‘เจ้าที่แรง’ คำคำนี้ไม่สามารถทำอะไรสาวสมัยใหม่อย่าง ‘กลิ่นหอม’ ที่เฉิดฉายย้ายเข้าบ้านใหม่ที่ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พร้อมกับ ‘ของแถมประจำบ้าน’ ที่โครงการหมู่บ้านจัดสรรแถมให้โดยไม่รู้ตัว นอกจากจะต้องรับมือกับหนี้ก้อนบักเอ้กด้วยวัยยี่สิบปลายๆ มิหนำซ้ำยังไม่ได้แต่งงาน แล้วยังจะต้องรับมือกับเจ้าที่มือใหม่อย่าง ‘ขุนอริญชย์เพียงสวัสดิ์’ ทุกเช้า สาย บ่าย เย็น แต่ขอโทษ ระหว่างมีหนี้ก้อนโตเพราะซื้อบ้านหลังแรก กับย้ายออกเพราะกลัวแพ้ภัยให้กับเจ้าที่ แน่นอนล่ะว่ากลิ่นหอมต้องเลือกกลัวเป็นหนี้หัวโตอยู่แล้ว! อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ทนอยู่มันด้วยกันนี่แหละ กลิ่นหอมคนนี้ไม่ยอมย้ายหนีไปไหนแน่ๆ! ขณะเดียวกัน หญิงสาวก็เริ่มรู้ถึงเรื่องราวบางอย่างระหว่างตนกับเจ้าที่รูปหล่อจากอดีตชาติทีละน้อย รักเอยรักเพียงเจ้าแม่มิ่งขวัญ ดุจชีวันถนอมเจ้าราวบุปผา คะนึงรักมิอาจห่างกายา แม้นแก้วตาหลบซ่อนลึกสุดใจ เสมือนดั่งซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นหอม เย้าภมรดมดอมหอมแห่งไหน พี่จักตามรักเจ้าสืบต่อไป กลิ่นหอมไกลดั่งรักของพี่เอย
บ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรรราคาไม่ต่ำกว่าเจ็ดหลักย่านปทุมธานี ‘กลิ่นหอม’ หญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบฟรีแลนซ์ที่เรียกว่านักเขียนมาตั้งแต่เรียนจบไม่คิดไม่ฝันว่าเงินยาไส้อันน้อยนิดแต่ละเดือนของเธอจะสามารถกู้เงินซื้อบ้านหลังนี้ได้ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความพยายามและความตั้งใจ ตอนนี้เธอถึงได้มายืนจังก้าอ้าแขน ประกาศกร้าวว่า...
“มีบ้านเป็นของตัวเองแล้วโว้ย!”
เสียงนั้นดังพอที่ข้างบ้านจะได้ยิน ทำเอาเพื่อนสนิทชายแต่หัวใจสาวน้อยต้องรีบเปิดกระจกรถซึ่งจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านมาร้องบอก
“ดีใจอะไรของแกหนักหนานังหอม ก็แค่ซื้อบ้านได้”
“เออ ฉันไม่ได้รวยเหมือนแกนี่ ถ้ารวยเหมือนแก พ่อแม่มีมรดกให้ คำว่า ‘ก็แค่ซื้อบ้านได้’ ฉันก็ไม่พูดหรอกย่ะนังมนตรี”
กลิ่นหอมยอกย้อนไม่จริงจังนัก ส่วนมนตรีก็ได้แต่ถอนหายใจพรืดที่ถูกเรียกด้วยชื่อจริง
“เรียกฉันมนตรีอีกที ฉันจะฟาดปากแกด้วยกระเป๋าเสื้อผ้านี่แหละ อุตส่าห์มานอนเอาฤกษ์เอาชัยที่บ้านใหม่เป็นเพื่อนแท้ๆ โปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ”
พูดพลางทำท่าจะลงจากรถไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่อยู่กระโปรงท้ายรถมาฟาดหน้าเพื่อนสาวจริงๆ หากแต่กลิ่นหอมกลับหัวเราะคิกคัก ชอบเหลือเกินที่ได้หยอกเย้าเพื่อนให้หัวเสียแบบนี้
“ฉันก็แค่ล้อแกเล่นเอง”
“เออ ล้อเล่นให้ฉันด่า”
“ใช่ แกด่าตลกอะ เลยชอบให้ด่า”
“ฉันว่าแกต้องเป็นโรคแน่ๆ ยัยหอม ว่างๆ ไปหาหมอ ตรวจสุขภาพจิตบ้างนะ”
มนตรีบ่นพึมพำไปเรื่อย กระนั้นก็ทำหน้าที่ของตนตามที่กลิ่นหอมขอร้องเมื่อหลายวันก่อนว่าให้มานอนเป็นเพื่อนในวันเข้าบ้านวันแรก เพราะเธอยังไม่คุ้นชินกับบ้านหลังใหม่ ในฐานะเพื่อนที่ดี มนตรีจึงตกปากรับคำโดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ชักจะคิดผิดแล้วที่ยอมรับคำ เพราะแทนที่จะได้มานอนอย่างอารมณ์ดี กลับโดนเพื่อนสาวขี้แกล้งหยอกเย้าจนหน้าบูดบึ้งเสียนี่
ทว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากบ่นพึมพำเรื่อยเปื่อย พลันลงจากรถไปคว้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบขนาดย่อมของทั้งคู่เข้ามาในตัวบ้าน กลิ่นหอมกวาดตามองไปรอบๆ ห้องรับแขกขนาดเล็กที่มีเฟอร์นิเจอร์บางส่วนมาลงและตกแต่งแล้ว และวันนี้ที่เธอตัดสินใจมานอนก็เพราะเธอเชื่อว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ดีนั่นเอง
จะไม่ให้ดีได้อย่างไรล่ะ เธอดูปฏิทินมา บอกว่าเป็นวันมงคลก็เท่ากับว่าเป็นวันมงคลอย่างแน่นอน
“แล้วจะเอายังไง คืนนี้นอนโซฟา?”
มนตรีถามเมื่อเอาข้าวของเข้ามาเก็บในบ้านเป็นที่เรียบร้อย พลันกวาดตามองไปยังโซฟาทรงตัวแอลซึ่งตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น ขณะที่กลิ่นหอมพยักหน้า
“อือ สั่งเตียงไปแล้วแต่ยังไม่มาส่ง คืนนี้แกกับฉันนอนกันบนโซฟานี่แหละ”
“จะให้ฉันนอนใกล้ๆ กับแกว่างั้น?”
“หรือแกจะนอนบนพื้นก็ได้ ไม่มีปัญหา”
มนตรีถอนหายใจออกมาเต็มแรงกับท่าทางไม่ยี่หระของหญิงสาว สุดท้ายก็อดปากสอนออกไปไม่ได้
“ฟังนะยัยหอม ประเด็นที่ฉันถามมันไม่ได้เกี่ยวกับที่ว่านอนโซฟาหรืออะไร ปัญหาก็คือแกเป็นผู้หญิง แล้วฉันก็เป็นผู้ชาย มานอนด้วยกันแบบนี้มันไม่เวิร์กมั้ง”
“ไม่เวิร์กยังไง แกเป็นเพื่อนสนิทฉันนี่ สนิทมาตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัยด้วย เมื่อก่อนก็นอนด้วยกันออกจะบ่อย”
กลิ่นหอมพูดไปตามตรง นึกคิดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอกับมนตรีและเพื่อนคนอื่นๆ ก็มักมานอนรวมกันที่ห้องพักของเพื่อนคนใดคนหนึ่งเป็นประจำ ทว่าสำหรับมนตรีในตอนนี้แล้ว การกระทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ไม่สมควรสักเท่าไรนัก
“แกอย่าไว้ใจใครมากเลยไอ้หอม โดยเฉพาะพวกผู้ชาย เพื่อนนี่แหละตัวดีเลย ดีนะที่ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่อย่างนั้นได้แกเป็นเมียไปแล้ว”
พูดมาอย่างนี้ ทำไมกลิ่นหอมจะไม่เข้าใจ เธอไม่ได้โง่จนหัวทึบ แค่มนตรีเปิดปาก เธอก็เข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเธอไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเท่ากับมนตรี เลยทำให้อดไม่ได้ที่จะทำหูทวนลม อีกอย่าง เธอมั่นใจว่าผู้ชาย...หัวใจสีชมพูอย่างมนตรีคงไม่ทำอะไรเธอแน่
ไม่มีวัน...ไม่มีทางทำอะไรล่วงเกินเธออย่างแน่นอน เพราะมนตรีก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ถึงขนาดออกปากต่อท้าย
“และต่อให้ฉันชอบผู้หญิง ฉันก็ไม่เอาแกมาทำเมียหรอก รู้เช่นเห็นชาติกันแบบนี้ คิดว่าต้องเป็นผัวเมียกับแกแล้วก็ขยะแขยง”
