ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / เมืองแฟนตาซี / กำเนิดใหม่คุณหนูใหญ่ขยันเชือด
กำเนิดใหม่คุณหนูใหญ่ขยันเชือด

กำเนิดใหม่คุณหนูใหญ่ขยันเชือด

5.0

มหาพิภพไร้สิ้นคุณธรรม วิถีมารจึงก่อเกิด อดีตนางมารร้ายจุติใหม่ในร่างคุณหนูปัญญาอ่อน ท่ามกลางสังคมอันเน่าเฟะ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะตัดสินทุกอย่าง! และจากนี้นางก็พร้อมบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง!

สารบัญ

บทที่ 1 หวนคืนจากหลุมศพ

บทที่1 หวนคืนจากหลุมศพ

ในยุคสมัยนี้ที่คนดีหาได้ยากนัก และกลับกลายเป็นคนเลวที่ยิ่งทำชั่วก็ยิ่งเรืองอำนาจ หนึ่งในทรชนแห่งยุคมืดทมิฬที่สุดบนผืนพิภพ อิสตรีผู้ไร้มนุษยธรรมและเลือดเย็นอำมหิตสุดแสน กระทั่งแค่เอ่ยขานนามนั้น ก็สามารถทำให้ผู้คนขนหัวลุกและหน้าถอดสีได้ นามที่ว่าก็หาใช่ใดอื่น นอกเสียจากเย่หลาน – ปรมาจารย์นอกรีตผู้ฝึกปรือวิถีมารจนบรรลุ

แต่ทว่า... เพียงหนึ่งเดือนก่อนหน้ากลับได้ยินข่าวใหญ่ชนิดสั่นสะเทือนไปทั่วผืนพิภพ!

นางมารผู้นั้น...สิ้นชีพลงแล้ว!

เมื่อไต่ถามถึงสาเหตุการตาย กล่าวกันว่า นางได้กระทำการอุกอาจขัดต่อวิถีสวรรค์ เลือกเดินในเส้นทางนอกรีต จนเหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์มิอาจทานทน!

.....

หนึ่งเดือนให้หลัง

ณ ทวีปชิงชาง จักรวรรดิหนานอวิ๋น

สุสานร้าง นอกอาณาเขตเมืองหนิงอัน...

“ปัง! ปัง! ปัง!”

“พวกเจ้าเร่งมือเข้า! รีบๆตอกตะปูโลงให้แน่น อย่าได้เหลือช่องให้นังปัญญาอ่อนด้านในคลานหนีออกมาได้เป็นอันขาด!”

อิสตรีน้อยนางหนึ่งยืนกำกับอยู่ไม่ไกล เผยแสดงท่าทีหยิ่งผยองเกินแปดส่วน กำลังสั่งการบรรดาบ่าวไพร่ที่สวมใส่ชุดรับใช้ จิกหัวสั่งการด้วยท่าทางกดขี่

“คุณหนูรองโปรดวางใจเถิด บ่าวทุบกระทืบแขนขาของนังนั่นเสียจนหักสะบั้นหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งได้สั่งการให้คนกรอกยาสลบใส่ปากมันจนหมดซอง! รับรองว่ากว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ เกรงว่าคงถูกดินที่กลบฝังถล่มทับลงมาจนขาดอากาศหายใจไปเสียก่อน ต่อให้จะพยายามคิดหนีสักเพียงใด ย่อมไม่สามารถทำได้!”

บ่าวรับใช้ผู้นั้นที่ขานตอบก็คือพ่อบ้านเฉินแห่งจวนตระกูลเย่

ส่วนอิสตรีน้อยผู้หยิ่งผยองที่ว่าก็หาใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณหนูรองแห่งตระกูลเย่ – เย่เยวี่ยอวี่

ยามเอ่ยถึง ‘นังนั่น’ ในโลงศพ ความเกลียดชังปนสมเพชในเนื้อเสียงล้วนเปล่งปรากฏออกมาอย่างไม่มีปิดบัง รวมไปถึงบ่าวไพร่รอบข้างเองก็ไม่ต่างกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเย่เยวี่ยอวี่ ครั้นพบเห็นตะปูดอกแล้วดอกเหล่าที่ถูกตอกลงบนฝาโลงอย่างแน่นหนา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ยิ่งบานสะพรั่ง

“นังเอ๋อโง่งมปัญญาอ่อน! นังสวะไร้ค่า! ช่างหาญกล้าเพียงใดจึงได้บังอาจหมายปองท่านพี่เฉิน! เสแสร้งทำเป็นแกล้งล้มลงต่อหน้าต่อตาเขา แล้วยังเป็นฝ่ายยื่นมือให้เขาจับประคองขึ้นมาอีก! ช่างหาเรื่องตายโดยแท้!”

แววตาของเย่เยวี่ยอวี่ฉายชัดเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต หากเพ่งพินิศให้ลึกลงไป ย่อมค้นพบเงาแห่งริษยาอันมืดทมิฬสุดขั้วซุกซ่อนอยู่

แต่ทว่า.... นางกับพ่อบ้านนั้นหารู้ไม่ บทสนทนาทั้งหมดล้วนไหลเข้าสู่โสตประสาทของใครคนใดคนหนึ่งเสียแล้ว–

ภายในโลงศพ

ร่างอิสตรีนอนแข็งค้างอยู่เนิ่นนา เสี้ยวอึดใจพลันค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางความเงียบงันทั้งมวล!

เฉพาะภาพฉากยามนี้ ผู้ใดพบเห็นล้วนต้องตกตะลึงตาค้าง!

นัยน์ตาสีดำที่ปกติแล้วควรมีข้างละหนึ่ง แต่ทว่าทันทีที่นางลืมตาขึ้น กลับปรากฏเป็นสองที่กำลังทับซ้อนกันอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นัยน์ตาสีดำคู่นั้นพลันประกบเข้าหากัน กลับคืนสู่สภาพที่กลายเป็นหนี่งเดียวดังเดิม

ด้านในโลงศพไม้ปิดทึบมืดมิด เย่หลานค่อยๆแสยะยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา

“เย่หลาน... ตระกูลเย่... แซ่นามเดียวกับข้า ทว่ากลับเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่าที่ถูกผู้คนใต้หล้าสาปแช่งรังแก มันช่าง...น่าขันยิ่งนัก...”

แต่เริ่มเดิมที นางมั่นใจเหลือเกินว่าตนคงต้องสิ้นชีพไปแล้วเป็นแน่แท้ แต่กลับไม่คิดไม่ฝันเลยแม้แต่น้อยว่าหนึ่งเดือนให้หลัง ดวงวิญญาณของตนจะกลับมาถือกำเนิดใหม่ในร่างของอิสตรีโง่เขลา ที่สติปัญญาไม่เต็มและมีชื่อแซ่เดียวกันกับนาง!

ครั้นคิดได้เช่นนั้น รอยยิ้มที่ฉาบชโลมใบหน้าของเย่หลานกลับยิ่งทวีรังสีอำมหิตเข้มข้นกว่าเดิม

“ไอ้พวกเฒ่าขี้ขลาดน่าตายบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น... โลภในพลังจนคิดชั่ว รวมหัวกันใส่ร้ายใช้กลลวงใส่ข้า!! เช่นนั้นก็จงล้างคอรอไว้เถิด!”

“วันใดที่ข้าเย่หลานผู้นี้หวนคืนสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อีกครา วันนั้นย่อมต้องเป็นวันตายของพวกเจ้า!!”

แต่ก่อนอื่น ดูท่าคงจะต้องสะสางพวกขยะชั้นต่ำไม่กี่ตัวข้างนอกนี้เสียก่อน...

ยามนี้ บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างก็กำลังช่วยกันคนแบกโลงโยนลงไปในหลุม แต่เพิ่งจะทิ้งโลงศพลงไปได้ไม่นาน ด้านในนั้นก็พลันมีเสียงทุบโลงกระหน่ำดังขึ้นไม่หยุดยั้ง

“ปัง! ปัง! ....ปังๆๆๆๆๆ!!!”

บ่าวไพร่เหล่านั้นต่างพากันสะดุ้งเฮือกขวัญกระเจิงอย่างหนัก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความแตกตื่น

“อะ...อันใดกัน? หรือว่านังปัญญาอ่อนนั่นจะฟื้นแล้วกระมัง?”

เบื้องหลัง เย่เยวี่ยอวี่ที่เห็นกลุ่มคนตรงหน้าพากันยืนนิ่งแข็งทื่อเช่นนั้น นางจึงรีบรุดเข้าไปดุด่าเสียยกใหญ่

“ชักช้ากันเสียจริง! เจ้าพวกบ่าวไพร่ไร้ประโยชน์! ถอยออกไปให้หมด!”

นางผลักไสบ่าวไพร่ที่ขวางทางทิ้งไปเยี่ยงผักปลากด้วยความรำคาญ ทว่าจังหวะที่รุดไปถึงแถวหน้า เสียงทุบโลงอีกหนึ่งชุดใหญ่ก็พลันดังสั่นขึ้นเป็นคำรบสองจากก้นหลุม ทำเอาตัวนางเองถึงกับสะดุ้งเฮือกฉับพลัน

และแล้ว...นางก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“มิใช่ว่านาง...จะฟื้นคืนสติแล้วรึ?”

คิดได้ดั่งว่า นางจึงรีบหันขวับไปเบื้องหลังทันควัน พร้อมกับตวาดเสียงดังลั่น

“พ่อบ้านเฉิน! นี่เจ้าทำบ้าอันใด? ไหนเจ้าว่ากรอกยาสลบใส่ปากนางแล้วมิใช่รึ? ไฉนเล่านังนั่นจึงได้ฟื้นคืนสติเร็วนัก?!”

พ่อบ้านเฉินรีบตบเท้าขึ้นหน้า ครั้นได้ยินเสียงทุบโลงดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของเขาถึงกับถอดสี รีบเอ่ยปากอธิบายทันใด

“คะ-คง...คงเป็นเพราะพวกบ่าวไพร่ใต้อาณัติพากันเกียจคร้านสันหลังยาวขอรับ! บ่าวสั่งให้จับตัวนางมากรอกยา แต่คงทำทำได้เพียงครึ่งๆกลางๆแล้วก็ละทิ้ง! ภายหลังเสร็จจากเรื่องนี้ รับรองว่าบ่าวจะรีบกลับไปสั่งสอนพวกมันให้เข็ดหลาบ!”

“แต่คุณหนูรองโปรดวางใจเถิด นังปัญญาอ่อนนี่ถูกหักแขนหักขาทิ้งจนหมดแล้ว ต่อให้ฟื้นคืนสติขึ้นมาย่อมมิอาจหนีไปไหนได้ ยามนี้คงนอนเป็นผักอยู่ในโลง ทำได้อย่างมากก็แค่โขกศีรษะสร้างเสียงอึกทึกเท่านั้น”

“ทุกคน! รีบช่วยกันถมดินกลบให้แน่นหนาเร็วเข้า อย่าปล่อยให้มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาอีก!”

เย่เยวี่ยอวี่แค่นเสียงพ่นผ่านลำคอดัง ‘หึ’ อย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะตวาดทิ้งท้ายว่า

“ยังจะมัวพูดมากไร้สาระอยู่อีก! รีบจัดการฝังมันให้ตายเสียโดยเร็ว!”

แต่แล้ว สาวใช้นามว่าชิงหงที่ติดตามมาเบื้องหลัง เห็นท่าไม่ดีนักจึงเอ่ยเตือนอย่างลังเลว่า

“แต่คุณหนูรองเจ้าคะ... หากเรื่องนี้หลุดไปถึงหูนายท่านขึ้นมา เกรงว่า...”

เย่เยวี่ยอวี่หันขวับทันใด ตวัดดวงตาเฉียบคมแฝงรังสีน่าสะพรึงแวววับจ้องเขม็งใส่นาง พลางพ่นเสียงที่ฟังดูตลกขบขันขึ้นว่า

“หากพวกเจ้าไม่พูด ท่านพ่อจะรู้ได้อย่างไรเล่า? หรือต่อให้ท่านพ่อจะล่วงรู้ความจริงในภายหลัง ถึงตอนนั้นนังเย่หลานก็คงจะถูกฝังตายทั้งเป็นไปนานแล้ว ไยเล่าที่ท่านพ่อจะต้องลงโทษข้าเพียงเพราะสวะโง่งมนางหนึ่ง?”

ชิวหงตรึกตรองอย่างลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจไม่คิดโต้แย้งขัดคอใดๆผู้เป็นนายอีก อนึ่ง ตัวนางเองย่อมไม่ต้องการเอาชีวิตที่มีค่าของตนเข้าแลกเพื่อเศษสวะผู้หนึ่ง

บ่าวไพร่ทั้งหลายที่ได้รับคำสั่ง ต่างก็พากันเร่งมือหยิบจอบเสียมกลับขึ้นมาขุดดดินเพื่อฝังกลบต่อโดยเร็ว

“ปัง! ปัง! ปังๆๆๆๆ!!!....”

เสียงทุบโลงจากด้านในยังคงดังกระหึ่มไม่หยุดหย่อน

เย่เยวี่ยอวี่ทนฟังนานเข้าก็เริ่มหงุดหงิดรำคาญขึ้นเป็นเท่าทวี ท้ายที่สุดมิอาจทนต่อไปได้ไหว จึงหันไปหยิบหินก้อนใหญ่แถวนั้นขว้างอัดใส่โลงเสียงดัง ‘ปัง!’ พร้อมกับเสียงคำรามสาปส่งว่า

“หยุดเสียที! ขืนเจ้ายังกล้าเคาะโลงอีกเพียงครั้งเดียว ข้าจะสั่งบ่าวไพร่ให้ใช้ดาบใช้มีดเจาะแทงทะลุไปทั่วทั้งโลง ทำให้ร่างของเจ้ารั่วพรุนตายทั้งเป็นอย่างอเนจอนาถ!”

ฉับพลันนั้นเอง เสียงทุบโลงจากภายในจึงได้ขาดหายไป นับแต่นั้นก็เงียบสงัดประหนึ่งมิมีผู้ใดอยู่ภายในเลยทีเดียว

เย่เยวี่ยอวี่หลงเข้าใจไปว่า ฝ่ายนั้นท่าจะกลัวคำขู่ของตนจนขี้ขึ้นสมอง บัดนี้ได้ทีจึงแสยะยิ้มเหยียดกว้างอีกครา ก่อนจะถ่มถุยน้ำลายใส่โลงพร้อมเอ่ยวาจาดูแคลน

“นังสวะเอ๊ย!”

นางหมุนกายกลับไปหาพวกบ่าวไพร่ เชิดคางสูงเสียดกำชับเสียงกร้าวสั่งการว่า

“เร่งมือให้ไว จะต้องถมดินให้แน่นหนา! ห้ามปล่อยให้นังนั่นมีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรนโผล่หัวขึ้นมาบนผืนดินได้แม้สักนิด! เข้าใจกันดีแล้วหรือไม่?!”

แต่ถึงอย่างนั้น บรรดาบ่าวไพร่เหล่านั้นต่างพากันยืนแน่นิ่งราวต้องมนต์สะกด ดวงตาของแต่ละคนเบิกโพลงจนแทบถลนหลุดจากเบ้า สีหน้าดูแตกตื่นสุดขีด!

มือที่กำจอบกำเสียมไว้พลันปล่อยให้ร่วงกราวตกลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัว จนเกิดเสียง ‘ตึง!’ ดังระงมไปทั่ว

ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็คือเบื้องหน้าหรือข้างหลังของเย่เยวี่ยอวี่ในยามนี้นั่นเอง...

สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนล้วนฉายแววตื่นตระหนกและหวาดกลัวเกินพรรณนา

เย่เยวี่ยอวี่เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น มิวายตวาดใส่บ่าวไพร่อีกระลอก

“อันใด? มัวทำสีหน้าพิลึกพิลั่นจ้องหน้าข้าอยู่ด้วยเหตุใด? รีบเร่งมือฝังมันเร็วเข้า!!”

แต่ใครเล่าจะรู้ วาจาเพิ่งหลุดพ่นออกจากปากไป แต่ชิวหงกลับกรีดร้องเสียงหลงแทรกสวนขึ้นทันควัน น้ำเสียงแหลมแสบแก้วหูของนางเต็มไปด้วยความผวาหวาดกลัวสุดขีด!

