'ซะ...ซัน อย่า...' คีตาพยายามเปล่งเสียงห้ามเมื่อกลีบปากนุ่มนิ่มเป็นอิสระ แต่เสียงที่ผ่านลอดริมฝีปากออกมามันกระท่อนกระแท่นเต็มที มือน้อยพยายามปัดป่ายผลักไสจมูกโด่งและริมฝีปากร้อนที่จรดจุมพิตหวามไหวซุกไซ้ตรงซอกคอ แต่ก็ต้องดึงมือหนีเพราะริมฝีปากร้อนเปลี่ยนเป้าหมายมาขบเม้มดึงดูดปลายนิ้วเรียวแทน 'ทำไมล่ะครับ คนรักกันเขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น' ศรัณย์หยุดการกระทำเมื่อได้ยินคำเว้าวอนราวจะขาดใจของคนในอ้อมกอด เสียงหวานที่ออกสั่นพร่ายามเอ่ยคำยับยั้งเขาช่วยดึงสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมา แม้ว่าภายในกายยังปั่นป่วนความหวามไหวยังก่อกวนไปทั่วกาย 'ศรัณย์' 'เอาล่ะไปนอนเถอะ วันนี้เราสนุกกันมากพอแล้วล่ะคีตา แต่ถ้าอยากให้ฉันสาธิตมากกว่านี้ รอให้เธอเป็นกุลสตรีมากกว่านี้แล้วกันนะ' จบคำลำแขนแข็งแรงที่โอบกอดร่างระหงแนบแน่นก็คลายออกแม้จะไม่ถึงกับปล่อยร่างบางในทันทีแต่ทว่าด้วยเจ้าของไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว เมื่อหลุดพ้นจากวงแขนร่างนั้นก็ซวนเซเกือบล้มแต่มือเรียวยาวของเจ้าของนามศรัณย์ที่รักก็คว้าเอาไว้ได้ทัน 'ฝันดีนะครับคีตาที่รัก' ศรัณย์ยื่นหน้าเข้าไปกล่าวอำลาใกล้ๆ ใบหน้างาม ก่อนขยับตัวเลี่ยงออกจากห้องสมุดไปทิ้งให้เจ้าของนามคีตาที่รักมองตามอย่างมึนงง คีตาทั้งอยากกรีดร้อง ทั้งอยากโวยวาย แต่ความรู้สึกวาบหวิวในใจที่ยังปั่นป่วนอารมณ์ทำให้หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่ง กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นราวต้องการข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ความหวามไหวจากจุมพิตแรกในชีวิตสาวยังคุกรุ่นไม่จางหาย จูบเธอแล้วชิ่งหนีแบบนี้ สักวันเธอจะเอาคืนให้สาสม เธอนี่แหละจะกำราบคาสโนว่าอย่างเขาให้สิ้นลาย คอยดู!
12 ปี ก่อน…
“กรี๊ดดดด!”
“เธอเป็นบ้าอะไรของเธอ... ยัยคีย์” เด็กชายศรัณย์ตะโกนกลับพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหูเมื่อจู่ๆ เสียงกรีดร้องด้วยความขัดใจของเด็กหญิงคีตาก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณ เด็กชายรู้สึกขัดใจที่เด็กหญิงมีแต่หาเรื่องปวดหัวให้เขา คอยดูเถอะกรี๊ดซะลั่นบ้านแบบนี้อีกสักพักบุพการีของเขาและคุณลุงคุณป้าที่รักต้องออกมาดูกันจ้าละหวั่น
“คำก็บ้า สองคำก็บ้า ใช่สิฉันมันบ้าๆๆๆๆ” เด็กหญิงคีตาพ่นวาจาโกรธเกรี้ยวเมื่อได้ยินคำต่อว่าจากเด็กชายเพื่อนสนิทของเธอ ความจริงอาจเป็นเธอฝ่ายเดียวที่คิดว่าเด็กชายศรัณย์เป็นเพื่อนสนิท เพราะเท่าที่ดูเด็กชายไม่มีทีท่าว่าอยากเป็นเพื่อนสนิทกับเธอสักนิด
เพียะ!! ตุ้บ!! พลั่ก!!
“โอ๊ย! คีตา! เธอมาทุบ มาตี มาเตะ มาต่อย ฉันทำไมเนี่ย! ฉันไปทำอะไรให้เธอยัยบ้า” เด็กชายศรัณย์อุทานอย่างตกใจพลางหลบหลีกทั้งมือและเท้าที่กระหน่ำมาที่เขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เด็กชายชักสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ หากคีตาเป็นเด็กชายเช่นเดียวกันกับเขามีหวังได้แลกหมัดกันบ้างแล้ว
“ข้อหาที่นายไม่ตามใจฉันไงเล่านายซัน” เด็กหญิงคีตาเฉลยถึงต้นเหตุแห่งความขุ่นข้องหมองใจเมื่อพายุอารมณ์สงบลง แต่ดวงตายังคงครุกรุ่นไปด้วยความขุ่นมัว
“กะอีแค่ฉันไม่พาเธอไปกินไอศกรีมเนี่ยนะ” เด็กชายศรัณย์อุทานถามด้วยสีหน้าราวไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จะว่าไปเขาไม่ควรแปลกใจเพราะเด็กหญิงคีตามักจะมีเหตุผลที่ดูไม่เข้าทีที่หาเรื่องให้เขาต้องคอยตามเอาใจเสมอด้วยเขา ไม่อาจขัดใจผู้เป็นบิดามารดาที่ทั้งรักทั้งหลงเด็กหญิงผู้เอาแต่ใจ เขาจึงต้องคอยหลบหลีกเอาตัวรอดเองอยู่ร่ำไป
“ใช่” เด็กหญิงตอบใบหน้าเนียนใสตามวัยเชิดขึ้นน้อยๆ อย่างถือดี
“ฉันไม่ใช่ทาสรับใช้เธอนะ ที่จะต้องคอยเป็นสารถีให้เธอใช้โน่นนี่นั่นได้ตามใจ” เด็กชายยังโต้แย้งไม่ยอมลงให้แต่โดยดีด้วยครั้งนี้เหตุผลมันสุดทนที่จะตัดใจรับได้ ...ร้านไอศกรีมก็อยู่แค่หน้าบ้านจะไปเองไม่ได้รึไงนะยัยคีย์บ้า!
“นายจำไม่ได้รึไง ว่าป๊านายสั่งอะไรไว้” เด็กหญิงคีตาเท้าความใบหน้าที่เชิดน้อยๆ สะบัดพรืดกลับมาจ้องมองเด็กชายศรัณย์อย่างเอาเรื่อง
“มันเรื่องของป๊า ไม่เกี่ยวกับฉัน ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องตามใจเธอ” เด็กชายศรัณย์ตอบโต้พร้อมชะโงกหน้าเข้าหาใบหน้าที่งอง้ำ
ต่างคนต่างสบตากันอย่างท้าทาย ฝ่ายหนึ่งดวงตาฉายแววเอาเรื่องอย่างขัดเคืองใจ ฝ่ายหนึ่งดวงตาฉายแววท้าทายเมื่อได้ยอกย้อน
“ไม่เกี่ยวใช่ไหม” เด็กหญิงคีตาย้ำคำเสียงเข้มดวงตาวาววับอย่างเอาเรื่อง
“ใช่!” เด็กชายศรัณย์ตอบกลับทันควันยักคิ้วให้พร้อมสายตายียวนก่อนเบะปากราวท้าทาย
“ได้! งั้นเราจะได้เห็นดีกัน” เด็กหญิงคีตาเข่นเขี้ยวเมื่อเห็นกิริยาท้าทายของเด็กชายศรัณย์ และโดยที่เด็กชายศรัณย์ไม่คาดคิดเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงก็ดังกึกก้องขึ้นอีกหนครานี้ดังยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าชนิดที่ทำเอาแก้วหูของเขาแทบแตกกระจาย
“กรี๊ดดดดด....”
“โธ่โว้ย! ยัยคีย์บ้า หยุดกรี๊ดซะทีได้ไหม ฉันหนวกหู” เด็กชายศรัณย์ตะโกนกลับหวังหยุดความบ้าคลั่งของเด็กหญิงคีตาด้วยไม่คิดว่าคู่ปรับจะใช้วิธีพิชิตชัยชนะอันเป็นลูกไม้ที่ใช้กี่ครั้งก็ยังได้ผลเสมอ
“กรี๊ดดดดด…”
“ได้! อยากกรี๊ดนักใช่ไหม เชิญกรี๊ดให้คอแตกตายไปเลย ฉันไปล่ะ แบร่ๆๆๆๆ ยัยคีย์บ้า” เด็กชายศรัณย์จึงต้องงัดไม้ตายออกมาก่อนที่ความบ้าคลั่งของเด็กหญิงคีตาจะนำพาบุพการีมาถึงที่ เพราะนั่นเขาจะหมดโอกาสหนีเอาตัวรอด ท้ายสุดก็ต้องจำใจตามใจหลานคนโปรดของบุพการี
“อ๊ายยย! นายซัน! กลับมาเดี๋ยวนี้นะนายจะไปไหนไม่ได้” เด็กหญิงคีตาหยุดกรีดร้องทันทีเปลี่ยนมาเป็นตะโกนเรียกอย่างขัดใจเมื่อเห็นเด็กชายวิ่งหนีไปไกลแสนไกล สองเท้ากระทืบเร่าอย่างขัดใจที่ไม่อาจเอาชนะเด็กชายได้แต่เหมือนสวรรค์จะเข้าข้างเมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นบิดา
“เอะอะเสียงดังอะไรกันลูก...หนูคีย์” ผู้เป็นบิดารีบเอ่ยถามทันทีที่เห็นบุตรสาวที่รักกำลังกระทืบเท้าเร่าๆ ราวกำลังขัดใจ เสียงหวีดร้องที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณบ้านพาให้เขาและภรรยาพร้อมด้วยสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านที่นั่งคุยกันอยู่ในโถงรับแขกรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นตกใจ ความจริงทุกคนน่าจะชาชินกับเสียงที่มักจะได้ยินอยู่เป็นนิจแต่ทว่าดูเหมือนทุกคนจะต้องแตกตื่นกันเสียทุกครั้งไปเมื่อเจ้าของเสียงเด็กหญิงผู้เป็นขวัญใจหวีดร้องกังวาน
“คุณพ่อขา... ฮือออ...” เด็กหญิงรีบโผเข้าหาผู้เป็นบิดาเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้น
“ไหนใครทำอะไรหลานลุงบอกมาสิคะ” ผู้เป็นลุงรีบปลอบขวัญอย่างเอาใจหวังให้หลานรักคลายสะอื้น
“คุณลุงขา... ฮือออ...” เด็กหญิงเปลี่ยนเป้าหมายร่างน้อยผละออกจากบิดาแล้วโผเข้าหาผู้เป็นลุงทันทีที่ถูกเอ่ยถาม
“แล้วนี่ตาซันหายไปไหน ทำไมปล่อยให้ยัยหนูคีย์ร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้ มาหาคุณป้ามาลูก ดูซิร้องไห้จนตาแดงหมดแล้ว ไม่ร้องนะคะหนูคีย์ขาของป้า” ผู้เป็นป้าอ้าแขนรับขวัญหลานรักที่โถมกายเข้าหาทันทีที่จบประโยค
“คีตา... หนูโตแล้วนะลูก คุณแม่สอนแล้วใช่ไหมคะว่าอย่าเอาแต่เอะอะโวยวายกรี๊ดลั่นบ้านแบบนี้” ผู้เป็นแม่ดุเด็กหญิงเสียงเข้ม พลางส่ายหน้าด้วยความระอายามมองกิริยาออดอ้อนของบุตรสาวและอาการโอ๋จนเกินงามของผู้ใหญ่ทั้งสาม
“มิ้นท์... อย่าเพิ่งดุลูกสิครับ ไม่เห็นรึไงยัยหนูคีย์กำลังขวัญเสียซะขนาดนี้” คุณภาคินหันมาติงภรรยาที่เอ่ยวาจาที่อาจทำให้บุตรสาวที่รักยิ่งโหมสะอื้นไห้หนักขึ้น
“พี่คินตามใจยัยหนูคีย์จนจะเสียคนหมดแล้วนะคะ” คุณมินตราหันมาขึงตาใส่ผู้เป็นสามีอย่างระอา
จริงอยู่ที่เด็กหญิงคีตาเปรียบดั่งแก้วตาดวงใจ เพราะหลังจากคลอดบุตรสาวไม่นาน เธอก็ตรวจพบว่ามีเนื้องอกเจริญผิดที่ที่รังไข่ทำให้ต้องตัดสินใจตัดทิ้งไปจึงไม่สามารถมีบุตรได้อีก แต่ถึงกระนั้นคุณมินตราก็ไม่เห็นด้วยที่จะต้องตามใจกันถึงขนาดนี้ หากไม่อบรมเด็กหญิงจะเพาะบ่มนิสัยเอาแต่ใจกลายเป็นความเคยชินจนยากที่จะแก้ไข
คนเป็นแม่อดที่จะต่อว่าบิดาของเด็กหญิงไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจวบจนเด็กหญิงจะอายุเข้า 12 ปีแล้ว ทุกคนล้วนตามใจจนผู้เป็นแม่ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ว่าเด็กหญิงคีตา หรือ ยัยหนูคีย์ ขวัญใจคุณพ่อ คุณลุง คุณป้า จะต้องการอะไรเป็นต้องได้ ห้ามใครขัดใจเด็ดขาด และที่ร้องห่มร้องไห้โวยวายอยู่นี่เห็นทีคงไม่พ้นต้องมีใครสักคนอาจหาญขัดใจในสิ่งที่บุตรสาวที่รักต้องการ
“ฮือออ... คุณพ่อขา คุณลุงขา คุณป้าขา คุณแม่ไม่รักหนูคีย์ ฮือออ...” เด็กหญิงรีบเรียกร้องความสนใจทันทีที่ได้ยินผู้เป็นมารดาเอ่ยคำด้วยรู้ดีว่าหากไม่รีบออดอ้อนเอาใจทั้งผู้เป็นพ่อ ทั้งผู้เป็นลุงและป้าจะต้องยอมจำนนให้มารดาเข้ามาจัดการ นั่นย่อมหมายความว่าการจะตามตัวเด็กชายศรัณย์ให้มาทำตามต้องการเป็นอันต้องพับเก็บไปทันที
เด็กหญิงตัวน้อยรู้ดีว่าแม้บิดาจะรักและตามใจแต่เมื่อใดที่มารดาเอ่ยปากผู้เป็นบิดาจะต้องยอมศิโรราบให้ทุกครั้งไป และเมื่อนั้นผู้เป็นมารดาก็จะเข้ามามีบทบาทบังคับขู่เข็ญให้เด็กหญิงจำต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบใจขัดใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้เด็กหญิงคีตาจะรู้ว่าผู้เป็นมารดารักตัวเองมากแค่ไหน แต่ผู้เป็นมารดาก็ไม่ค่อยตามใจเธอสักเท่าไหร่ เด็กหญิงจึงต้องดึงผู้เป็นลุงและป้าเข้ามาช่วย
“ชู่ว... ไม่มีใครไม่รักหนูนะคะ คุณพ่อรัก คุณลุง คุณป้าก็รัก ที่สำคัญคุณแม่รักหนูมากรู้ไหม ไหนบอกคุณพ่อสิคะ ใครทำอะไรลูกสาวพ่อ” ผู้เป็นพ่อดึงร่างน้อยเข้ามาโอบกอดปลอบขวัญเมื่อเห็นอาการสะอื้นไห้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“ฮึก...ฮือออ ...ซันค่ะคุณพ่อขา” เด็กหญิงคีตารีบบอกสาเหตุทันทีราวกลัวว่าหากล่าช้าผู้เป็นมารดาอาจขัดขึ้นก่อนทันได้เอื้อนเอ่ย มือน้อยปาดน้ำตาที่ไหลรินป้อยๆ ขณะช้อนสายตาออดอ้อนผู้เป็นบิดา
‘น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าจะไม่น้อยจนเกินไปสำหรับ 'ผู้ชายขายกล้วย’ อย่างคุณ ขอบคุณค่ำคืนดีๆ ที่น่าจดจำ’ ‘เปลวตะวัน’ ฉุนจัดเมื่อตื่นมาในเช้าวันใหม่หลังผ่านค่ำคืนอัน เร่าร้อนกับแม่สาวไวไฟความเร็วเกิน 5G แล้วพบธนบัตรสีเทา ปึกหนึ่ง พร้อมจดหมายน้อยระบุข้อความถึงเขาชัดเจน!! "ห้าหมื่น! กล้าดียังไงมาตีค่าราคาฉันด้วยเศษเงินแค่นี้” คนอย่างเขาเสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้! หยามกันขนาดนี้ ต่อให้ต้องควานหาจนไกลสุดขอบฟ้า ต้องจ่ายเงินมหาศาล เขาก็จะตามล่าเธอมาลงทัณฑ์ให้ได้ นั่นคือคำประกาศก้องของ ‘หมอเปลวตะวัน’ ผู้แสนหล่อเหลา เบื้องหน้าเขาคือสูตินรีแพทย์ผู้แสนสุภาพและอ่อนโยนในสายตาคนทั่วไป แต่เบื้องลึกเขามีอีกด้าน ตัวตนที่ไม่มีใครคาดคิด เขาแสนร้าย เร่าร้อน และดุดัน! เธออยากมีลูก แต่ไม่อยากมีสามีผูกมัด ‘หนุมโฮสต์’ ทรงเสน่ห์ ในค่ำคืนนั้นจึงตอบโจทย์ 'พราวชมพู' ไม่คิดว่าการตัดสินใจเลือกคำตอบข้อนี้จะนำความยุ่งยากมาให้มากขนาดนี้ เธอตาถั่วหรือสวรรค์ชังความคิดรั่วๆ ของเธอจึงแกล้งสาปส่งให้ดวงตาเธอฝ้าฟางเข้าใจไปว่าเขาคือ ผู้ชายขายกล้วย' ในคำนิยามของเธอที่นัดหมายเอาไว้ ซ้ำร้ายยังส่งเขามาตามรังควานจนหาความสงบสุขไม่ได้ เธออยากได้แค่ลูก ไม่อยากได้ผัว ใครอยากได้แม่ยกให้ฟรีๆเลยเอ้า!
ว่ากันว่า...First impression จะเกิดขึ้นใน 3 วินาทีแรก ถ้าจะทำให้ใครสักคนประทับใจต้องมัดใจเขาให้ได้ใน 3 วินาทีนั้น!! และเขาจะไม่มีวันลืมเลือน... ซ่า... “โอ๊ะ!” เสียงน้ำสาดซัดเข้าใส่ร่างสูง ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงร้องอย่างตกใจของชายนิรนามเมื่อจู่ๆก็ถูกใครคนหนึ่งกระโจนขึ้นขี่หลังแล้วใช้กระป๋องครอบศีรษะเขา พร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวก “นี่แน่ะเจ้าหัวขโมย!” “ท่านรองฯ!!” “ท่านรองฯ อะไรคะพี่ๆ นี่มันโจรโรคจิตชัดๆ เราต้องจับไอ้หมอนี่ส่งตำรวจนะคะ” “ยู้ดดด... หยุดก่อนหนูช่อ นี่ท่านรองฯ ...รองประธานนะไม่ใช่โจรโรคจิต” “ฮะ!” ช่อมาลีผงะถอย มือน้อยปล่อยท่อนแขนกำยำโดยไว คนถูกเรียก ‘ท่านรองฯ’ ยืนทำหน้าถมึงทึง จ้องมองมาด้วยสายตาดุดัน “ตามฉันไปที่ห้อง!” โอ้! เจ้าช่อมาลี ช่างกล้า... แบบนี้ 'ท่านรองฯ' คงประทับใจเจ้ามิรู้ลืม... 555 เรื่องแจ้ง: นิยายเรื่องนี้ช่อมาลีเป็นสาวเชียงใหม่ ธัชชาจึงมีสอดแทรกภาษาพื้นเมืองลงไปตามถิ่นเกิดของนางเอกนะคะ ทั้งนี้ธัชชาไม่ใช่คนทางนั้น ภาษาพูดที่ใส่ลงไป ธัชชาปรึกษาจากเพื่อนซึ่งเป็นคนทางนั้น แต่อาจมีบางประโยคที่ธัชชาเขียนเองแต่ลืมถามเพื่อน หากใครอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ รีบท้วงมานะคะ จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง “ไปกับฉันช่อมาลี ไปเป็นผู้หญิงของภีมวัจน์ ฉันสัญญาว่าเธอจะเป็นผู้หญิงของฉันคนเดียว...ตลอดกาล” “แต่สมภารไม่กินไก่วัดนะคะ” “บังเอิญว่า ฉันไม่ใช่สมภารแล้วเธอก็ไม่ใช่ไก่วัดด้วยสิ” เขาบอกยิ้มๆ ช่อมาลีนิ่งอึ้งจ้องคนตัวโตที่ยามนี้ดวงหน้าคมของเขาโน้มต่ำลง ...ใกล้เข้ามา ...ใกล้เข้ามา ทุกขณะ! “เธอนี่จริงๆเลยนะ ไหนว่าฉันถอดเสื้อแล้วอุจาดตาไง ทำไมตอนนี้ถึงได้กอดแล้วก็ซบอกฉันไม่ยอมปล่อยแบบนี้ล่ะฮึ” ช่อมาลีผงะ! ภีมวัจน์แกล้งคลายวงแขนออกเหมือนจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระ และก่อนที่ช่อมาลีจะทันได้ขยับห่างออกไปอีก เขาก็คว้าเอวคอดรั้งร่างเธอเข้ามากอดแล้วจู่โจมจูบเธอไม่ปล่อยให้ตั้งตัว!
‘กุลสตรี’ หญิงสาวหน้าตาธรรมดาแต่ดวงตาและทรวดทรงของหล่อนนั้นเซ็กซี่เข้าขั้นขยี้ใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แบบชะงัด แต่เจ้าหล่อนกลับรักษาพรหมจรรย์ไว้ยิ่งชีพจวบจนกระทั่งอายุย่างเข้าสู่วัย 25 ปี เรื่องวุ่นๆก็เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจอย่างไร้สติของหล่อนเอง “กุลรักพี่ธีร์นะคะ รักมานานแล้ว” “พิสูจน์สิ ...ว่าเธอยังเวอร์จิ้น ถ้าใช่! ฉันจะคบกับเธอ แล้วหยุดที่เธอคนเดียว” กุลสตรีหน้าชา สายตาเขาดูหมิ่นดูแคลนหล่อนเหลือใจ หล่อนไม่เคยอับอายอะไรอย่างนี้มาก่อน นี่หล่อนทำอะไรลงไป ความตื่นตระหนกตกใจ ทำให้หล่อนก้าวผิดพลาดไปหมด อะไรที่วาดหวังวางแผนไว้ หล่อนลืมเลือนหมดสิ้น ...ลืมเลือนถึงขั้นไร้สติ เอ่ยวาจาเหมือนคนไร้สมองให้เขาเหยียดหยาม “ว่าไง...กล้าพิสูจน์ไหมล่ะ” นั่นคือคำท้า ...และหล่อนก็ใจกล้าอย่างไร้สติจริงๆ ความรักทำให้คนตาบอดฉันใด ความอยากเอาชนะและอยากครอบครองก็ทำให้คนขาดสติฉันนั้น กุลสตรีเองก็เช่นกัน หล่อนตัดสินใจทันควัน ...หล่อนจะเป็นคนรักของ ‘ธันเดอร์ ธีร์ เทย์เลอร์’ ...และเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตเขา! ฝากนิยายเรื่องแรกของ 'ธีร์ ธัชชา' ด้วยนะคะ คำเตือนก่อนอ่านนิยายเรื่องนี้ คำเตือน 1 นิสัยและความคิดพระเอกอาจจะดูร้ายเข้าขั้นเลวบริสุทธิ์ แต่ก็นะ...ท้ายสุดก็รักนางเอก คำเตือน 2 นิสัยนางเอก คือ ความมุมานะ ลงว่าตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ แต่อีกนัยคือ ความรั้น! เมื่อรักบดบังคนดวงตามืดมิด ความคิดและความรู้สึกก็เหมือนตกอยู่ในห้วงมายา ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า... หลอกตัวเองไปวันๆ คำเตือน 3 'พรหมจรรย์แลกรัก' ไม่มีอยู่จริง เพราะในความเป็นจริง ความรักไม่มีอะไรสามารถนำมาแลกเปลี่ยนได้ รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก แต่ไม่รักสุดท้ายอาจรักก็ได้ (เครดิต ความเห็นจาก นักอ่านท่านหนึ่งในเด้กดี ขอบคุณค่ะ) คำเตือน 4 นิยายเรื่องนี้นักเขียนจินตนาการขึ้นมาเพื่อความบันเทิงและสอดแทรกมุมมองความคิด หากไม่ถูกจริตท่านใดก้ขออภัย
‘พระจันทร์’ นักธุรกิจหนุ่มด้านอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่แห่งภูมิภาคอาเซียน ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามผู้หญิง แต่สำหรับ ‘พิมพ์อัปสร’ มัคคุเทศก์สาวแสนธรรมดา เธอกลับพยศเสียจนเขาอยากเอาชนะ และเมื่อเธอกล้าใช้หัวใจของเขาเป็นสะพาน ซ้ำอาจหาญทำร้ายจิตใจน้องสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของเขา เธอจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม!! “ว้าย! นี่คุณจะทำอะไรปล่อยนะ” “กับผมสะดีดสะดิ้ง ทีกับนายทัดเทพคุณกลับยิ้มระรื่นนะพิมพ์” “ปล่อยนะ! บอกให้ปล่อย!” พิมพ์อัปสรณ์ออกคำสั่งด้วยเสียงสั่นสะท้านเพราะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาจับจิต “ตบผมถึงสองครั้งสองหน คุณคิดว่าผมจะปล่อยคุณง่ายๆ หรือไง” จบคำร่างบางก็ถูกโยนขึ้นเตียงกว้างพร้อมร่างหนาตามติดขึ้นไปทับทาบขึงตรึงจนไม่อาจขยับหนีได้ “กรี๊ดดด... ” “อย่า... ได้โปรด... อย่าทำพิมพ์” เสียงหวานเปลี่ยนมาเป็นร้องขอ เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าหยุดฟังสักนิด พระจันทร์เหยียดยิ้มเมื่อเห็นแววตื่นตระหนกในดวงตาคู่งาม “ผมปล่อยคุณไปก็โง่น่ะสิพิมพ์ ฮึ!”
ชีวิตของซุปเปอร์สตาร์หนุ่มมีเพียง One night stand เท่านั้น ไม่มีรัก ไม่ผูกพัน ‘คิมฮัน’ ไม่เคยคิดเลยว่ารักแรกพบจะมีอยู่จริง จนกระทั่ง... “ฉันจะมาทำอะไร ยังไงมันก็เรื่องของฉัน” จบคำหญิงสาวก็สะบัดหน้าพรืดหมุนกายขยับจะหลีกหนีกลับเข้าไปในงาน แต่ทว่าเรียวแขนกลมกลึงกลับถูกอีกฝ่ายคว้าไว้เสียก่อน “เอ๊ะ! ปล่อยนะ นายถือดียังไงมาจับแขนฉัน” “แตะนิดแตะหน่อยทำเป็นโวยวาย อยากให้ฉันทำมากกว่านี้ก็บอกมาเถอะน่า ไม่ต้องทำเป็นแกล้งหวงเนื้อหวงตัวหรอก บางทีถ้าเธอบอกมาตรงๆ คืนนี้เราอาจไปสนุกกันต่อก็ได้นะ” เพียะ!! เสียงฝ่ามือกระทบเข้ากับเนื้อข้างแก้มของคิมฮันทันทีที่จบวาจาแสนร้ายกาจนั้น ใบหน้าคมสะบัดตามแรงกระทบ ดาราหนุ่มตกใจไม่น้อย เรียวฟันแข็งแกร่งขบเข้าหากันแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัว แม้ในใจจะรู้ดีว่านี่คือผลของการใช้วาจาระรานอีกฝ่ายด้วยความคึกคะนอง แต่ทว่าไม่เคยมีใครกระทำกับเขาเยี่ยงนี้มาก่อน ใบหน้าคมสันค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาคมวาวโรจน์ราวกับดวงไฟที่ลุกโชนด้วยความโกรธ ร่างบางถูกกระชากเข้าหาอย่างลืมตัว สองแขนถูกรวบไพล่ไปด้านหลังด้วยมือแข็งแรง ศีรษะสวยถูกบังคับให้เงยแหงนขึ้นด้วยมืออีกข้าง ใบหน้าคมโน้มต่ำลงแล้วฉกจูบเธออย่างรวดเร็ว... เธอ... จะทำอย่างไร เมื่ออยู่ๆ ผู้ชายที่ชื่อ ‘คิมฮัน’ ก็เข้ามาวิ่งวุ่นวายอยู่ในใจตลอดเวลา ยิ่งหลบหนีก็ยิ่งชิดใกล้... แม้จะปิดบังซ่อนเร้นหัวใจที่อ่อนไหวไว้ภายใต้ท่าทีเย็นชา แต่ว่า... จะซ่อนเร้นได้ตลอดไปหรือ ในเมื่อยิ่งหลบซ่อน เขาก็ยิ่งค้นหา เธอยิ่งหนี เขาก็ยิ่งรุก!
‘เตชัส’ หรือ ‘ดาวิเด้ ดิ เฟอร์นันโด’ เครียดขึ้นมาทันทีเพราะ ‘สาวน้อยนัยน์ตากวาง’ ที่เขาต้องตาต้องใจและเกือบเขมือบเจ้าหล่อนคืนนั้นกลายมาเป็น 'น้องสาวต่างมารดา' ของเขา และเพียงเหยียบย่างเข้าสู่อาณาเขต 'คฤหาสน์นราธิบดี' เขาก็พบว่า...นอกจากจะต้องเก็บข่มความรู้สึกในหัวใจของตัวเองเอาไว้แล้ว เขายังต้องรับมือกับความร้ายกาจของใครบางคนที่หวังครอบครองทุกสิ่งอย่างของตระกูล ความลับบางอย่างที่ใครบางคนเก็บซ่อนเอาไว้จะถูกเปิดเผยหรือไม่ เขาและเธอจะก้าวผ่านเรื่องราวบีบคั้นหัวใจนี้ไปได้อย่างไร ประตูแห่งความรักจะถูก 'ปิดตาย' หรือพอจะมีช่องทางใดเป็น 'สะพาน' ให้พวกเขาก้าวข้ามเดิน!
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
เพราะแอบรักกล้าตะวันมากนาน หวันยิหวาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครองรักกับเขา โดยมีมารดาของเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่สำหรับกล้าตะวันแล้ว หวันยิหวาคือนางมารร้ายที่ทำให้เขากับคนรักต้องเลิกรากัน ดังนั้นทุกวินาทีหลังจากงานวิวาห์นี้จบลง หวันยิหวาจะต้องได้รู้จักกับนรกอเวจีปอยเปตอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว “อา... อ๊า...อา...” ลำคอระหงถูกซุกไซ้และดูดเม้ม เสื้อผ้าถูกดึงทึ้งออกไปจากร่างกาย จนในที่สุดก็เปลือยเปล่า กล้าตะวันเลียลงมาที่ไหปลาร้า และมาซบหน้าคลุกเคล้ากับร่องอกอวบ เขาดอมดมกลิ่นสาปสาวอย่างหิวกระหาย ขณะที่ฝ่ามือหนาวางทาบลงกับเต้านมอวบอัดข้างซ้ายของหล่อน “อา... อ๊า... ซี๊ดดดด” หล่อนเผยอปากครางลั่น เมื่อปทุมถันถูกฟอนเฟ้นบีบเคล้าหนักหน่วง ปลายนิ้วแข็งแรงถูไถเม็ดเต่งอย่างเมามัน หล่อนดิ้นเร่าๆ หยัดหน้าอกขึ้นหาสัมผัสจากฝ่ามืออบอุ่นด้วยความกระตือรือร้น
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"