สิ้นคำพูด กลิ่นหอมก็หัวเราะร่วน ไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อนตัวเองเลยสักนิด ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นสิ่งที่มนตรีพูดเป็นประจำอยู่แล้ว
“จ้า รู้แล้วจ้า แล้วนี่แกจะนอนตรงไหน ตรงฝั่งนั้นไหม มันยาว แกจะได้เหยียดขาได้ เดี๋ยวฉันนอนตรงนี้เอง”
และก่อนที่มนตรีจะได้บ่นต่อ จู่ๆ หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่อง ชี้นิ้วไปที่ส่วนที่เป็นตัวแอลของโซฟา มนตรีมองตามแล้วปฏิเสธลั่น
“ไม่เอาอะ มันหันเท้าออกนอกบ้าน ฉันถือว่าเวลานอนไม่ควรเอาเท้าออกประตูนอกบ้าน”
“โอเค งั้นฉันไปนอนตรงนั้นแทน”
เรื่องที่นอนไม่มีปัญหา กลิ่นหอมนอนตรงไหนก็ได้ เธอถือว่าบ้านหลังนี้เป็นของเธอแล้ว เรื่องสำคัญต่อหลังจากนั้นคือเรื่องของกินต่างหาก พอตกลงเรื่องที่นอนกันได้แล้ว กลิ่นหอมก็ชักชวนให้มนตรีไปขับรถตะลอนหาร้านอาหารอร่อยๆ ในละแวกบ้านกิน เพื่อจะได้รู้สำรวจบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านด้วย มนตรีรับคำอย่างรวดเร็ว ก่อนทั้งคู่จะพากันขึ้นรถและขับออกไป
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด ทั้งคู่เหนื่อยอ่อนกับการทำกิจกรรมในวันนี้ทั้งวัน เพราะนอกจากขับรถไปตระเวนหาของกินแล้ว ทั้งคู่ยังไปแวะเวียนร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์ทำสวนสำหรับตกแต่งสวนในวันข้างหน้าอีกด้วย กว่าจะถึงบ้านก็หมดแรง แต่ฝีปากของมนตรีนั้นไม่หยุด ขนของจากกระโปรงท้ายรถที่กลิ่นหอมขนซื้อมาลงไปกองไว้ที่สวนหน้าบ้านได้ ปากก็เริ่มทำงานทันที
“แกจะรีบซื้ออะไรมาเยอะแยะหนักหนา ทำอย่างกับว่าจะทำวันพรุ่งนี้มะรืนนี้อย่างนั้นแหละ”
“เอาเถอะน่า ซื้อไว้ก่อน จะได้อุ่นใจ แล้วนี่แกจะอาบน้ำเลยไหม”
“ฉันก็ต้องนั่งพักก่อนสิยะ ถามมาได้ หายใจหอบเป็นหมาหอบแดดขนาดนี้ จะเอาอารมณ์ไหนไปอาบน้ำ”
กลิ่นหอมยักไหล่ ไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อน พลันปล่อยให้เพื่อนได้นั่งเล่นอยู่ในสวนให้หายเหนื่อย
“งั้นฉันไปอาบก่อนแล้วกัน หายเหนื่อยแล้วก็เข้าบ้าน ยุงเยอะ”
“ฉันจะเข้าเดี๋ยวเข้าเอง โทรศัพท์กับเด็กก่อน”
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าหมายถึงแฟนของมนตรีที่เป็นผู้ชายด้วยกัน กลิ่นหอมไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของเพื่อนหรอก กับแฟนของมนตรีก็เคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งอายุมากกว่า อีกทั้งยังเป็นคนไม่ค่อยพูด ใครจะไปกล้าคุยมาก จะมีก็แต่มนตรีนี่แหละที่เรียกแฟนตัวเองที่อายุมากกว่าว่าเป็นเด็กตามระดับความสนิทสนม
“ก็ตามนั้น ฉันไปอาบน้ำเข้านอนก่อนแล้วกัน แกเข้าบ้านแล้วล็อกประตูด้วยนะ”
มนตรีไม่สนใจแล้วเพราะปลายสายที่โทรออกเมื่อครู่นี้ตอบรับ หากแต่พอเห็นร่างบางของหญิงสาวผลุบเข้าไปในบ้าน เขาก็นึกอะไรออก
“เฮ้ย ไอ้หอม แกอย่าลืมไหว้...”
แกร๊ก...
ประตูปิดไปแล้ว กลิ่นหอมไม่ทันได้ยินหรือสนใจเพราะอ่อนล้ามาทั้งวัน มนตรีเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร กะว่าไว้คุยโทรศัพท์เสร็จจะเข้าไปบอกอีกที
ผ่านไปร่วมชั่วโมง มนตรีเดินเข้ามาในบ้าน ที่ตั้งใจจะบอกก็ไม่ได้บอกเสียแล้ว เพราะทันทีที่เข้ามาก็พบว่าเจ้าของร่างบางจองที่นอนบนโซฟาตำแหน่งที่ตกลงกันแล้วเป็นที่เรียบร้อย มิหนำซ้ำยังกรนคร่อกออกมาให้รู้ว่าหลับลึกไปแล้วอีก
“จะบอกให้ไหว้เจ้าที่สักหน่อย หลับซะงั้น”
มนตรีได้แต่บ่นพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ปลุกอะไร นอกเสียจากไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเตรียมเข้านอนเช่นกัน หากทว่าไม่รู้เลยว่าขณะที่เขาทำกิจกรรมส่วนตัวอยู่นั้น มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอย่างนิ่งสงบ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกจากริมฝีปากของใครคนนั้น มีเพียงการเดินช้าๆ ตรงมาหามนตรีที่กำลังจะล้มตัวลงนอน
และทันทีที่มนตรีเอนตัวลงนอน ไม่ทันจะได้หลับสนิทก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาทาบทับบนตัวไว้ พอพยายามพลิกกายก็ไม่สามารถทำได้ วินาทีนั้นเองที่สมองเริ่มสั่งการ
ผีอำ!
มนตรีรู้ดีว่ามีคำอธิบายอาการนี้ทางวิทยาศาสตร์ เลยพยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างที่กำลังเคลิ้มหลับ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะตัวเองเหนื่อยมากกว่าปกติถึงได้รู้สึกแบบนี้
หากแต่เมื่อเขาพยายามจะพลิกตัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง ร่างกายก็แข็งนิ่งขยับไม่ได้ พานทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เชื่อว่ามีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้มันอาจอธิบายได้ด้วยไสยศาสตร์มากกว่า สิ่งเดียวที่ทำได้คือการนอนนิ่งๆ บทสวดใดๆ ที่รู้จักทั้งชีวิตถูกเอามาสวดทั้งหมด ทว่าก็ไร้ผล ส่งผลให้เขาดิ้นรนอยู่ในสภาวะถูกผีอำอย่างนั้น กระทั่งผล็อยหลับไปเองด้วยความเหนื่อยอ่อน
พลิกตัวก็ไม่ได้ สู้อะไรก็ไม่ได้ สวดไล่ก็ไม่ไป นอนมันเสียเลยแล้วกัน!
ให้ตายเถอะ ไม่ทันไรก็เจอดีเสียแล้ว!
เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
“ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"