“คิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ เลยเรา” “เปล่านะคะ เพียงแค่...” หญิงสาวเบี่ยงกายเล็กน้อย สองแขนกลมกลึงยกขึ้นโอบรอบบ่ากว้าง ช้อนสายตากลมโตพลางกระพือปีกบินราวกับผีเสื้อโบยบิน นิ้วยาวยกขึ้นทาบบนกลีบปากหนา คลี่กลีบปากแย้มยิ้มหวานฉ่ำเชื่อม “ถ้าพ่อเมฆหรือแม่ข้าวมาเห็นเราสองคนในสภาพอย่างนี้...” กันต์กนิษฐ์บดเบียดเรือนร่างนุ่มนิ่มกับความแข็งแกร่ง ยั่วยวนป่วนอารมณ์โดโนแวนให้ลุกพรึบจนยากระงับความต้องการส่วนลึกเอาไว้ “หยุดเลยยายตัวแสบ ทำอย่างนี้ได้ยังไงกันฮึ เราเป็นผู้หญิงนะ ใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” “เราเป็นคู่หมั้นกันแล้วนี่คะ แค่จูบกันนิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ยังไงก็ไม่สึกไม่หรอ เอ๊ะ...หรือคุณป๋าถือว่าได้เจาะไข่แดงกระถินแล้วจะไม่รับผิดชอบ กระถินไม่ยอมน่ะ จะฟ้องแม่ข้าวและพ่อเมฆให้ตีจนหัวแบะเลย” “เฮ้ย!” โดโนแวนถึงกับมึนงงราวกับถูกตีที่ทัดดอกไม้ กลอกนัยน์ตาไปมา “คุณป๋าไปทำอย่างนั้นกับเราตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่ามาตู่นะยายตัวยุ่ง” กันต์กนิษฐ์เคาะนิ้วกับข้างแก้ม เบ้ปากไปมาพลางเลิกคิ้วเหมือนคิดหาคำตอบที่โดโนแวนหาข้ออ้างหลีกหนีไม่ได้ ก่อนคลี่ยิ้มนัยน์ตาวาวใส “เมื่อคืนไงคะ เราจูบกัน มีพยานเห็นเยอะแยะเลย” “พยาน!” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เมื่อคืนมีใครเสียที่ไหนกัน “ที่ไหนกันฮึยายตัวแสบ เรานี่นะ...ฉลาดแกมโกงจริงๆ ยั่วจนคุณป๋าเผลอสะดุดเท้าตัวเองชนกับปากยายเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมต่างหากล่ะ”
ตอนที่ 1
“อะไรนะ! มันมาอีกแล้ว”
เสียงเข้มดุดังลอยตามลมมาทำให้ดรุณีน้อยวัยแรกรุ่นที่เดินหลังค้อม พร้อมย่อเข่าลงให้เตี้ยที่สุดและยังจรดปลายเท้าลงบนพื้นสนามหญ้าอย่างที่คิดว่าเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกจับได้หยุดชะงัก
เสียงของพ่อดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเอามาก ๆ เลย...เกิดอะไรขึ้น คิ้วโค้งได้รูปขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
เรื่องที่ทำให้พ่ออารมณ์เสียมีอยู่ไม่มาก หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเรื่องของ...
หญิงสาวคลี่ยิ้มเมื่อคิดได้ แต่ถ้าจะให้มั่นใจก็ต้องคอยฟังอีกครั้ง ใช่เรื่องที่เธอคิดอยู่หรือเปล่า และไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองมากจนหูฝาดไป
“มันมาทำไมอีก เพิ่งกลับไปไม่ใช่หรือไง ไอ้หน้าหอกหักนั่นน่ะ”
เสียงที่แว่วดังลอยตามกระแสลมมาอีกครั้ง ทำให้ดรุณีน้อยดีใจจนยิ้มกว้างเกือบถึงใบหู นัยน์ตากลมโตพร่างพราวระยับ ด้วยรู้ดีว่าไอ้เจ้าหน้าหอกหักที่บิดากล่าวถึงเป็นชายที่เธอพร่ำเพ้อคิดถึงอยู่ทุกขณะจิตจนเผลอร้องออกมาว่า...
“ไชโย!”
ดรุณีน้อยนามกันต์กนิษฐ์ หรือสมญานามว่ากระถินที่ถูกผู้เป็นบิดาเรียกเมื่อยามรัก แต่เมื่อไหร่ที่เกิดหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ก็จะกลายเป็นกระถินริมรั้วไปเสีย แทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ต้องเก็บระงับอาการดีใจจนเนื้อเต้นเอาไว้ รีบมองหาที่ซ่อน เพื่อฟังการสนทนาของคู่สามีภรรยาที่หวานจนลืมวัยและไม่กลัวมดจะขึ้น ด้วยความอยากรู้ที่แทรกซึมไปทุกอณูเนื้อ
ร่างโปร่งบางที่วันนี้สวมใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้น พับชายแขนเลยศอกมาเกือบถึงบ่า จับเสื้อที่ต้นแขนดึงมาพักไว้บนลาดไหล่กว้าง สวมกางเกงยีนขาสั้นอวดลำขาเสลาเรียวยาว จบที่รองเท้าผ้าใบคู่เก่งสีซีดจางจนแทบมองไม่ออกแล้วว่าเป็นสีอะไร ด้วยชุดที่สวมใส่อยู่นั้น...
บิดาไม่ชอบใจอย่างแรง จมูกโด่งยู่ย่น ใบหน้าเรียวรูปไข่มีแววเหนื่อยหน่าย ศีรษะทุยสะบัดแรงๆ กลีบปากอิ่มสีชมพูอ่อนเบะออกพลางขมุบขมิบ
‘ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมสองสามปีมานี้พ่อถึงได้แสดงอาการไม่ชอบขี้หน้าเขม่นคุณป๋าเคนสุดหล่อของเธอนัก ไม่แค่เขม่นแต่ยังชอบพูดจากระแนะกระแหนอีกด้วย ได้ยินแล้วหงุดหงิดรำคาญใจจะแย่’
“โธ่...พี่เมฆ จะเขม่นเคนไปถึงไหนกันคะ”
เสียงหวานใสของหญิงอีกคนที่อยู่ในห้องโต้กลับ ดึงความสนใจของดรุณีน้อยให้รีบจรดปลายเท้าไปใกล้หน้าต่าง เธอจับหมวกมีปีกที่ใช้เก็บเส้นผมหนาดกดำและยาวสลวยไม่ให้ร่วงหล่นลงมาคลอเคลียลำคอระหง ขณะมองสองคนที่นั่งสนทนากันในห้องรับแขกด้วยหัวใจที่เต้นแรง รอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า
ตอนแรกเธอเสียใจแทบแย่ เมื่อรู้ข่าวว่าคุณป๋า...โดโนแวนมาแล้ว แต่อ้างว่ามีงานด่วนต้องรีบกลับในทันที จนคลาดกับเธอซึ่งกำลังเดินทางกลับมาเพียงแค่...ไม่ถึงชั่วโมง มันทำให้เธอหงุดหงิดเพราะคิดว่าปิดเทอมคราวนี้จะไม่ได้พบเจอกับชายหนุ่มอีกเหมือนเคย เฮ้อ! เศร้าใจชะมัดเลย
ใบหน้าผุดผ่องพรรณหมองเศร้าเล็กน้อย...นี่ก็อีกคน ไม่รู้เป็นอะไรนักหนา ตอนเธอไปเรียนก็มาบ่อยมาก เรียกได้ว่าแทบจะทุกอาทิตย์เลย แต่พอเธอปิดเทอม ไม่เคยมาให้เห็นหน้า ชอบอ้างว่าติดงาน ยุ่งจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ แต่กลับมีข่าวควงสาวไปกินข้าวได้ไม่เว้นแต่ละวัน คอยดูนะ เจอตัวเมื่อไหร่ เธอจะจัดการขั้นเด็ดขาดเลย นัยน์ตากันต์กนิษฐ์วามวาวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
‘หนีได้หนีไปนะคุณป๋าเคนจ๋า เดี๋ยวหนูกระถินเจอตัวเมื่อไหร่ จะจัดแผนการขั้นสุดยอดให้เลยค่ะ เชื่อว่าคุณป๋าเคนจะต้องเข่าอ่อน หนีไปไหนไม่รอดแน่นอน’
กันต์กนิษฐ์หมายมั่นปั้นมือ ถ้าไม่รุก เห็นทีจะไม่ได้โดโนแวนมาครอบครองเป็นแน่แท้ เมื่อรักก็ต้องทุ่มเทหมดหน้าตัก แต่ถ้าใช้วิธีที่คิดอยู่ละก็...ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้า คงจะเป็นลมล้มพับหายาดมมาจ่อจมูกแทบไม่ทันเชียวล่ะ
“มันเพิ่งกลับไปเมื่อไม่กี่วันนี้เองนะ เสือกกลับมาทำหอกอะไรอีกล่ะ” คนพูดออกอาการฮึดฮัดขัดอกขัดใจจนหนวดกระดิก เพราะรอยยิ้มหวานละมุน นัยน์ตาหวานพร่างพราวของภรรยา
“พี่เมฆละก็...พูดจาให้ไพเราะหน่อยสิคะ ไปเรียกเคนว่าไอ้บ้าง มันบ้าง ได้ยังไงกัน ไม่น่ารักเลย” ศรีภรรยาต่อว่าเสียงใส สะบัดค้อนใส่สามีวงโต
“มันก็รู้ไม่ใช่หรือไงกัน เรื่องที่พี่ไม่ชอบขี้หน้านะ เสือกมาอีกทำไม” คนเป็นสามียังถามด้วยความขุ่นเคืองระคนประชดประชัน ใบหน้าคมเข้มฉายแววไม่ชอบใจ ทำเสียงขลุกขลักฮึ่มๆ ง่ำๆ ในลำคอ
‘อยากมาป่วนความสุขในชีวิตเขามากนัก คราวนี้เขาควรจะต้องจัดหนัก ชนิดที่ว่ารีบขึ้นรถขับออกไปขึ้นเครื่องกลับประเทศตัวเองไม่ทันเลยเชียวล่ะ’
รอยยิ้มมุ่งมาดแต้มที่มุมปากหนา นัยน์ตาเข้มเป็นประกายวาวจ้าขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป
“พี่เมฆ!” ผู้เป็นภรรยาซึ่งแม้อายุจะเลยเลขสามไปถึงครึ่งแล้ว ทว่าใบหน้ายังใสและอ่อนเยาว์ จนคนที่ได้เห็นมักคาดคะเนอายุเธออยู่ที่ปลายยี่สิบร้องเรียกสามีเสียงเข้ม
“พูดให้ดีๆ หน่อยสิคะ ให้เกียรติเคนหน่อย ยังไงเคนก็เป็นผู้มีพระคุณทั้งกับคุณ ข้าวฟ่างและหนูกระถินนะคะ”
“ถึงไม่มีมัน พี่ก็ดูแลลูกกับเมียได้” โตยธรสวนกลับด้วยอารมณ์พาลเต็มที่ ใบหน้าหล่อคมเข้มแข็งกระด้างขึ้นมาทันควัน หนวดเหนือริมฝีปากกระดิก
มนต์สิกานต์สะบัดศีรษะอย่างอิดหนาระอาใจ ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปี ผู้เป็นสามีก็ไม่คลายความไม่ชอบหน้าหนุ่มน้อยที่ริอ่านปีนเกลียวจีบสาวรุ่นพี่อย่างเธอเอาเสียเลย
“พี่เมฆจะไม่ชอบเคนไปถึงไหนกันละคะ ถ้าโกรธเรื่องนั้นก็เชื่อใจกันบ้างสิคะ ข้าวฟ่างไม่มีวันรักเคนได้หรอก ก็รักพี่เมฆจนยอมได้ทุกอย่างเสียขนาดนี้ อีกอย่างก่อนไปโทษเคนนะ โทษตัวเองก่อนดีไหมคะ ถ้าไม่ทำให้เข้าใจผิด น้อยใจคิดว่าพี่เมฆไม่รัก ข้าวฟ่างก็ไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอกค่ะ” ศรีภรรยาต่อว่าต่อขานเสียงใส ใบหน้ารูปไข่เอิบอิ่มแย้มยิ้มหวานเป็นเนืองนิตย์ออกแววเหนื่อยระอา
มนต์สิกานต์เดินไปทรุดกายลงนั่งใกล้กับสามี แต่ผู้เป็นสามีกลับยื่นมือมาจับแขนกลมกลึงและกระตุกเล็กน้อย ร่างบอบบางอย่างไม่น่าเชื่อว่าผ่านการมีบุตรมาแล้วหนึ่งคน เพราะหุ่นเธอยังคงเพรียวบางสะโอดสะองน่ามองน่าจับต้องไปเสียหมดทุกส่วนก็ถลาไปนั่งอยู่บนตักกว้าง
โตยธรจับปลายคางมนให้หันมาประจันหน้าด้วย “จะให้เชื่อได้ยังไงกันล่ะ ถ้าไม่รักไม่ชอบ ทำไมข้าวฟ่างถึงได้ยอมไปกับมันง่ายๆ ล่ะ”
ชายหนุ่มทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่และไม่รอฟังคำตอบที่ทำให้ตัวเองไม่พอใจ เขาจรดจุมพิตลงบนเรียวปากนุ่มของเมียรัก บดคลึงอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ฟันขาวขบกัดกลีบปากอิ่ม สอดแทรกเรียวลิ้นอุ่นชื้นไปในโพรงปากนุ่ม กระหวัดกวัดเกี่ยวกับลิ้นเล็กๆ ดูดซับความหวานราวน้ำผึ้งรวงอย่างหลงใหล ฝ่ามืออุ่นระอุเลื่อนไล้นวดเฟ้นกายอรชรปลุกปั่นสร้างความวาบหวามให้กับเมียรัก ก่อนยอมถอนออกอย่างเสียดาย
มนต์สิกานต์อมยิ้มแก้มตุ่ย จับแขนกำยำโอบรัดรอบกายอรชรซึ่งเอนอิงแผ่นอกกว้าง “เป็นเพราะใครละคะที่ทำให้ข้าวฟ่างเลือกใช้วิธีนั้น” หญิงสาวบีบจมูกโด่งเบาๆ พลางแนบปากไปบนแก้มหนา
“ใช่สิ พี่ทำอะไรก็ไม่ดี ทำอะไรก็ผิดไปหมด สู้ไอ้เจ้านั่นไม่ได้ มันดีกว่าพี่ทุกอย่างนี่” โตยธรยังทำเสียงกระเง้ากระงอด ปากหนากดลงบนแก้มนุ่มซ้ายขวาและเลยไปถึงริมฝีปากอิ่มเต็ม กดเม้มแผ่วเบาก่อนจะสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปควานหาความหวานปานน้ำผึ้งอย่างพึงพอใจ
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
แต่งงานกันเป็นเวลาสามปี เสิ่มชูคิดว่าต่อให้ป๋อมู่เหนียนจะใจแข็งสักแค่ไหนก็ควรจะอ่อนลงได้ด้วยความรักที่เธอมีกับเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเขาบังคับให้เธอคุกเข่าลงในหอบรรพบุรุษของตระกูล เสิ่มชูถึงตระหนักว่าแท้ที่จริง ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจ คนที่ไม่มีหัวใจ เธอยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม? ดังนั้น เมื่อป๋อมู่เหนียนขอให้เธอเลือกระหว่างการคุกเข่าและการหย่าร้าง เสิ่มชูจึงเลือกการหย่าร้างไปโดยไม่ได้ลังเล เธอยังสาวยังสวยอยู่เช่นนี้ ทำไมจะต้องมาเสียเวลากับไอ้ผู้ชายคนนี้ด้วย!มิสู้กลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลจะดีกว่า
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"