะ” เขาชงักไปชั่วครู่ก่อนผงกศีรษะ “งั้นพี่ขออาบน้ำแต่งตัวก่อนค่อยลงไปนะ รักนะ”
ผู้ชายที่อยู่ข้างเธอสูงชะลูด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ มัดกล้ามของเขาช่างยั่วยวนและเซ็กซี่ โดยเฉพาะตอนที่เหงื่อไหลลู่ไปตามผิวอันเงางามของเขา ดวงตาของเขานั้นดูแสนจะอบอุ่นและเป็นมิตร เต็มไปด้วยความเสน่ห์และความเอาใจใส่
แต่นรีรัตน์รู้ดีว่า ความรู้สึกนั้นเขาไม่ได้จะมอบให้เธอ
ความอ่อนโยนของเขา มีคนๆ เดียวเท่านั้นที่ได้จับจองเป็นเจ้าของ
เมื่อได้ยินเสียงอันนุ่มนวล เธอถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
นรีรัตน์หยิบผ้าห่มที่ร่วงลงบนพื้นขึ้นมาห่อตัวอย่างเย็นชาขณะที่ชยุดก้าวเท้าไปอาบน้ำ
ประตูห้องน้ำเปิดอยู่ และส่งเสียงน้ำ“หัวๆ” ออกมา
เธอกวาดสายตามองไปรอบห้อง ของตกแต่งทุกชิ้นนำเข้ามาจากประเทศ D เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เป็นของหรูทั้งนั้น
นี่เป็นห้องนอนห้องหนึ่งของวิลล่าตระกูลเกียรติโรจนปรีชา แต่สำหรับนรีรัตน์แล้วมันไม่ต่างไปจากพวกโรงแรมห้าดาวที่เธอเคยพักเลยแม้แต่น้อย
“ลงไปถ่ายรูปให้ผมด้วย” ชยุดเดินออกมาจากห้องน้ำขณะที่เธอมัวแต่เหม่อมองไปรอบ ๆ ห้อง
น้ำเสียงของเขาดูเย็นชา เธอเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งที่เขาเล่นเสร็จแล้วก็ทิ้งไป
ที่แท้จริงแล้ว เขาเกียจเธอมาก ถึงแม้ว่าเธอเป็นภรรยาของเขา แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเธอ และไม่เห็นคุณค่าในตัวเธอเลย
เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเขาต้องทนอยู่ด้วยกัน ก็เพื่อทำตามข้อตกลงที่ทั้งสองได้ทำไว้ ทั้งหมดที่เธอต้องทำ คือต้องเข้านอนกับเขาในเวลาที่สั่งไว้ในทุกๆ วัน ข้อตกลงในสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เธอต้องตั้งครรภ์ภายในปี
หากเธอไม่สามารถให้กำเนิดลูกให้เขาได้ หุ้น AN กรุ๊ปที่เธอถืออยู่ทั้งหมด จะถูกยึดคืนและเธอคงไม่มีตัวเลือกอื่นเสีย นอกจาก ต้องถูกไล่ออกไปจากเมือง A
AN กรุ๊ปเป็นบริษัทชั้นนำบนหน้านิตยสารฟอร์บส์ ที่ทะยานสู่จุดสูงสุดของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จนไม่มีบริษัทไหนทัดเทียมได้
ชยุด เกียรติโรจนปรีชา ประธานของบริษัท เป็นตำนานผู้ก่อตั้ง ตอนที่อายุเพียง 17 ปี เขาได้ทำกำไรสุทธิเครือ AN กรุ๊ปได้เป็นสองเท่า ส่งผลให้บริษัททะยานจากอันดับที่ 7 ไปสู่อันดับ 1 ในการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์
เขาได้รับฉายาอย่างต่อเนื่องมาเป็นสามจากนิตยสาร《บุคคลตำนานในโลก》ว่า ‘ชายผู้ที่หญิงสาวทั้งโลกอยากจะแต่งงานด้วยมากที่สุด’ เขายังได้รับฉายาอีกว่า ‘ชายผู้เป็นตำนานกล่าวขานไปทั่วโลก’
เมื่อฟังจากน้ำเสียง นรีรัตน์รู้ว่าคนรักของเขาต้องรออยู่ที่ชั้นล่างแล้วเป็นแน่
“ฉันถ่ายรูปไม่ค่อยเก่งนะคะ” เธอตอบอย่างเย็นชา
“ผมบอกให้เธอถ่าย เธอก็ต้องถ่ายจะพูดมากทำไม” เขาจ้องเข็มงไปที่เธอ สายตาของเขาเย็นเฉียบราวกับค่ำคืนอันเหน็บหนาว “ปัญญาของเธอไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือ แค่โทรศัพท์ก็ใช้ไม่เป็นรึไง ถ้าอย่างงั้นตำแหน่งรองประธานบริษัท AN กรุ๊ปก็คงไม่เหมาะกับเธอหรอก”
“นี่คุณ!” ความโมโหเดือดพล่านในใจ เธอกัดฟันกรอดจนเสียงลอดออกมา
ชยุดก้าวเท้าออกห้องไป โดยไม่แม้แต่จะชายตามองไปที่เธอ “อย่าลืมละ คุณมีนัดทานอาหารเย็นที่สวรรค์เพลสคืนนี้ ถ้าไปช้าและทำทุกอย่างพังละก็นะ คุณจะต้องชดใช้เองนะ”
นรีรัตน์กำหมัดของเธอไว้แน่น ขณะที่จ้องร่างของเขาที่ค่อยๆ เลือนหายไป สำหรับเขาแล้วไม่มีใครสำคัญกว่าสุดที่รักของเขา
เธอค่อยๆ คลายมือออกแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อแต่งตัว
เพื่อให้ได้หุ้นส่วน เธอต้องอดทนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ เธอยังคงคาดหวังเรื่องอีกอย่างหนึง จริงๆแล้ว เธอมีแต่เป้าหมายเดียวนี้หรือ ที่แท้จริง ในใจเธอ ยังมีความหวังหนึ่งคอยรออยู่
ดวงตาของเธอเด็มไปด้วยความเศร้าโศก
หลังจากนั้นไม่นาน นรีรัตน์ก็สวมชุดกระโปรงยาวอย่างเรียบๆ ชยุดไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆบนร่างกายของเธอ เว้นเสียแต่ความไม่สบายเล็กน้อยตรงส่วนล่างของเธอ
เขารู้สึกสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่ต้องทำ ไม่อยากแตะต้องส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเธอเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญา เขาคงไม่คิดที่จะแตะตัวเธอด้วยซ้ำ
เธอพยายามทนความเจ็บปวดความเมื่อยตรงเอวขณะที่เดินลงไปข้างล่าง
ในห้องโถง ชยุดกำลังถ่ายรูปกับ ปรียาวดี เจริญพรอุดม แฟนสาวที่เขารัก
ปรียาวดีสวมชุดเดรสสีขาวผ่องราวกับหิมะเดือนสิบสอง มันสอดรับกับหุ่นของเธอได้เป็นอย่างดี และยังช่วยเสริมใบหน้าอันสวยสดของเธอยิ่งขึ้นไป
พวกเขาดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
ทันใดนั้น ชยุดก็เห็นนรีรัตน์กำลังเดินลงบันได
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ชักช้าจัง เธออยากได้คอร์สรึไง” เขาตะคอก
นรีรัตน์หายใจเข้าลึก ๆ และระงับความโกรธของเธอ เลือกที่ไม่ได้เสียงของชยุดเลย แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เธออยากทำมากที่สุด คงเป็นการเดินไปตบหน้าของเขา
ชยุดเคล้าเคลียปรียาวดีลูกพี่ลูกน้องของเธอไว้ในอ้อมอก เธอส่งยิ้มไปที่นรีรัตน์ด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ก็ชยุดรบเร้าจะถ่ายภาพคู่แล้วก็โพสต์ลง วีแชท โมเม้นต์ อะ เขาบอกต้องโพสต์สักรูปในวันเกิดพี่” เธอแกล้งทำเป็นเกรงใจ
นรีรัตน์ไม่สนใจฟังที่เธอพูด เธอเอื้อมมือไปที่ชยุด “ส่งโทรศัพท์มา”
ชยุดโยนโทรศัพท์ให้เธออย่างรำคาญ ก่อนที่จะส่งยิ้มแบบหึงหวงไปที่ปรียาวดี
“ถ้าเธอถ่ายออกมาไม่ได้เรื่องเลย เธอคงต้องเรียนคอร์สที่บ้านสักสองสามวันนะ เพราะที่หลังานนี้จะขาดเธอไม่ได้ เสียงเย็นชา เต็มไปด้วยการขู่แท้ ๆ
ความโกรธผุดขึ้นในใจของนรีรัตน์ แต่บนหน้าเย็นชา
ชยุดเหลือบมองนรีรัตน์ พลางหงุดหงิดที่เธอไม่โต้ตอบ
จากนั้นเขาก็วางมือลงบนต้นขาของปรียาวดี
“ว้าย ชยุด คุณทำอะไรคะ!” ปรียาวดีหยอกล้อ แก้มของนั้นเธอค่อย ๆ แดงขึ้นเรื่อย ๆ
เธอเอนกายพิงหน้าอกของเขา แต่สายตาของเธอยังคงจ้องมองไปที่นรีรัตน์ นัยน์ตาของเธอเปล่งประกายความยั่วยุ ราวกับเป็นการท้าทายให้นรีรัตน์ปริปากออกมา
ท่าทางของพวกเขาดูมีความสนิทสนมกันมาก
ผ้าเนื้อนุ่มที่โอบรอบร่างของปรียาวดีนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนผ้าไหมเกาะอยู่บนชุดสูทของชยุด
นรีรัตน์ยังคงนิ่งไม่พูดจา เธอยังคงใจเย็นและอดทน ไม่ว่าเธอจะเกลียดชายหญิงคู่นี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอขนาดไหน เธอยังคงทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
ที่เธอต้องการมีเพียงสิ่งเดียว คือให้ทั้งคู่หายไปให้พ้นๆ จากสายตาของเธอ แต่ตอนนี้ เธอคงทำได้แต่ควบคุมอารมณ์ และถ่ายรูปพวกเขาต่อไป
ชยุดเลื้อยมือไปที่ขาและเอวของปรียาวดี มีหลายรูปที่เขาแทบจะโน้วตัวลงไปจูบที่ริมฝีปากของเธอ
ปรียาวดีบุ้ยปากพลางยิ้่มอายๆ
นรีรัตน์พยายามเก็บทุกท่วงท่าที่พวกเขาโพสต์ให้ครบ
แม้ว่าชยุดจะโพสท่ายั่วยวนสักแค่ไหน สีหน้าของนรีรัตน์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “เอามือถือมานี่ ถ้าปรียาวดีไม่สวยละก็ คุณต้องถ่ายใหม่”
นรีรัตน์ส่งโทรศัพท์คืนโดยไม่ลังเล
ปรียาวดีตีแขนของเขาราวกับเด็กเอาแต่ใจ “ตัวเองไม่ไว้ใจหน้าตาของเราหรือ” เธอถาม
ชยุดพรมจูบไปทั่วใบหน้าของเธอ ราวกับว่าเขาเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขาม “ล้อเล้นน่า ตัวเอง! ไม่มีใครสวยเกินไปกว่าตัวเองอีกแล้วบนโลกใบนี้” เขารีบเอ่ยปากชม “ผมแค่กลัวว่าเธอจะไม่สามารถเก็บภาพความสวยของตัวเองได้หมด แค่นั้นเอง”
ปรียาวดียิ้มอย่างเข้าใจง่าย “ตัวเองไม่เชื่อมั่นในความสวยของตระกูลเราเหรอคะ”
เพราะว่านรีรัตน์เป็นลูกพี่ลูกน้องของปรียาวดี หมายความว่าเธอก็ดูดีไม่ต่างกัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้ดูดีเหมือนปรียาวดีก็ตาม
ชยุดพยักหน้าทันที
ปรียาวดีนั้นสวยแบบไร้ที่ติ ผิวของเธอทั้งเปล่งประกายและอ่อนนุ่ม ผมสีดำเข้มของเธอยาวลงมาถึงเอว ล้อมกรอบใบหน้ารูปหัวใจและดวงตากลมโต ดวงตาของเธอทำให้รู้สึกน่าเอ็นดูมาก บริสุทธิ์จนไม่มีใครสามารถครอบครองได้
เธอสูง186ซีแอม แต่น้ำหนักมีแค่48.5โลเองและรูปร่างได้สัดส่วน ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็เปรียบเธอเป็นดั่งเทพธิดา
จะถ่ายยังไงเธอก็ออกมาสวยมากอยู่แล้ว ยังไม่ว่าเลยที่นรีรัตน์ได้ถ่ายอย่างเอาใจใส่
ชยุดชำเลืองดูภาพทั้งหมดที่เธอถ่าย ในทุกรูปถ่าย ความสวยของปรียาวดีเปล่งประกายออกมาตอกย้ำความสง่างามของเธอ ดูเหมือนว่าเขาแทบจะไม่พบข้อผิดพลาดใดๆ
ด้วยความโกธรในใจที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ ก็เลยยึดโทรศัพท์กลับมาอย่างรำคาญ “เธอไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ต้องการเธอแล้ว”
นรีรัตน์หันหลังและกำลังเดินจากไป แต่เขากลับตะโกนเรียกเธอไว้
“เดี๋ยวก่อน” เขาส่งสายตาไปยังที่เธอด้วยความไม่พอใจ “เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ” ชุดของเธอสีเหมือนกับปรียาว อย่าใส่สีเดียวกันกับเธอเป็นอันขาด ตอนเธอไปร่วมปาร์ตี้ไวน์ เธออย่าทำให้ปรียาวดีดูต่ำเหมือนเธอ
ใบหน้าของเขาโหดเหี้ยมราวกับจะพรากชีวิตของเธอไปยังไงยังงั้น “ที่จริงผมว่า เธอโยนเสื้อผ้าที่สีเหมือนกับปรียาวดีทิ้งไปให้หมดเลยจะดีกว่านะ เพราะปรียาวดีเป็นหนึ่งในใจผม แม้แต่เธอมีเสื้อผ้าทีมีสีเหมือนปรียาวดี ผมก็ไม่อนุญาติ”
นรีรัตน์โกธรจดเลือดขึ้นหน้า ประมาณชั่วครู่หนึ่ง เธอก็กัดฟันพูดออกมา “ฉันจะทำตามที่คุณสั่งเป็นอย่างดีค่ะ”
เธอแค่ใส่ชุดสีขาวเอง ก็ทำให้ปรียาวดีดูไม่ดีแล้วหรือ ที่จริงแล้ว คือเธอไม่อยากใส่ชุดทีมีสีเหมือนกันกับผู้หญิงแบบนี้ต่างหาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะทำให้ปรียาวดีเสียหน้า นรีรัตน์คล้ายมือ
และก้าวไปที่บันได
เมื่อเห็นนรีรัตน์โกธรจัด ปรียาวดีก็แสยะยิ้มที่มุมปาก มีบางอย่างแวบเข้ามาในดวงตาของเธอขณะที่เธอจ้องมองชายที่อยู่ข้างๆ เธอด้วยความรัก
นรีรัตน์ฉีกเสื้อผ้าสีขาวของเธอทั้งหมดจนขาดวิ่น และโยนลงไปที่พื้น
ปรียาวดีชอบผ้าที่มีสีอ่อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสีขาว
จากนี้ไป นรีรัตน์คงสะอิดสะเอียนไม่น้อยที่ต้องใส่ชุดสีเดียวกับเธอ
“ตัวเอง ตัวเองได้โพสต์แล้วหรือยังคะ” ปรียาวดีถามพลางเกยคางบนอกของเขา
ในที่สุดชยุดก็รู้สึกตัว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างสดใสให้กับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขา “จะโพสต์ตอนนี้ครับ”
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและเลือกรูปที่พวกเขาดูดีที่สุด ในภาพนั้น พวกเขาทั้งสองหัวเราะอย่างมีความสุข แขนของพวกเขาโอบรัดซึ่งกันและกัน ราวกับคู่ตุนาหงันก็ไม่ปาน ยิ่งเขาจ้องไปที่รูปมากเท่าไร ความรู้สึกหงุดหงิดปนรำคาญก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณในใจเขาขึ้นมากเท่านั้น เขาโพสต์บน วีแชท โมเม้นต์ ของเขา
แคปชัน:สุขสันต์วันเกิดครับ ที่รัก ผมจะรักคุณตลอดไป!
ทันทีที่เขาโพสต์เสร็จ ผู้คนจำนวนมากก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นใต้รูป
มิสเตอร์ ฮี คอมเม้นว่า “คนโสดมาเห็นคงกระอักเลือดตายได้เลย”
มิสเตอร์ ซัน คอมเม้นว่า “นายนี่มัน อวดแฟนเท่ากับฆ่าคนแท้ ๆ เลย ฆ่ากูให้ตายเหอะเพื่อน อย่างน้อยก็ให้เพื่อนโสดๆ คนนี้ได้หายใจหายคอบ้าง!”
ยังมีคอมเม้นชื่นชมอื่นๆ อีกเช่น:“ปรียาวดี หน้าตาเธอดูเปล่งประกายเชียวนะ! สุขสันต์วันเกิด! ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไปนะคะ ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน ๆ”
แม้พวกเขารู้ดีว่าชยุดมีภรรยาเป็นตัวเป็นตน แต่หัวใจของเขานั้นมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้น ที่ได้ครอบครอง
นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ในเมื่อความปรารถนาสูงสุดของอีกฝ่ายไม่ใช่ครอบครัว เธอจึงกลายเป็นคนที่เขาอยากเขี่ยทิ้งไปให้พ้นตัว เหตุผลที่เขาก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ ใช้ถ้อยคำหวานหลอกล่อจนหญิงสาวตายใจ ในที่สุดเธอก็ได้ตัดสินใจแต่งานกับเขาอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ปรากฏขึ้น เพราะปรเมศเข้าใจผิด คิดว่าเขมิกาคือสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นมารดาของเขาต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้เอ่ยคำบอกลา “เขมท้อง!” หญิงสาวตัดสินใจพูดเรื่องทารกน้อยในครรภ์ เพราะลึก ๆ แล้วยังแอบหวังที่จะได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา อารมณ์ของเขมมิกาแปรปรวน เธอเองไม่อาจควบคุมได้ บางทีก็คิดอยากอยู่ประเดี๋ยวก็อยากไป “กี่เดือน” “หกสัปดาห์แล้วค่ะ” “เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร” “คุณปรเมศ!” เขมมิการู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่ม เขาไม่ควรตั้งคำถามนี้กับเธอ “เอาเด็กนั่นออกซะ! นี่คือเงินที่ผมจะจ่ายให้กับคุณ นับจากนี้ไปเราสองคนเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับกัน” “คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ” “ผมไม่เคยลังเลที่อยากเก็บเด็กคนนี้เอาไว้เลยสักนิด” คำตอบที่ได้ทำเอาหญิงสาวพูดไม่ออก มันจุกในอกเสียจนเธอแทบเสียสติ แต่ก็กลับมาได้เพราะทารกน้อย เธอต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด ปรเมศจะต้องเสียใจกับถ้อยคำที่เขาพูดกับเธอในวันนี้
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย