“กล้าดียังไงเที่ยวไปให้ท่าไอ้สารวัตรนั่น!” ชรัสตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่หล่อนทำลงไปในวันนี้มันหักหน้าเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบให้เธอทำเรื่องพวกนี้ขณะที่ยังเป็นเมียเขาอยู่! “อินทำอย่างนั้นตอนไหนอย่างนั้นเหรอคะ”
“กล้าดียังไงเที่ยวไปให้ท่าไอ้สารวัตรนั่น!” ชรัสตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่หล่อนทำลงไปในวันนี้มันหักหน้าเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบให้เธอทำเรื่องพวกนี้ขณะที่ยังเป็นเมียเขาอยู่! “อินทำอย่างนั้นตอนไหนอย่างนั้นเหรอคะ”
ปฐมบท
“ผมไม่แต่ง! คุณย่าจะมาบังคับให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้!” เสียงโวยวายที่ดังสนั่นบ้านไม้ใจกลางบ้านไร่เรือนดาวส่งผลให้เหล่าบรรดาคนใช้นับสิบต่างก็พากันสะดุ้งไปตามๆ กัน จะมีก็แต่เจ้าของบ้านผู้เป็นใหญ่สุดที่ยกแก้วชาในมือขึ้นจิบเบาๆ อย่างใจเย็น ทำราวกับว่าไม่หยี่ระต่อคำปฏิเสธของหลานชายเลยสักนิดเดียว
“แกต้องแต่ง! ไม่อย่างนั้นฉันจะเล่นงานทุกคนที่แกรักให้ไม่เหลือแม้แต่ที่ซุกหัวนอน เริ่มจากใครดี แม่แพรวพราวนั่นเลยเป็นไง!”
“คุณย่า!”
“ฉันไม่เห็นว่าหนูองค์อินของฉันจะมีอะไรแย่ตรงไหน น้องเองก็รักแกมาตั้งนานนม อีกอย่าง…แกลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับแม่บัวตองแม่ของแกไปแล้วหรือไงตาสอง!” เมื่อเจอเข้ากับคำถามที่เกือบๆ จะลืมไปจากความทรงจำเข้าชรัส สุนธรวิทย์ หลานชายคนเดียวของคุณบุษบาเจ้าของไร่องุ่นขนาดใหญ่ที่สุดของเชียงรายก็ถึงกลับเงียบนิ่งไป มันพาลทำให้เขาคิดไปถึงคำสั่งเสียสุดท้ายของผู้เป็นมารดาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คำสั่งเสียสุดท้ายของท่านที่เขาต้องตอบรับเอาไว้ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจคาอ้อมกอดของเขาไปด้วยรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยน รอยยิ้มที่มันทำให้คิดถึงทุกครั้งเมื่อละลึกถึงขึ้นมา
“แม่อยากให้สองแต่งงานกับคุณหนูองค์อินเมื่อน้องโตพอที่จะมีครอบครัวได้ สองสัญญากับแม่ได้ไหมว่าไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่มีวันทอดทิ้งน้อง…นะสอง สัญญากับแม่สิ…”
เขารู้ดีว่าครอบครัวของเขาเป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่ของผู้หญิงน่ารำคาญคนนั้นมากแค่ไหน เรื่องมันเกิดขึ้นเป็นเพราะพ่อกับแม่เธอที่เคยช่วยเหลือธุรกิจของบ้านเขาตอนที่เกือบๆ จะล้มละลายไป แต่ใครจะไปคิดว่าบุญคุณบ้าๆ นั่นมันจะมากเสียจนทำให้พวกผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามที่จะจับคู่เขากับหล่อน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าแบบนั้น
องค์อิน ผู้หญิงที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารำคาญในสายตาเขาไปหมด!
“จริงเหรอคะคุณย่า! พี่สองจะแต่งงานกับหนูจริงๆ เหรอคะ!” น้ำเสียงตื่นเต้นที่ดังออกมาถึงนอกบ้านทำให้นางอุ่นเรือน อดที่จะอมยิ้มตามคุณหนูของตนเองขึ้นมาไม่ได้เมื่อบังเอิญมาได้ยินเรื่องราวอันน่ายินดีที่คุณหนูของนางรอมานาน
“ได้ค่ะ หนูอินเรียนจบแล้วค่ะ แล้วพบกันนะคะคุณย่า หนูอินรักคุณย่าที่สุดเลยค่ะ” องค์อิน เลิศภักดี หญิงสาววัยยี่สิบสองเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะกดวางสายพร้อมกับหัวใจที่เบิกบานมากกว่าวันไหนๆ
“มีข่าวดีจากเชียงรายเหรอคะคุณหนู”
“ยิ่งกว่าข่าวดีเสียอีกคะนม คุณย่าโทรมาบอกเมื่อกี้เองค่ะว่าตอนนี้พี่สองเขาตอบตกลงจะแต่งงานกับหนูอินแล้ว หนูอินดีใจที่สุดเลยคะนม!” หญิงสาวตอบเสียงหวานก่อนจะโผเข้ากอดแม่นมที่เลี้ยงดูเธอมานับตั้งแต่ที่พ่อกับแม่ของเธอเสียไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายสิบปีก่อนอย่างมีความสุขที่ในที่สุดความฝันที่รอมานานนับสิบๆ ปีก็ใกล้จะเป็นจริงเสียที ความฝันที่อาจจะมีแค่เธอที่มีความสุขไปกับมัน
“นมดีใจด้วยจริงๆ นะคะ แล้วนี่คุณหนูจะลงไปเชียงรายเมื่อไหร่คะ” คนถูกถามยิ้มก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“อีกสามวันค่ะนม คุณย่าบอกว่าอยากให้หนูอินลงไปเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ” องค์อินตอบพร้อมรอยยิ้มสดใส นานกี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน แต่ถึงจะนานแค่ไหนสำหรับเธอแล้วผู้ชายคนนั้นก็ยังคงเป็นที่หนึ่งในใจเสมอ แม้เธอจะไม่เคยเป็นที่หนึ่งในใจเขาเลยก็ตาม
แต่เธอก็ยังเชื่อว่าสักวันความรักของเธอมันจะส่งไปถึงใจของเขาบ้าง สักวันชรัสจะรักเธอเหมือนอย่างที่เธอยังรักเขาเรื่อยมา
เชียงรายสามวันต่อมา
“คุณสองให้ผมมารับครับคุณหนูอินครับ” สีหน้าของคนที่เพิ่งจะเหยียบแผ่นดินเชียงรายเป็นอันต้องเศร้าสลดเมื่อพบว่าคนที่มารอรับเธอนั้นไม่ใช่คนเดียวกับคนที่เธอกำลังชะเง้อหาแต่อย่างใด
“แล้วพี่สองของพี่เก้าไปไหนเสียล่ะคะ ทำไมเขาไม่มารับอินด้วยตัวเอง” องค์อินถามกลับอย่างอดเคืองว่าที่สามีขึ้นมาไม่ได้ ก็ไหนคุณย่าบอกว่าเขาจะมารับเธอด้วยตัวเองยังไงล่ะ แล้วนี่เขาหายไปไหน ทำไมถึงเป็นพี่เก้าคนสนิทของคนเขาที่มารับเธอแบบนี้
“เอ่อ คือว่าตอนนี้นาย…ติดธุระสำคัญอยู่น่ะครับ ก็เลยให้ผมมารับคุณหนูแทน” แม้จะอยากถามต่อว่าธุระอะไรของเขาที่มันสำคัญไปกว่าเธอแต่องค์อินก็เลือกที่จะเก็บเงียบเพราะไม่อยากสร้างเรื่องตั้งแต่วันแรกที่มาถึง อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีน้ำใจส่งคนของตัวเองมารับ ไม่ใจร้ายปล่อยให้เธอหาทางไปที่ไร่ด้วยตัวเองแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว
“ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์มารับอิน เราไปกันเลยไหมคะ” นายเก้าพยักหน้ารับก่อนจะอาสาช่วยถือกระเป๋าเสื้อผ้าถึงสามใบให้กับว่าที่เมียนายอย่างเต็มใจ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าคุณหนูองค์อินที่เมื่อก่อนยังตัวเล็กเท่าลูกแมวคนเดิมที่เคยวิ่งตามตูดเจ้านายของเขาไปซะทั่วไร่ บัดนี้เติบโตขึ้นเป็นสาวสวยสะพรั่งแบบนี้
สวยเสียจนเขาอยากจะเห็นหน้านายตอนได้เจอว่าที่เมียเข้าจริงๆ ว่าจะทำหน้าแบบไหน…
ตลอดการเดินทางอันยาวไกลทำให้องค์อินมีโอกาสมองดูความเปลี่ยนไปของจังหวัดเชียงรายไปในตัว และนั่นมันทำให้เธอยิ่งคิดถึงอดีตในวัยเด็กของตัวเองขึ้นมา เธอเกิดและเคยใช้ชีวิตที่นี่ถึงอายุเจ็ดขวบก่อนจะย้ายตามพ่อกับแม่ไปอยู่กรุงเทพในที่สุด และถ้าหากเลือกได้จริงเธออยากเลือกอยู่ที่นี่มากกว่าอะไรทั้งหมด เพราะที่นี่มันไม่ได้เป็นแค่บ้านเกิด แต่ยังเป็นที่ที่ทำให้เธอได้พบกับใครคนนั้น คนที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ยังเป็นที่หนึ่งในใจเสมอ คนที่แม้จะใจร้ายแต่เธอก็ยังรัก และคงจะรักเขาไปแบบนี้อีกนานเท่านานเลยทีเดียว
“คิดถึงที่นี่จังเลยค่ะ รู้สึกเหมือนอินได้กลับบ้านยังไงก็ไม่รู้สิคะ” นายเก้าทำได้แค่พยักหน้ารับก่อนจะยิ้มตาม ด้วยอาจเพราะเป็นคนคุยไม่เก่งเท่าไหร่นัก อีกทั้งสถานะของตัวเองก็แค่ลูกจ้างธรรมดาคนหนึ่ง เขาจึงไม่อาจเอื้อมที่จะพูดคุยกับว่าที่เมียนายอย่างที่ใจคิด
สุดท้าย..ก็เลยต้องปล่อยให้คุณหนูองค์อินพูดคนเดียวต่อไป
ร่างสมส่วนที่กำลังก้มลงกราบเท้าของตนเองด้วยท่าทีนุ่มนวลน่ารักตรงหน้าถูกรวบเข้าไปกอดแทบทันทีเมื่อมาถึง องค์อินยิ้มรับก่อนสวมกอดคุณย่าของชรัสด้วยความรู้สึกคิดถึงท่านจับหัวใจ
“อินคิดถึงคุณย่ามากเลยค่ะ”
“พี่นุยังรักลินอยู่ไหม...” คำถามที่ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าเธอจะต้องเป็นคนถามมันกับเขาดังขึ้น มันคือคำถามที่เธอไม่เคยอยากได้คำตอบ เพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดไม่ตรงใจขึ้นมาเธอคงเจ็บปวดเจียนตายน่าดู แต่เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว ทนอยู่กับความรู้สึกบ้าๆ พวกนี้ไม่ไหวแล้ว “ลิน ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ก่อน…” ปรเมศวร์เองก็เริ่มได้สติหลังจากได้เห็นแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความปวดร้าวของอีกคนเข้า มันทำให้เขาคิดได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันมาจากตรงไหน และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง เขาเองที่ผิด ผิดที่พาช่อลดามาที่นี่
“เทียนไม่หวังสูงขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่พูดเพราะเป็นห่วงเท่านั้น” พลอยบุหลันตอบเสียงแผ่วก่อนจะพาตัวเองเดินหนีกลับมาที่ห้อง เพราะไม่อยากอยู่ให้เกะกะสายตา หรือสร้างความรำคาญให้กับเขาอีก หญิงสาวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเริ่มต้นสวดมนต์เหมือนทุกคืน ไม่นานก็ทิ้งตัวลงนอน และไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ “ฝันดีนะคะตัวเล็กของแม่…”
“ลูกศัตรูอย่างเธอที่โซฟานี่ก็พอมั้ง! เพราะว่าเตียงนั่นฉันเก็บเอาไว้ให้ เมีย ในอนาคตของฉัน!” เขาเน้นย้ำถึงคำว่า เมีย อย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะโยนคนที่เอาแต่นิ่งเงียบลงโซฟาอย่างไม่ออมมือนัก “โอ้ย! บุญเจ็บค่ะ…”
“ทะ…ทำไมคุณไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยล่ะคะ” คนได้ยินไม่ได้นึกตำหนิอะไรคนช่างถาม เขายิ้มก่อนจะเอ่ยตอบไปตามความจริง “จะต้องใส่ให้เสียเวลาทำไมล่ะครับ เพราะอีกเดี๋ยว…ก็ต้องถอดออกอยู่ดี” คำตอบที่มาพร้อมจูบหนักๆ ที่แก้มขวาทำเอาคนที่ยังเตรียมใจรับกับสิ่งเหล่านี้ไม่ไหว ย่นคอหลบหนีความซาบซ่านพัลวัน “คะ…คุณลูซคะ คะ…ว่าภัส…”
“ฉันตั้งใจจะบอกเรื่องลูกในวันที่แกวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกฉันว่าคุณป่านตอบตกลงจะแต่งงานกับแก!” ความจริงที่ได้รู้กลับกลายเป็นธเนศเสียเองที่พูดอะไรไม่ออก เขายังจำภาพของเอื้องทรายที่กอดเขาร้องไห้ปานจะขาดใจในวันนั้นที่ว่าได้ดี แต่เพราะมัวหลงดีใจมากไปเลยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเธอไม่ได้ร้องไห้เพราะดีใจที่เขาสมหวังกับอดีตคนรัก แต่มันคือความเสียใจ...ความเสียใจที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้ที่ต้องมารับฟังมันจากปากของเธอเอง ความโกรธก่อนหน้าค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความเสียใจในที่สุด
“ผมไม่หย่า! ต่อให้คุณจะเกลียดผมไปจนวันตายยังไงผมก็ไม่หย่า” “ทำไมล่ะคะ คุณจะเก็บฉันเอาไว้ทำไมในเมื่อคุณไม่สามารถทำให้ฉันมีความสุขได้เลยสักวันเดียว! เป็นฉันเองที่ต้องทนอยู่กับคนใจร้ายที่ไม่เคยมีฉันอยู่ในสายตา ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาคุณรู้บ้างไหมคะวาฉันต้องเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหนที่ต้องฝืนทนอยู่กับคนไม่มีหัวใจอย่างคุณ อ๊ะ!!” คำต่อว่าที่รุนแรงทำให้ตรีภพเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป มือทั้งสองกระชากใบหน้าหวานเข้ามาใกล้ก่อนจะกระแทกริมฝีปากเข้าหาอย่างรุนแรงแม้ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ทำเช่นนั้นได้ไม่นานเท่าไหร่ สุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาอยู่ดี รสสัมผัสที่รุนแรงหยาบกระด้างค่อยๆ แผ่วเบาลงตามลำดับแต่พอได้เห็นหยดน้ำตาใสที่ไหลรินออกมาจากแก้มเนียนทุกๆ สิ่งถึงได้หยุดลงพร้อมๆ กับใบหน้าคมคายที่ผละตัวออกห่าง... “ผมขอโทษ ขอโทษที่ใจร้ายกับคุณมาตลอด แต่ขอโอกาสให้ผมอีกสักครั้งได้ไหม ผมจะไม่มีวันทำให้คุณต้องเสียใจอีก”
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา อายุ 22 ปี ที่ได้รับทุนเรียนดีจนจบมหาวิทยาลัย ได้แบกร่างกายพาหัวใจอันแตกสลายกลับบ้านเกิดทันทีในวันที่จบการศึกษา เพราะบิดามารดาได้เสียชีวิตกระทันหันทั้งคู่หลังจากกลับจากการนำข้าวไปขายและโดนสิบล้อที่เบรคแตกเสียหลักพุ่งชนรถของพ่อแม่ของมังกร เมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกระทันหันเขาจึงกลับบ้านเกิดเพื่อไปทำไร่ทำนาสานฝันของพ่อแม่และนำความรู้ที่ได้เรียนมากลับมาพัฒนาที่ดินมรดกในบ้านเกิด หากแต่ว่ามังกรยังไม่ทันได้ทำอะไรเขากลับตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ตายแบบไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจที่สุด เขาจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเขาได้ไปไหว้พ่อกับแม่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วก็กลับมานอนแต่พอเขากลับตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชาย อายุ 8ขวบ กับบ้านพุๆพังๆ เขาตื่นมาในร่างของคนอื่นไม่พอ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มันที่ไหน และใครพาเขามา แล้วมังกรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่อยู่ในร่างเด็กชายยากจนคนนี้ มาติดตามชีวิตใหม่ของมังกรกันต่อไปค่ะ
เมื่อย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณที่ผู้ชายล้วนมีสามภรรยาสี่อนุ จื่อรั่วอิงจึงมองหาบุรุษที่จะทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและได้รู้ว่ามีอ๋องผู้หนึ่งไร้ภรรยาและตาบอดเขาคือคนไม่มีใครเอา"สวรรค์ให้ทางรอดข้าแล้ว" นิยายเรื่องนี้เป็นแนวสุขนิยม ปมเบา ๆ ไม่หนัก นะคะ พระเอกมีเมียเดียว พระเอกสายซึนคลั่งรักนางเอกแต่ไม่รู้ตัว นางเองจอมตื๊อเพื่อทำให้สามีรักสามีหลงขนความฮามาพร้อม ๆ กับบ่าวรับใช้และครอบครัว แนวขบขัน สายฮา สายตลกไม่ควรพลาดค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
[แนวลูกเด็กน่ารัก+สาวเก่ง+แก้แค้น]ฉวี่ชิงเกอแต่งงานกับฟู่หนานจิ่นมาเป็นเวลา 5 ปี เธอใช้ชีวิตเหมือนแม่บ้าน เธอคิดว่าตัวเองท้องแล้วจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาดีขึ้น แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือ ข้อตกลงการหย่า เมื่อคลอดลูก ฉวี่ชิงเกอแทบจะไม่รอดเพราะมีคนทำร้าย เธอถึงรู้สํานึก ห้าปีต่อมา เธอกลายเป็น"ท่านประธานฉวี่"แล้วกลับมาแก้แค้น คนที่เคยรังแกเธอต่างก็ได้รับการสั่งสอนอย่างสะหัส และความจริงที่ถูกปิดบังไว้ก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมาก อดีตสามีคิดจะขอคืนดีกับเธอเหรอ คิดง่ายไปหน่อยไหม? ฟู่หนานจิ่นอ้อนวอน"ที่รัก ลูกต้องการหม่ามี๊ ขอแต่งงานใหม่ได้ไหม?"
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
© 2018-now MeghaBook
บนสุด