“ผะ-ผี! ผี!!”

พ่อบ้านเฉินเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน ใบหน้าถอดสีซีดเผือด เนื้อตัวสั่นระริกชี้นิ้วตั้งตรงไปทางด้านหลังของเย่เยวี่ยอวี่

“คะ...คุณหนูรอง...ข้างหลัง...ข้างหลังท่าน...!!”

เย่เยวี่อวี่ยังมิทราบว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้น แววตาจึงฉายความงุนงงสงสัย ค่อยๆหันศีรษะย้อนกลับไปมองพร้อมกับบ่นพึมพำ

“ผีบ้าผีบออันใด? ด้านหลังข้าน่ะรึมี...”

วาจาคำบ่นนั้นยังมิทันจบประโยค เสียงของนางก็พลันดับลงกลางคัน!

เพราะเบื้องหลังของนางในยามนี้ แท้จริงแล้วคือสุสานรกร้างเก่าแก่ ซากศพไร้หลุมฝังจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกทิ้งเกลื่นกลาดตามผืนดิน จู่ๆก็ทยอยลุกขึ้นและกำลังเดินโงนเงนเข้ามา!

บางร่างศพไร้หัว บางร่างแขนขาถูกตัดไม่ขาดดีจึงห้อยโตงเตง

ซ้ำบางร่างยังเน่าเฟะเต็มไปด้วยหนอนเน่าชอนไช

และบางร่างก็ไม่เหลือเนื้อหนัง หากแต่เป็นเพียงโครงกระดูกผุพังเดินได้!

พวกผีห่าทั้งหลายโผล่ขึ้นมาจากกลางกองซากศพรกร้าง กระทั่งขุดตัวเองขึ้นมาจากใต้ผืนดินก็ยังมีให้เห็น!

ทั้งหมดล้วนเปล่งเสียงร้องระงมดัง ‘ฮืออ...ฮู้วว...’ แหบพร่าแต่ช่างโหยหวนชวนขนหัวลุกยิ่งนัก ศพแล้วศพเล่าพากันเดินโซเซเข้ามาหาเย่เยวี่ยอวี่และบ่าวไพร่ทีละก้าว...

“กรี๊ดดดด!!”

“ผ-ผี...ผี!! นี่มันอันใด? นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!?”

เย่เยวี่ยอวี่พลันฟื้นสติฉับพลัน หวิดเสียขวัญถึงขั้นสติแตกกระเจิง ได้แต่ร้องเสียงสั่นเทาพร้อมกับคู่เท้าที่ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ทันระวังตัว จึงได้เผลอเหยียบเข้ากับจอบที่ตกอยู่บนพื้นอย่างมิตั้งใจ ร่างทั้งร่างจึงล้มกลิ้งหน้าคะมำติดดิน สิ้นท่าอย่างน่าอับอาย

“หนี! รีบหนีเร็วเข้า!!”

พ่อบ้านเฉินและบ่าวไพร่ต่างพากันเร่งหมุนกายเพื่อหนีเอาชีวิตรอด ทว่าในเสี้ยวพริบตาขณะนั้นเอง เบื้องหลังที่หันไปก็พลันปรากฏเงาของซากศพที่พากันลุกขึ้นขวางทางไว้!

ใช่แล้ว เพราะที่นี่คือสุสานร้าง ย่อมต้องมีศพเกลื่อนกลาดทั่วสารทิศ จึงหาใช่เรื่องแปลกไม่

ซากศพจำนวนมากมายทยอยเดินโงนเงนเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่นานเกินรอ ฝูงซากศพเดินได้เกินคนานับก็ตรงเข้าปิดล้อมเย่เยวี่ยอวี่และบ่าวไพร่ไว้ทั่วทุกทิศ!

“อ๊ากกก!! ไสหัวไปซะ! ไสหัวไปให้หมด!!”

ปรากฏว่าพ่อบ้านเฉินเป็นคนแรกที่สติแตก มือไม้สั่นระริกไร้เรี่ยวแรงเกินควบคุม เจ้าตัวรีบแย่งจอบด้ามหนึ่งมาจากมือบ่าวไพร่ใกล้ตัว แล้วกวัดแกว่งฟาดฟันเข้าใส่เหล่าซากศพเดินได้อย่างสุดกำลัง ปากก็พลางกรีดร้องคลุ้มคลั่งเยี่ยงคนบ้าเสียสติ

ทว่าพ่อบ้านเฉินพุ่งกระโจนออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ซากศพเดินได้รอบด้านกว่าเจ็ดถึงแปดตัวก็พลันกระโจนรุมเข้ามาพร้อมกัน พวกมันเปิดปากเน่าเฟะฉีกกว้าง เผยให้เห็นบ่อเลือดและเขี้ยวฟัน ประหนึ่งว่าพร้อมที่จะกัดกระชากทุกสรรพสิ่ง จากนั้น พวกมันก็เริ่มรุมทึ้งฉีกกัดเนื้อหนังบนร่างของพ่อบ้านเฉินอย่างบ้าคลั่ง

“อ๊ากกกก!! มะ-...ไม่!! อย่า! อย่ากินข้า! อย่าาา!!!”

พ่อบ้านเฉินกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อหวังเอาชีวิตรอด แต่ทว่าทุกกลับไร้ผลอย่างสิ้นเชิง ในฐานะคนธรรมดาไร้พลังปราณยุทธ์ ท่ามกลางฝูงศพเดินได้นับหลายชีวิตที่บ้าคลั่งทั้งหมด ล้วนเป็นการกระทำที่สูญเปล่า!

ผ่านไปชั่วครู่ เสียงกรีดร้องโหยหวนของเขาก็พลันถูกกลบหายในชั่วพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงเขมือบกัดดัง ‘ก๊อบแกร็บ’ จากเหล่าซากศพที่กำลังรุมกัดกินเนื้อสด น้ำเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นเป็นวงใหญ่

เย่เยวี่ยอวี่และบ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์สุดสยองต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ต่างก็พากันตกใจสุดขีดจนแทบจิตใจแตกสลายตายทั้งเป็น ทุกคนล้วนผวาหวาดกลัวจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

สาวใช้นามหงนางนั้นพลันหน้าซีดเผือด ร่างกายเพรียวบางสั่นสะท้านขวัญกระเจิงไปถึงภายใน ท้ายสุดมิอาจทนต่อภาพฉากแห่งความสยดสยองอย่างที่สุดตรงหน้าได้ จึงได้แต่โก่งตัวงอพ่นอาเจียนออกมาเสียงดัง ‘แหวะะ!!’

สุดท้ายแล้ว ทุกคนล้วนถูกซากศพเดินได้นับร้อยร่างไล่ต้อนรายล้อม จนต้องถอยไปชิดติดขอบหลุมด้านหลัง ต่างคนต่างพากันยืนนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน จะขยับเขยื้อนสักนิดยังมิหาญกล้าที่จะทำ

ขณะที่เย่เยวี่ยอวี่และบ่าวไพร่ยังครุ่นคิดหาทางรอดไม่ออกว่า จะจัดการเยี่ยงไรกับซากศพมหาภัยพันธุ์นี้ดี ทันใดนั้นเอง ก็พลันปรากฏซากศพเดินได้ในสภาพสมบูรณ์อยู่ฝูงหนึ่ง ค่อยๆเดินไต่ไปหาโลงศพที่อยู่ในหลุมดินลึกซึ่งกักขังเย่หลานไว้

ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่า... พวกมันกลับรวมพลังระดมเรี่ยวแรงมหาศาล ช่วยกันงัดถอนตะปูนับยี่สิบตัวที่ปิดผนึกอยู่บนฝาโลงทิ้งไปด้วยมือเปล่า!

ภายใต้ห้วงภวังค์แห่งความเงียบสงัดอันแสนสะพรึงนั้น–

พลันปราฎฝ่ามือสีขาวเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบเลือดโผล่ออกมา และได้คว้าจับขอบโลงไว้แน่นหนับ เสียง ‘ปัง!’ดังสะท้อนกังวานกึกก้องไปทั่วทั้งสุสานร้าง...

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY