หนึ่งคืนที่พลิกชะตาชีวิตของเมรี...จากสาวใส กลายเป็นแม่ลูกหนึ่ง เพราะต้องการประชดบิดาที่คิดจะมีครอบครัวใหม่ในวันที่ส่งตนเองถึงฝั่ง ความสัมพันธ์แบบ One night stand เกิดขึ้นเพราะตนเองไม่มีสติพอ ฤทธิ์น้ำเมาทำให้เมรีพลาด!! เมรีไม่โทษใคร เธอก้มหน้าอุ้มชูสายเลือดในอก เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างภาคภูมิใจ... แต่...อะไรก็ไม่แน่นอนบนโลกใบนี้.... เหตุการณ์ที่เมรีกลัวมาตลอดเกิดขึ้นจนได้....เมื่อเขากลับมา...ผู้ชายที่ฝากรอยตราไว้บนร่างกายตัวเอง อีธานกลับมา ‘ทวง’ เขาต้องการทั้งเมียและลูก... เมรีจะทำยังไง? ยอมรับตำแหน่งที่เขามอบให้ ‘เมียเก็บ’ กับ ‘ลูกนอกสมรส’ หรือจะหันหลังให้แบบไม่ไยดี ทางเดินมีให้เลือก มันขึ้นอยู่ว่าเมรีจะเลือกทางไหน แต่คงเดาไม่อยาก สำหรับผู้หญิงแกร่งอย่างเมรี!!
บทที่1.รอยตราที่ไม่อาจลืม...
เพี้ยะ!!
เส้นผมนุ่มสลวยสะบัดปลิวเพราะแรงตบ มือเรียวบางยกขึ้นกุมซีกแก้ม ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ ที่พร้อมใจกันไหลรินเหมือนสายฝน
“พ่อขอโทษ พ่อไม่ได้ตั้งใจ” มือเหี่ยวย่นสั่นระริก หลังตนเองเผลอตัวตบหน้าบุตรสาวเข้าเต็มแรง
หญิงสาวแค่นยิ้มกล่าวตอบเสียงแข็ง “พ่อไม่จำเป็นต้องขอโทษเมรีเลยค่ะ มันเป็นความสุขของพ่อ เมรีมันก็แค่ส่วนเกิน” สาววัยละอ่อนตัดพ้อบิดา น้ำตาไหลทะลักเหมือนทำนบพัง
“เมรี ฟังพ่อก่อน” เก่งกาจพยายามอธิบายให้บุตรสาวฟัง ความอ้างว้าง ความหงอยเหงาที่เขาอดทนเอาไว้มาแรมปี เพราะอยากให้เมรีประสบความสำเร็จในชีวิตเสียก่อน แต่เมื่อสามารถส่งบุตรสาวถึงฝั่งฝัน เขาก็แค่อยากมีความสุขเหมือนคนอื่นบ้าง มีคู่คิดเป็นเพื่อนคุยคอยปรับทุกข์ ในเวลาที่เมรีต้องออกไปทำงาน
“พ่ออย่าพูดเลยค่ะ เมรีเข้าใจพ่อ” หญิงสาวปัดมือของบิดา ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาลวกๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง เสียงตะโกนในใจดังลั่นเธอกำลังถูกพ่อทิ้ง!!
ชายสูงวัยโครงศีรษะ บุตรสาวตะโกนลั่นๆ ว่าเข้าใจ แต่เก่งกาจรู้ สิ่งที่เมรีแสดงออกตรงข้ามกับความคิดของเธอ
“เมรี...” ผู้เป็นพ่อท้วงเสียงอ่อน
“ขอบคุณค่ะที่พ่อเลี้ยงดูเมรีจนโต ต่อไปนี้เมรีจะดูแลตัวเอง เชิญพ่อไปเสวยสุขกับคนของพ่อเถอะค่ะ”
เธอดันตัวลุกขึ้นยืน แรงผลักทำเอาเก้าอี้ล้มโครม!! ก่อนจะวิ่งเตลิดออกไปโดยที่เก่งกาจห้ามไว้ไม่ทัน
“ไอ้ลูกบ้านี่ โตป่านนี้แล้วยังรั้นเหมือนเดิม”
เก่งกาจบ่นเบาๆ เขาชะเง้อคอมองตามบุตรสาวแต่ไม่ได้วิ่งตาม เมื่อสังขารตนเองไม่อำนวยเท่าเมื่อก่อน
เมรีวิ่งเตลิดออกมาจากบ้านเหมือนนกปีกหัก เธอเหมือนถูกเหวี่ยงออกมาจากชีวิตบิดา หากท่านมีใครคนนั้น ที่ของเธอล่ะ...จะอยู่ตรงไหน?
น้ำตาไหลอาบหน้า สะอื้นไห้จนแสบร้าวไปทั้งลำคอ ดวงตาแดงก่ำ กระบอกตาร้อนผ่าว เกล็ดน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
“เมรีเป็นแค่ส่วนเกิน เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ” ความน้อยเนื้อต่ำใจ ผลักดันให้เมรีทำอะไรแบบที่ไม่เคยทำ เธอเดินเข้าสถานเริงรมย์เป็นครั้งแรก... สั่งบรั่นดีราคาแพงมาดื่มเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ท่ามกลางสายตาวาววับของผู้ชายหลายคนที่จับตามอง
เสียงคร่ำครวญของเมรีค่อยๆ ทวีความดังขึ้น เมื่อแอลกอฮอลล์เข้าไปแทนที่ในกระแสเลือด
หน้าหวานหยดอิงแนบผิวโต๊ะ มือไม้โบกสะเปะสะปะ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำ
“ผู้หญิงคนน้านจะมาชอบคนแก่ๆ อย่างพ่อได้ยังงายยย คงหวังจะปอกลอกพ่อนั่นแหละ เมรีไม่ย๊อมมมมม ไม่ยอมให้พ่อมีครายเด็ดขาดดดด...”
เสียงบ่นขรม...เปลือกตาพลิ้มหลับ มีเสียงอ้อแอ้ดังลอดออกมาเรื่อยๆ ทุกคำคือเสียงต่อว่าบิดา
“เอามาอีกฉ้านนน มีตังจ่ายยยย”
บริกรยืนค้อมตัวอยู่ใกล้ๆ ฟังเสียงลูกค้าสาวที่เรียกร้องขอเครื่องดื่มเพิ่ม ด้วยความหนักใจ ประเมินสภาพของลูกค้าสาวแล้วหล่อนไม่น่าจะไหว
“คือว่า...คุณเมาแล้วครับ กลับบ้านเถอะครับ” เพราะความหวังดี บริกรหนุ่มผู้นั้นจึงพยายามเตือน เขาสังเกตเห็นสายตาประสงค์ร้ายหลายคู่ที่จับตามองมาที่เธอ
“ช้านไม่มาวววว เอามาอีก....”
เมรีทรงตัวขึ้นนั่ง เธอเถียงกลับน้ำเสียงอ้อแอ้ ศีรษะตก คอเอียง ลำคอเรียวโอนไปโอนมา เมื่อไม่คุ้นชินกับการดื่มสุราดีกรีแรงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ ดังนั้น หากเมรีจะเมาคงไม่แปลก
“ไอ้น้อง...คุณผู้หญิงเขาอยากได้อะไรล่ะ จัดมาสิ...ฉันจ่ายให้เอง”
ชายวัยกลางคนลักษณะไม่น่าไว้ใจนัก เดินแทรกเข้ามาคั่นกลาง สายตามันปลาบมองหญิงสาวตรงหน้าแบบประเมิน รอยยิ้มมุมปากน่ากลัวจนบริกรหนุ่มเกิดความสงสารคนเมาไม่ได้สติตรงหน้า เขาพยายามจะช่วย แต่คงเปล่าประโยชน์ เมื่อตนเองเป็นแค่พนักงาน หากมีเรื่องมีราวกับลูกค้า คงไม่แคล้วโดนเจ้าของร้านเฉ่งยับ
“ครายยยย” เมรีพยายามปัดมือที่เข้ามายุ่มย่ามกับตัว แม้สติจากรางเลือน แต่เธอก็รู้สึกถึงรังสีอันตราย
อนิจจา เรี่ยวแรงอันน้อยนิด หรือจะสู้แรงกำลังมหาศาลของคนแปลกหน้าได้
ยี่หวาไม่เคยคิดว่าปลายทางชีวิตของเธอจะจบลงแบบนี้ ก่อนที่เธอจะทิ้งอนาคตที่เหลือไปอย่างไร้ค่า เนื่องจากสุดที่จะทนกับความชอกช้ำที่ได้รับมาจากสามีคนเดียว เธอตัดสินใจฝากดวงใจของตัวเองไว้กับน้องสาวฝาแฝด น้องสาวที่ไม่มีคนรอบตัวรู้จัก มันคือความลับที่เธอปิดบังพวกเขาไว้ สมัยเด็กๆ พ่อกับแม่แยกทางกัน ทั้งสองท่านเลยแบ่งลูกไปเลี้ยงดูคนละคน ยี่หวาอยู่กับแม่ ส่วนญาดาไปอยู่กับบิดา สองสาวที่เหมือนกันทุกกระบิ แตกต่างที่นิสัย คนหนึ่งเรียบร้อย พูดน้อย น่ารัก ส่วนอีกคนตรงข้ามทุกอย่าง แกร่ง และกล้าท้าชน… และเพราะแค้นใจแทนพี่สาว ญาดาเลยรับปากก่อนยี่หวาสิ้นลม เธอจะเอาคืนทั้งสองคนนั้นให้สาสม ไม่ว่าจะเป็นปกป้องสามีสุดที่รักของยี่หวา หรือแม้แต่...ฉันทา ว่าที่ภรรยาคนใหม่แสนผยองคนนั้น สองคนนี้ต้องหาความสุขไม่ได้ เธอจะรังควานพวกเขา ให้เหมือนตกนรกทั้งเป็น...การจองเวรคืองานที่เธอควรทำ…ถ้าเป็นดั่งที่ตั้งใจไว้ ญาดาคงไม่กลุ้มใจหนัก ‘ความรัก’ บทจะมาก็มาประชิด เธออยากแก้แค้น แต่ดันไปหลงรัก ผู้ชายเลวคนนั้นเสียอีก หลังจากเฉดหัวฉันทา คงต้องหาทางมัดใจปกป้อง อย่างน้อยก็ทำเพื่อหลาน ถ้าเธอตกนรก เธอจะลากปกป้องตามไปด้วย...
คงไม่มีความซวยไหนเลวร้ายเท่ากับการถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เด็กดริ้ง’ ความตั้งใจของณิรินคือไปจับผิดว่าที่พี่เขย แต่กลับกลายเป็นว่าเธอถูกเข้าใจผิดเสียเอง แถมผู้ชายคนนั้นดันเป็นคนสำคัญที่เธอต้องคอยดูแลระหว่างที่เขามาเจรจา เพื่อเป็นคู่ค้ากับบริษัทของลุงกับป้า หน้าที่นั้นเลยถูกโยนมาให้ณิรินรับผิดชอบ ผู้ชายปากร้ายเอาแต่ใจตัวเอง ค่อนข้างงี่เง่าคนนั้น เขาคิดว่าเธอมีอาชีพเสริม และพยายามเกาะแกะจนณิรินโมโห บางครั้งณิรินก็อดคิดไม่ได้ มันเป็นเพราะช่วงเบญจเพศของเธอหรือเปล่า เรื่องซวยๆ เลยเกิดขึ้นกับเธอไม่หยุดหย่อน
เสียงของเขาดังก้องอยู่ในหู ฉันไม่สามารถสลัดเสียงแหบๆ ของเขาออกไปจากความทรงจำได้เลย นี่เกิดอะไรขึ้นกับฉันนะ สิ่งที่ฉันคิดอยู่นี่คือ...ความผิด แม้จะเป็นแค่ความคิด แต่มันเป็นก้าวแรกที่ฉันตั้งใจทำผิดศีลธรรม กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว!! ฉันกำลังเป็นคนเลว และอีกไม่ช้า ฉันคงโดนคนทั้งโลกประณามหากฉันไม่หยุดความคิดทุเรศๆ นั่นเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะทำยังไงดีล่ะ? ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย มีเพียงเสียงแหบๆ ของคน คนนั้นดังก้องอยู่ในหูเท่านั้น “สามีของเธอเดินทางไปทำธุรกิจ” “เธอบอกว่าสามีของเธอจะไม่อยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์!!” “มันจะดีแค่ไหนนะ หากฉันเปลี่ยนสิ่งที่ได้ยินได้ เขาน่าจะไปซัก7ปี” ผมพยายามข่มใจให้รู้สึกเศร้าตาม แต่หัวใจของผมกลับเต้นระรัวเกินกว่าจะควบคุมได้ “คุณอยู่ที่ไหน?
รัชศกปีที่สิบ มันเป็นช่วงเวลาแสนสุขที่ลืมไม่ลง แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ครั้งหนึ่ง ข้าเคยเป็น ‘สาวงาม’ ที่ผู้คนทั้งเมืองหลงใหล เมืองหลวงกว้างใหญ่ใต้แผ่นฟ้าเดียว ข้าผู้มาก่อนกาล เดิมทีข้าคิดว่าเป็นแค่ความฝันหนึ่งตื่น แต่ที่ไหนได้ ทุกเหตุการณ์ที่ข้าพบเจอ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ความสุขที่ท่วมท้นอยู่ในใจ เป็นความทรงจำเดียวที่ทำให้ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อ...รอ...ใครบางคน
เมื่อสามีตะโกนใส่หน้า “ผมต้องการหย่ากับเธอ!! คนที่ผมรักเขากลับมาหาผมแล้ว” เมษาเซ็นจำใจชื่อบนใบหย่าพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลพรู เธอตัดสินใจเก็บงำความลับไว้กับตัว พร้อมกับจากไปโดยไม่ปริปากบอกคีรินเลยสักคำ ผ่านไป 5 ปี เด็กชายคนหนึ่งมาตามหาพ่อ... “ผมจะไปหาพ่อผม ปล่อยผมนะ!!” เสียงแผดก้องบริเวณหน้า ล็อบบี้ แม้แต่คีรินเองยังอดสนใจไม่ได้ เด็กชายคนหนึ่งถูก รปภ. รั้งตัวไว้ เขาดิ้นกระแด๋วๆ ตะโกนลั่น ผิวทั้งหน้าแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อผุดเต็มไปหน้า และเมื่อเด็กชายวิ่งตรงมาหาเขา “พ่อคร๊าฟฟฟฟฟ” คิรินเข่าอ่อน สัญชาตญาณบางอย่างเตือน เด็กชายตรงหน้าเขานี่ เป็นเลือดเนื้อส่วนหนึ่งของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์
เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่หยอก หากสามารถปราบพยศผู้ชายเจ้าอารมณ์ได้ ดานันจะเป็นอิสระจากข้อผูกมัดของบิดา ทว่า...ในความโชคร้าย มีความโชคดีแอบแฝงอยู่ ว่าที่สามีของเธอ เป็นบุตรชายผู้มั่งคั่งของตระกูลใหญ่ แต่เขาเพิ่งสูญเสียดวงตาไปจากอุบัติเหตุ ดานันต้องรองรับความเกรี้ยวกราดเช่นนี้ จนกว่าจะเปลี่ยนความคิดของเขาได้ ครามไม่ได้พิกลพิการมาตั้งแต่กำเนิด เขามีหนทางรักษาได้ ขึ้นอยู่กับว่า...ดานันจะโน้มน้าวว่าที่สามีของเธอได้หรือเปล่า
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน