ปราณปริยาถูกชะตาชีวิตบีบรัดให้ต้องจำใจยอมอย่างไม่มีทางเลี่ยงเป็นผู้หญิงของนักธุรกิจผู้ร่ำรวย เขาเลี้ยงดูเธอไว้เพื่อบำรุงบำเรอความสุข แต่แล้วเมื่อเธอตั้งครรภ์เขากลับแสดงท่าทีไม่ยอมรับ เธอจึงต้องจากไปพร้อมลูกในท้องของเขา การจากไปแบบไร้ร่องรอยของหญิงสาวที่ปรานต์เลี้ยงไว้เพื่อบำรุงบำเรอความสุขทำให้ใจของปรานต์แหว่งโหวงถูกกัดกร่อนอย่างที่ไม่เคยเป็น หลายปีให้หลัง ปรานต์พบเธออีกครั้ง ในฐานะผู้หญิงที่ภพ ชายรุ่นพี่ที่เขาเคารพรักมากคนหนึ่งจริงจังถึงขั้นจะแต่งงานด้วย เธอเป็นเมียของเขา แล้วยังเคยท้องลูกของเขาอีก มีสิทธิ์อะไรเอาตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำไปขายให้คนอื่น! *** มีเนื้อหาบางช่วงไม่เหมาะสำหรับบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี ***
“ทำไหวแน่นะ ร้านปิดตีหนึ่งก็จริง แต่กว่าจะเก็บของเก็บอะไรก็ราวๆ ตีสามถึงจะเสร็จ ได้ข่าวว่ายังเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ไหวค่ะ หนูทำไหว”
“ถ้าไหวจะให้ทำวันนี้เลยนะ”
“ได้ค่ะ”
หญิงสาวในชุดนักศึกษาตอบรับอย่างรวดเร็ว โดยมีสายตาของ ‘ซ้อเสียง’ เจ้าของร้านอาหารกึ่งผับมองมาด้วยสายตาประเมิน
แบบนี้แล้ว ไม่น่าจะทำงานอยู่ในร้านของนางได้นาน
ไม่ใช่ดูถูกแต่อย่างใด แต่เห็นมานักต่อนักแล้ว
รูปร่างอวบอัดมีทรวดทรงทั้งยังใหญ่โตเกินตัวดูล่อหูล่อตาเสือสิงห์กระทิงแรดยามราตรีเหลือเกิน แถมใบหน้าก็สวยใช้ได้ทีเดียว แม้แววตาจะเศร้าไปนิดก็ตาม แค่ขัดเกลาเบาๆ ไม่ใช่แค่เด็กหลังร้านหรอก เผลอๆ เอามารับแขกข้างหน้านี่ก็ยังได้
อีกทั้งยังกลัวใจคน
กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจากเด็กดีตั้งใจทำงานแลกหยาดเหงื่อแรงกายอดหลับอดนอนเพื่อค่าแรงที่ได้มากกว่างานอื่นเช่นนี้ แรกๆ ไหวกันทั้งนั้น นานไปนี่สิ กลัวจะเปลี่ยนใจไปทำงานอื่นที่สบายกว่า เงินมากกว่า
“ชื่ออะไรนะเรา”
“ปราณปริยา ชื่อเล่นชื่อนิ่มค่ะ”
คนถามชะงักหน่อยหนึ่ง ยิ้มพยักหน้าให้ทำนองว่ารับรู้
พลันเสียงเคาะประตูครั้งเดียวแล้วเปิดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตดังขึ้นที่ด้านหน้า
และนี่คือความกลัวของซ้อเสียงอย่างที่สุด!
บัดนี้แววตาของหญิงวัยห้าสิบสี่วาววับขึ้น เมื่อนึกไปถึงว่าใครกันที่อยู่ตรงนั้น ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงทักถามดังทุ้มนุ่มหูอยู่ที่ประตูเหล็กบานนั้นเอง
“อ้าว...ยุ่งอยู่หรือครับซ้อ”
“มีอะไรหรือคะคุณปรานต์”
หญิงเจ้าของร้านกล่าวทักขึ้นทันที แล้วลุกมาแตะไหล่หญิงคราวหลานให้ลุกออกจากเก้าอี้
“ไปหาคุณพลที่ข้างนอก บอกว่าฉันให้เริ่มงานวันนี้เลย”
ซ้อเสียงบอกกับร่างอวบอิ่มเต็มมือเต็มไม้จบในประโยคเดียว แล้วดันให้ร่างนั้นพ้นออกจากประตูห้องทำงานไปโดยไวอย่างแนบเนียน รีบปิดประตูลง หันมายิ้มหวานให้คนมาใหม่ที่เป็นชายร่างสูงเกินขนาดชายไทยทั่วไปอย่างปั้นแต่งเต็มที่ หวังว่าตนเองจะบดบังสายตาของนักล่าคนนี้ได้ทันจากเหยื่อชิ้นสดเมื่อครู่นี้ได้
แต่หารู้ไม่ว่ามันไร้ผลสิ้นดี
‘ปรานต์’ เป็นพวกทรงอำนาจและอิทธิพลในพื้นที่แถบนี้ ชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้ล่าอย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญวิธีการล่านุ่มนวลแยบยลไม่ทำให้เหยื่อตื่นกลัวตกใจแต่อย่างใด หากได้ลิ้มชิมเหยื่อรายไหน รายนั้นเป็นได้ตกในห้วงบ่วงเสน่หาแสนหวานล้ำของปรานต์กันทั้งนั้น
แต่หากหมดสิ้นความหวานแล้วนั่น คือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า
หญิงสาวหลายคนต่างยอมศิโรราบให้ปรานต์มานักต่อนักแล้ว ที่ว่ายาก ที่ว่าหวงเนื้อหวงตัว ปรานต์จัดการได้ เขาไม่ได้ใช้กำลังข่มขู่ขืนใจบังคับเอา แต่เหยื่อเหล่านั้นต่างหากที่ยอมให้ปรานต์เองทั้งสิ้น
“เด็กใหม่หรือไงครับ”
คนสนิทที่เห็นสายตาของผู้เป็นนายมองตามหลังไปแวบหนึ่งก็พอรู้ความ รีบถามซ้อเสียงอย่างรู้ใจผู้เป็นนายดีราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน
“ถามทำไมตง ชอบหรือไง เดี๋ยวเด็กแกได้มาถอนหงอกฉันอีกหรอก”
‘ตง’ คนสนิทยิ้มก่อนเม้มปากตนเองกลัวจะหลุดขำออกมาแล้วถึงได้เงียบไป หญิงคนนี้เป็นคนกล้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าออกปากว่านายของเขาได้โดยที่ปรานต์ไม่คิดโกรธเคืองเสียด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนายของตงก็หน้านิ่งตึงไปมากทีเดียวเมื่อถูกซ้อเสียงตีวัวกระทบคราดเข้าให้อย่างจัง หญิงวัยเลยหลักสี่ไปไกลโขปรายตามองนายของตง จีบปากจีบคอถาม
“มีอะไรหรือคะ มาถึงนี่ได้”
ปรานต์เลือกโซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งลงแล้วถึงเอ่ยปากออกมา “เรื่องหุ้นที่บอกจะขาย”
“อ้อ เรื่องนั้นเอง เชิญนั่งก่อนค่ะ”
แล้วจึงเริ่มเจรจากันจากนั้น นานร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ข้อสรุปซึ่งเป็นที่น่าพอใจกันทั้งสองฝ่าย ซ้อเสียงยิ้มก่อนเอื้อนเอ่ยเอาใจ เมื่อผลประโยชน์ลงตัวอย่างที่หมายมาด
“ดื่มอะไรก่อนนะคะ เดี๋ยวให้เด็กๆ เตรียมห้องให้ อยากได้ใครมาบริการคะคืนนี้ น้องหลิน หรือ น้องเฌอเอม”
ปรานต์ทำเพียงยิ้มแล้วว่าเรียบๆ ตามนิสัยของตน และคำตอบไม่ผิดจากที่ซ้อเสียงคาดการณ์เอาไว้เท่าใดนัก
“ไม่ดีกว่าครับวันนี้ไม่อยากดื่ม”
“ว้า น้องๆ รู้เข้า เสียใจแย่ สงสัยอยากเก็บท้องไว้กินของสด” ซ้อเสียงเหน็บยิ้มๆ อย่างพอรู้แกว
แต่คนหนุ่มอนาคตไกลไม่ว่าอะไรให้ระคายหูระคายอารมณ์ แม้ปรานต์จะอยู่บนสุดห่วงโซ่ของวงจรนี้ แต่เขาไม่ใช่คนโผงผางที่นึกคิดอยากพูดจาอะไร ทำอะไรก็ทำลงไปเลยแบบไม่นึกถึงคนอื่น ชายหนุ่มรักษามาดของความเป็นผู้นำเอาไว้ได้เสมอ
หลังเจรจาธุระเรียบร้อย ผู้เป็นนายของตงไม่ได้นั่งดื่มในร้านอย่างทุกทีแต่ให้จอดรถรอที่ทางด้านหลังร้านแทน
ตงลอบมองนายผ่านกระจก
พบว่าอีกฝ่ายนั่งรอเงียบๆ ที่เบาะหลังอย่างไม่มีท่าทีร้อนรนแต่ประการใด นิ่งคล้ายรอดูความเคลื่อนไหวของเหยื่อเหมือนนักล่าในป่าไม่ผิดเพี้ยน
ตงรู้ว่านายของตนจ้องเหยื่อชิ้นนี้เอาไว้แล้ว และไม่มีทางปล่อยให้หลุดไปได้อย่างแน่นอน
ทันทีที่ถึงเวลาปิดบริการ รวมทั้งเป็นเวลาเลิกงานของพนักงานในร้าน ต่างทยอยกันออกมาบ้างบางส่วน ไม่นานจากนั้นคนที่เพิ่งได้ทำงานวันนี้วันแรกอยู่จัดการเก็บกวาดงานของตนเองจนเรียบร้อยดีรวมถึงช่วยงานที่ค้างคาในส่วนอื่นเสร็จสิ้น หิ้วสัมภาระตนเองผ่านประตูหลังร้านออกมานาทีนี้เอง
ตงจึงเปิดประตูรถแล้วปรี่เข้าไปหาทันที พร้อมเรียกด้วยเสียงไม่ดังเท่าใดนัก
“น้อง น้อง”
“คะ” ปราณปริยาผงะ หันซ้ายขวามองว่าเรียกตนหรือไม่ รับคำด้วยท่าทีระแวดระวังตัว ตงถามกลับทันที
“กลับยังไง ไปกับพี่ไหม”
มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าหวาดกลัว เป็นใครก็ไม่รู้จัก จู่ๆ มาบอกให้กลับบ้านด้วย เธอไม่ใช่เด็กห้าขวบนะ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