เดือนพิลาส หรือ แอนนี่ ลูกแม่ดาวเรือง กับ พ่อลุคส์ หรือ เจ้ากุ๊ก หลาน ยายดวง เดินทางกลับบ้านช่วงซัมเมอร์ หลังจากเกิดวิกฤต 911 เมื่อปี 2544 เธอตกบันไดพลอยโจนเป็น นักร้องหมอลำ เมื่ออินทิรา นักร้องวงพิณเพลินประสบอุบัติเหตุ เธอต้องขึ้นเวที ชีวิตจะสนุกสนานเฮฮาแค่ไหนกันหนอ ในนามเดือนเด่น แดนดาว MOONLIGHT STARLAND กับตำนานตำมั่วของยายดวง กับตำนานเพลงหมอลำที่สาวฝรั่งลำได้เสนาะหูด้วยลูกคอสามชั้น ช่วงเวลาซัมเมอร์ที่หัวใจเธอเผลอรัก จะทำให้เป็นรักนิรันดร์ไหม ถามหาหัวใจ ได้เลย กำลังจะฉายทางช่อง7 สีเร็วๆนี้ นำแสดงโดยบิ๊กเอ็มและ สกาย เคยสร้างเป็น TV Series สร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 ในปี 2546 นำแสดงโดย ป๋อ-ณัฐวุฒิ และชมพู่-อารยา
หมอลำ(ซัมเมอร์) บทที่1
อาริตา
หญิงสาวสวยอายุประมาณยี่สิบสองก้าวลงจากรถที่มาจอดให้ตรงทางเท้าเข้าสู่ร้านอาหารไทยขนาดใหญ่ที่คืนนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงชุมนุมคนไทยที่มาอยู่ในละแวกย่านนี้ แม่ของหล่อน...ดาวเรือง เป็นผู้ประสานงานของงานที่จัดหาเงินหนนี้...เป็นงานหาทุนเพื่อจะส่งกลับไปยังประเทศบ้านเกิด...ก็ที่เมืองไทย
ตัวหล่อน เดือนพิลาส เป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน พ่อของหล่อน มิสเตอร์ลุคส์ เป็นวิศวกรที่ถูกส่งไปทำงานที่เมืองไทยก่อนหล่อนจะเกิด แล้วพบแม่ที่เป็นนางพยาบาลเพราะมิสเตอร์ลุคส์มีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเรื่องไส้ติ่งอักเสบกะทันหันและแม่เป็นพยาบาลที่ดูแลพ่อตอนนั้นจนสานต่อเป็นความรักต่อกัน พ่อกับแม่แต่งงานกันเมื่อยี่สิบสามปีก่อน...โดยไม่ผ่านความเห็นชอบเต็มร้อยของยายหล่อน นางดวง เดชขาว...
นางดวงหรือยายดวงของหล่อนไม่ชอบฝรั่ง
...ไอ้เจ้ากุ๊กมันเป็นพวกต่างชาติ เป็นเมียฝาหรั่ง ดีตรงไหน...
ยายไม่เคยเรียกชื่อพ่อได้ถูกต้องสักหน...จากลุคส์เป็นกุ๊กเสมอ บางทีก็มีการต่อเติมว่า “เจ้ากุ๊กไก่”
พ่อรู้ตรงนั้นเหมือนกันแต่พ่อเป็นคนอารมณ์ดี มีอารมณ์ขันมากมายทำให้พ่อมองยายเหมือนมองหญิงแก่ที่ตลก และยายก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย เพราะยายเท่าที่เดือนพิลาสรู้จักเป็นคนตลกมีเรื่องให้หัวเราะมากมาย...บางเรื่องหล่อนก็เข้าใจแบบไม่ลึกซึ้งแต่ก็ได้หัวเราะเสมอ
มีลุงหล่อน...ลุงวีระที่บอกว่า
...มีผัวฝาหรั่งน่ะเท่ออกนะ แม่ ทำตัวทันซาหมัยหน่อย ฝาหรั่งยังไงก็ไม่ใช่มะละกอ เสี่ยวบ้านเฮา...
ลุงอีกคนมีอารมณ์ขันร้ายกาจพอกันกับยาย...และลุงยังเป็นศิลปิน...แม่บอกว่า
...เกือบจะโดดเดี่ยวอยู่แล้ว แต่ดีว่าเอาจริงเอาจัง...
ลุงเคยเป็นครูสอนดนตรีในโรงเรียนมัธยมมาก่อนเพราะจบทางด้านนี้มา แต่ลุงฝันไปไกลกว่านั้น ลุงฝันจะมีวงดนตรีของตัวเอง...จากวงเล็กๆ ที่เดี๋ยวนี้แม่ก็บอกว่ายังเป็นวงเล็กๆ อยู่ ลุงก็สร้างความฝันได้ด้วยการทำวง “พิณเพลิน” ร้องเพลงหมอลำ ลูกทุ่ง...และล่าสุดหล่อนก็ได้ยินว่าลุงทำเพลงที่เรียกว่าเพลงขแมร์ด้วย..พวกร็อคขแมร์ที่กำลังเป็นวงโด่งดังทางเมืองไทย
ที่บ้านมีเทปเพลงจากเมืองไทยมากมาย แน่ละว่ามีเทปเพลงของบริษัทลุงรวมอยู่ด้วย
หนึ่งเพลงในอัลบั้มเพลงร็อคจากวงพิณเพลินคือเพลง “น้องนางบ้านนา”...มีอินทิรานักร้องสาวของวงเป็นนักร้อง...เดือนพิลาสจะร้องเพลงน้องนางบ้านนาหนึ่งในสองเพลงโชว์คืนนี้ อีกเพลง...เป็นเพลงชื่อ “ถามหาหัวใจ” เพลงแนวป๊อบของนักร้องดังอีกคนของเมืองไทย...เพลงของ พรีม หรือ พิมสิริ
หล่อนชอบเนื้อเพลงเพลงนั่นมากทีเดียว
คนเขียนเพลงเขียนเนื้อเพลงได้ดีมาก ๆ...
ตัวนักร้องสาวคนร้องก็สวย แต่เสียงก็ยังไม่ค่อยดีนัก...อาศัยว่าเพลงโดนใจเลยโด่งดังมาก...หล่อนมีเทปเพลงเพลงนี้หล่อนซื้อมาดู...ดูชื่อคนแต่งเพลง...เขาลงชื่อสั้นๆ ไว้เพียงว่า “สัตยา” ไม่มีนามสกุลต่อท้ายอะไรเลย...ไม่รู้แน่ว่าเป็นแค่นามปากกาหรือชื่อจริง แต่เพลงในอัลบั้ม พรีม...พิมพ์ใจ...ก็ปรากฏชื่อนี้แต่งเพลงด้วยกันรวมสี่เพลง
หล่อนชอบทุกเพลง...แต่เพลงที่เป็นชื่ออัลบั้มเป็นเพลงชอบสุดๆ
หล่อนจะร้องโชว์ในงานนี้สองเพลง...เตรียมเสื้อผ้ามาด้วยกันสองชุด...ชุดแรกหล่อนจะแต่งชุดผ้าซิ่นแค่เข่าและเสื้อแขนกระบอก...มีผ้าแถบคาดทับ...ชุดที่ยายส่งมาให้เมื่อตอนสงกรานต์ไปทำบุญที่วัดไทย หล่อนนุ่งผ้าซิ่นยาวไม่ถนัด
นัก และพอดีกับว่าชุดแบบนี้เป็นชุดทางอีสานแบบหนึ่ง...ก็หล่อนเป็นสาวอีสาน...แม่เป็นสาวอุบล...มาอยู่ไกลถึงนิวยอร์กก็ใช่ว่าจะทำให้หล่อนเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ยังนึกถึงความเป็นลูกไทย...แม้สัญชาติของหล่อนจะไม่ใช่แล้วก็ตามที หล่อนมีสัญชาติอเมริกันตามพ่อ และเพราะว่าหล่อนเกิดที่นี่ด้วย
ลูกแม่ดาวเรือง หลานยายดวง...จะเสียชื่อได้อย่างไรกัน
คืนนี้ร้องสองเพลง...จะร้องเพลง “น้องนางบ้านนา” นั่นก่อนแล้วค่อยร้องเพลง “ถามหาหัวใจ”...
หล่อนพร้อมแล้ว เดินเข้าทางหลังร้าน...เจอกับเพื่อนแม่...ลุงหมู...เจ้าของร้านนี้...ชายวัยแก่กว่าแม่สักห้าปีเห็นจะได้ ปีนี้แม่ดาวเรืองของหล่อนอายุสี่สิบห้า ลุงหมูก็ประมาณห้าสิบ เขาแต่งงานแล้ว มีภรรยาแต่ไม่มีลูก สนิทกับพ่อแม่หล่อนและพลอยมาถึงหล่อนด้วย...เพราะเขาเห็นหล่อนมาแต่เล็กๆ...เขามาปักหลักที่นิวยอร์กนานแล้วเช่นกัน ทำร้านอาหารจนเลื่องชื่อรวมทั้งเป็นที่ชุมนุมของผู้คนชาวไทย ทั้งรุ่นเก๋าและรุ่นเอ๊าะๆ ที่ทั้งมาเรียนและมาทำงานที่นี่ หล่อนหอบหิ้วถุงใส่ชุดเสื้อผ้ามาด้วย
“มาช้าไปนิดค่ะ ลุงหมู เพราะแอนนี่มีงานเข้ามาด่วน”
ตอนนี้หล่อนกำลังฝึกงานอยู่กับสำนักงานแห่งหนึ่งทางด้านสถาปัตยกรรม และอาจจะทำงานที่นี่เลย หล่อนยังไม่ได้วางแผนไว้มากนัก...เพราะรับปากกับยายว่าซัมเมอร์ปีนี้หล่อนจะกลับเมืองไทยอีกหน...เรียนจบ...หมดช่วงการฝึกงาน หล่อนไม่ต้องรีบร้อนกลับมาก็ได้...ยายอยากให้หล่อนลองอยู่เมืองไทยนานๆ สักหน่อย
“คุยกับลูกค้ากว่าจะลงตัว”
งานที่หล่อนทำเกี่ยวกับลูกค้าที่มีเงิน...และที่สำคัญทุกคนพกพาความเป็นตัวของตัวเองมาเต็มเปี่ยม เดือนพิลาสไม่อยากเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นการเอาแต่ใจตัวเอง เพราะโดยนิสัยหล่อนเป็นคนประนีประนอมและมองในแง่ดีเสมอๆ
ลุงหมูของหล่อนหัวเราะฮ่า ๆ “คนมันมีกะตังค์ แล้วมันก็อยากได้อะไรแบบที่เรียกว่าตามหลักการหรือความสวยงามมันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม”
“นั่นแหละใช่เลยค่ะ”
“ป้านิดเค้ารอให้แอนนี่ไปทำห้องน้ำใหม่ให้นะ”
“ห้องน้ำหรือคะ” หล่อนหัวเราะคิกคัก “ได้เลย...งานถนัด...จะเอาแบบไหนดีคะ...”
“เอาแบบอาบเหมือนกลับไปยืนอาบกลางแจ้งบ้านเรา”
หล่อนทำตาโต “ไหวหรือคะ ตอนอากาศหนาวๆ...ได้หนาวตายกันพอดี แต่แอนนี่พอทำให้ได้นะคะ...ห้องน้ำกลางแจ้ง...แต่มีข้อแม้ข้อเดียว”
“อะไร”
“อย่าไปทำกลางแจ้งจริงๆ...หลบๆ ไว้ชั้นบน...แล้วทำต่อออกไป...งานนี้แอนนี่รับอยู่แล้ว”
เพราะลุงหมูคงจะถวิลหาชีวิตเมืองไทยนั่นเอง...เหมือนแม่หล่อน...หลายหนที่หล่อนฟังแม่เล่าเรื่องอาบน้ำข้างบ้าน...ให้ตาย...เดือนพิลาสบอกตัวเอง...หล่อนนึกภาพนั้นไม่ออก
...บ้านเราก็มีห้องน้ำ แต่แม่เป็นคนต่างจังหวัดใช่ไหม ตัวบ้านมีอาณาบริเวณ มีบ่อน้ำใหญ่ๆ มีท่อน้ำแบบโยก ต้องดูจากภาพ...
แต่ดูจากภาพแล้วก็ยังดูไม่ออกอยู่นั่นเอง
“ไปไป๊ เดี๋ยวก็ได้คิวร้องเพลง”
ถ้าชีวิตเติบโตขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้น วันนี้เขาก็เต็มไปด้วยความแค้นในทุกอณูของชีวิต ภายใต้ท่าทีสงบ นิ่งเงียบ และแข็งกร้าวประดุจหินผาของ "ศิลา"... แต่ภายในใจเขานั้น กลับระอุคุกรุ่นไปด้วยไฟแค้นที่รอวันชำระสะสาง! อสูรตนนี้ ผ่านวันเวลาแห่งความเคียดแค้นชิงชัง และพร้อมที่จะเริงไฟแล้ว...และสำหรับเธอ "มินตา"...สาวน้อยผู้อ่อนเยาว์ต่อโลกแห่งความเคียดแค้นชิงชัง ไฟแห่งอสูรครั้งนี้ มันน่าหวาดผวาสำหรับเธอแค่ไหน เพราะมันเป็นไฟแค้น ที่หลอมรวมมากับไฟแห่งปรารถนา...
(นิยายทำละคร เกมเสน่หา) เพราะเย่อหยิ่ง ถือตัว และเหยียดทุกคนที่ต่ำต้อยกว่า จึงทำให้ใครๆ ก็มองว่าเธอ "ร้ายกาจ" แต่ทว่า...นั่นเพราะเธอร้ายกาจจริงๆ หรือเพราะเธอสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา เพียงเพราะเธอกำลังเผชิญกับปัญหาบ้านแตก! และความรัก ความเป็นหนึ่งในครอบครัวถูกแย่งชิงจาก "เขา" ผู้เป็น "คนนอก" ครอบครัว เพราะเขาได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากครอบครัวของเธอมากกว่าเธอเสียอีก เธอจึงเกลียดเขาอย่างมากมาย และต้องกดเขาไว้ให้เป็นเพียง "เด็กในบ้าน" อย่าให้เขาเข้ามาชุบมือเปิบ ฮุบทุกอย่างในบ้านของเธอ และเมื่อเธอค้นพบว่า เขาหลงรักเธอ และหมายปองดอกฟ้าอย่างเธอ เธอจึงวางแผนขุดหลุมล่อ วาง บ่วงเสน่หา เพียงเพื่อให้เขาพบกับความผิดหวังและทุกข์ทรมาน โดยที่ไม่รู้เลยว่า เธอเองต่างหาก...ที่จะตกอยู่ในบ่วงเสน่หาที่วางไว้เอง!
กี่ครั้งกี่หน ก็แพ้ก็พ่าย ผู้ชายไม่เคยซื่อสัตย์ ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ รูปโฉม กะรัต เทพทัต ไม่อาจนำมาทระนงได้ กี่คราที่ต้องแก้มือใหม่ ถูกตราหน้า ประณามว่าสามผัว มิหนำซ้ำหนสุดท้าย เมื่อเขาตายจากไปมิได้จบกันแค่นั้น แต่ สายน้ำผึ้ง เพื่อนสนิท คบกันมา 12 ปี กลับกลายเป็นเพื่อนสนิท คิดคด อุ้มท้องเยาะเย้ยว่าเป็นเมียหลวง ส่วนเธอคือเมียน้อย กะรัต ผู้แสนฉลาดเลิศล้ำ เฝ้าตรวจสอบปัญหาชีวิตแล้วพลันคิดได้ เธอไม่เคยจับผู้ชายคนไหน ตีตรา ขึ้นทะเบียน เป็นสามีถูกต้องตามกฎหมาย ครานี้ เห็นทีจะต้องให้ถูกต้องครบถ้วนกระบวนความ พิศุทธิ์ หนุ่มผู้ดี ผู้เกิดมาเป็นอภิชาตบุตรเกินหน้าพ่อแม่ เธอพบว่าเขาเหมาะสมยิ่งอนิจจา... กะรัต เธอมองข้ามสิ่งสำคัญของการครองเรือน เธอลืมความรักแล้วเธอจะรู้ว่าหนนี้ ผู้ชายหรือเธอกันแน่ที่ผิด การตีตราด้วยทะเบียน มันเป็นยันต์ป้องกันชีวิตคู่แตกร้าวได้หรือไม่
จากเด็กหญิงเล็กๆ ที่ได้รับการปลุกปั้นขึ้นมาเป็นนักร้องเสียงทองสุดสวยแห่งยุค พิจิกา โลดแล่นไปตามจังหวะเสียงเพลงจนถึงจุดสุดยอดในชีวิต และเส้นทางนั้นก็ไม่ได้งดงามเสมอไปเมื่อ สุวิชา ชายหนุ่มรูปงามก้าวผ่านมา เขาไม่ได้เป็นเทพบุตรสำหรับเธอ แต่เป็นมารร้ายที่ทำให้เธอตระหนกตกใจสุดขีด เขาทำให้จังหวะเพลงชีวิตของเธอผิดเพี้ยนไป กว่าเธอจะรู้ว่ามารร้ายมีหัวใจรักมั่นคง...ก็เกือบจะสายเกินไป
ชาวัน หนุ่มหล่อ รวย เอาแต่ใจตัวเอง และไม่เคยสนใจความรู้สึกของใครมาก่อน ต้องจำยอมรับผิดชอบ รุ้งทอง หญิงสาวที่ความจำเสื่อมเพราะเขาเป็นต้นเหตุ ชาวันรับสมอ้างเป็นสามีของรุ้งทอง ด้วยเหตุนี้รุ้งทองจึงถือสิทธิ์ว่าเป็น “เมีย” โดยที่ชาวันเองไม่มีทางขัดขืน เพราะหัวใจเขาไปอยู่ในมือของเธอ หัวใจของอสูรตัวแสบ...นามชาวัน ฉายา “ชาละวัน” ไอ้เข้ตัวเอ้ ยอมสยบในอุ้งมือของสาวน้อย รุ้งทอง อย่างหมดลาย
โชคชะตาพัดพา ศรา เข้ามาในเส้นทางชีวิตของเกสร หนุ่มดิบเถื่อนจากป่าดง มาเจอสาวสวยเปรี้ยวจี๊ด สาวมองหนุ่มเป็น อสูร ตัวร้าย และเขาก็เต้นระบำรอบตัวเธอ คนสองคนถูกเหวี่ยงเข้าไปในเส้นทางของการแต่งงาน จาก บังเอิญ เป็น ผูกพัน เมื่อต่างมีปม และปูมหลังครอบครัวที่แหว่งวิ่น พวกเขาเริ่มเห็นใจกันเข้าใจกันพร้อมจะสร้างครอบครัวใหม่ เกสร จับมือ ศรา เริ่มร่ายระบำรำฟ้อน ไปด้วยกัน อสูรตัวนั้นก็เป็นได้เพียง อสูรในหัวใจเกสร...ที่ทำให้ครอบครัวเติมเต็ม
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี