หากไม่เพราะใคร่เป็นมนุษย์เสียจนมิอาจเก็บกัก ปีศาจแมงมุมแม่ม่ายเช่น ‘มู่ตาน’ คงไม่พยายามยิ่งเพื่อจะกลืนกินบุรุษพรหมจรรย์ให้จงได้ แม้จะต้องเอาตัวเองเข้ามาอยู่ท่ามกลางหมู่นักล่าปีศาจ นางก็ไม่หวั่นหากสิ่งที่นางปรารถนาสำเร็จสมประสงค์ ‘ซีฮัน’ นักบวชหนุ่มที่ร่อนเร่มาจากแดนไกลตกเป็นเป้าหมายของนางปีศาจในครานี้ รูปลักษณ์เขางามงด สะอาด เป็นไต้ซือผู้เคร่งในศีลและธรรมอย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องเป็นพรหมจรรย์ไร้มลทินใดๆ อย่างแน่นอน ปฏิบัติการยั่วยวนเพื่อกินเนื้อผู้ทรงศีลจึงเริ่มต้นขึ้นในคืนนั้น แต่...ไฉนเลยกลับกลายเป็นมู่ตานที่ถูกไต้ซือกินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสียนี่! ให้ตายเถิด! นี่เขาหาใช่นักบวชพรหมจรรย์หรอกหรือ!? เป็นนางที่ต้องสังเวยความสาวสะพรั่งให้เขา ขณะที่ซีฮันตื่นตะลึงด้วยไม่คิดว่านางปีศาจแมงมุมแม่ม่ายที่มีอายุหลายร้อยปีจะยังถือพรหมจรรย์อยู่!? ปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน เป็นซีฮันที่ต้องรับผิดชอบนางทั้งชีวิตเขาเสียแล้ว!
ในโลกนี้ใช่ว่ามีเพียงมนุษย์ ยังมีสิ่งมีชีวิตบางประเภทหายใจร่วมแผ่นดินด้วย
สิ่งเหล่านั้น...มนุษย์เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘ปีศาจ’
โดยปกติแล้ว มนุษย์และปีศาจหาได้ผูกสัมพันธไมตรีกัน ด้วยถือว่าไม่ข้องเกี่ยวกัน เฉกเช่นเดียวกับเหล่าเทพเซียนที่ไม่ยุ่งกับมนุษย์เพราะถือว่าตนนั้นสูงส่ง ทั้งยังหาได้อยู่ร่วมชั้น เทพเซียนอยู่ชั้นฟ้า มนุษย์อยู่ชั้นดิน ส่วนปีศาจ...อยู่ใต้พิภพ
ทว่าใต้พิภพนั้นช่างมืดมนนัก ผู้ใดเล่าจะทนความมืดมิดหนาวเหน็บได้ชั่วกัปชั่วกัลป์กันล่ะ?
เมื่อรู้สึกว่าถูกจองจำอยู่ใต้ธรณีนานเกินจะทานทน ปีศาจพวกแรกก็ผุดขึ้นสู่ดินแดนมนุษย์ ระรานเข้าผลาญเสียจนทุกหย่อมหญ้ามอดไหม้เป็นจุณ กัดกินคร่าชีวิตชายหญิงทุกหัวระแหง แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็ไม่เว้น ร้อนถึงบรรดาทวยเทพต้องเหาะเหินลงมาจากชั้นฟ้าเพื่อช่วยเหลือมนุษย์
นั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเทพเซียน มนุษย์ และปีศาจ...คราแรก
จะดีกว่านั้นถ้าหากเหล่าเทพเซียนช่วยปราบเหล่าอันธพาลอย่างเดียว ไม่ได้สอนวิชาปราบปีศาจให้แก่มวลมนุษย์ด้วย จากที่ผงาดผยองอยู่เหนือมนุษย์ กลายเป็นว่าปีศาจต้องหดหัวแฝงเร้นกายภายในความมืดมิด ไม่กล้าเผยตัวตนออกมาให้เห็น
พวกมนุษย์ปีกกล้าขาแข็งเช่นนี้ ทั้งยังมีเทพเซียนคอยช่วยอีก ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าหาญหากไม่มีตบะแก่กล้าพอ ดูสิ ขนาดบางตนที่มีตบะแก่กล้ายังถูกทำลายย่อยยับ แล้วปีศาจเล็กๆ จะไปกล้าโอหังอวดศักดาเช่นนั้นหรือ?
มิกล้าหรอก แม้แต่นางปีศาจสาวที่เร้นกายอยู่ในความมืดยาวนี้ก็มิกล้า ได้แต่ทอดสายตาจับจ้องไปยังเบื้องหน้าพร้อมความหวังบางอย่างที่ผุดพรายในใจขึ้นมาเท่านั้น
นางคือ ‘มู่ตาน’ ปีศาจแมงมุมแม่ม่ายอายุร่วมร้อยปี ปีศาจเช่นนางกล่าวได้ว่าผิดแผก ไม่เพียงแต่ไม่คบค้าสมาคมกับสหายปีศาจตนใดแล้ว ยังมีความตั้งใจบางประการที่ปีศาจตนไหนได้ยินเป็นต้องส่ายหน้าหนี
นางอยากเป็นมนุษย์...
โดยธรรมชาติ เหล่าปีศาจมักอยากเป็นอมตะ มีชีวิตยืนยาวเป็นหมื่นปีหมื่นๆ ปี จึงพากันเสาะแสวงหาวิธีการที่จะทำให้ตนเทียบเท่าเทพเซียนชนิดไม่สนความผิดถูกใดๆ แน่ล่ะว่ามันหมายรวมถึงการกินเนื้อมนุษย์เพื่อความเป็นนิรันดร์ด้วย
ทว่าสำหรับมู่ตานที่มีความปรารถนาที่จะเป็นมนุษย์อย่างสูงสุดแล้ว หากการแตะต้องเนื้อมนุษย์ทำให้นางกลายเป็นปีศาจชั่วกาลนาน นางจะไม่ย่างกรายเข้าไป กินสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ที่หลงเข้ามาประทังชีวิต หรือไม่ก็ยอมอดเสียดีกว่าที่จะต้องแปดเปื้อนเช่นนั้น
ก็นางหาได้เป็นปีศาจโดยสมัครใจนี่...
เรื่องนั้นช่างมันเถิด หาใช่เวลามาบอกเล่าสิ่งใดยามนี้ ยามวิกาลที่ผู้คนหลับใหล นางมานั่งจดๆ จ้องๆ อยู่ในมุมอับมืดของเมืองมนุษย์นั่นเพราะมีปีศชราตนหนึ่งล่วงรู้ความปรารถนาของนางว่าอยากเป็นมนุษย์เพียงใด และได้เอ่ยว่า...
‘หากอยากเป็นมนุษย์มากนัก เจ้าก็ต้องกินเนื้อมนุษย์ แต่ใช่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใดก็ได้ ต้องเป็นมนุษย์ที่เคร่งในศีลในธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ถือครองพรหมจรรย์ เมื่อเจ้าได้ลิ้มรสเข้าไป รับรองว่าได้เป็นมนุษย์สมใจแน่’
เหตุนี้นางจึงมานั่งเฝ้ามองคณะนักบวชจากเมืองไกลที่เพิ่งเดินทางมาถึงอย่างที่เป็นอยู่ นางหมายจะยั่วยวน สังหาร แล้วกัดกินให้สมใจหมายนั่นล่ะ
ย่อมแน่ว่าผู้ทรงศีลหมายถึงนักบวช ดวงตากลมจ้องเขม็งจึงจ้องไปยังบุรุษผู้มาใหม่ยังวัดแห่งหนึ่งอยู่นาน ทว่านางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งๆ ที่เรียกว่า ‘คณะนักบวช’ แต่แท้จริงแล้ว นักบวชมีเพียงคนเดียวจากทั้งหมดเท่านั้น คนอื่นๆ เป็นมือปราบปีศาจที่นางสุดแสนจะหวาดกลัว ถ้าเป็นไปได้ นางจะไม่เยื้องย่างเข้ามาใกล้เมืองแห่งนี้เลย เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่าเมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดศูนย์รวมของมือปราบปีศาจแค่ไหน ไม่ว่าจะอยู่สารทิศใด ก็จะมารวมตัวกันที่นี่ คงเพราะเมืองนี้มีวัดที่สอนวิชาปราบปีศาจอันมีชื่อเสียงอยู่กระมัง
คิดแล้วก็ขนลุกชัน!
แต่...คุ้มค่าที่จะเสี่ยง หากนักบวชนั่นไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์มากมายเพียงนั้น แล้วไยถึงได้มีคนคุ้มกันหลายสิบชีวิตล่ะ?
คุ้มค่า...คุ้มค่ามาก...
นางไม่อยากสังหารแล้วกินใครหลายๆ คนหรอก อยากจัดการทีเดียวให้สิ้นเรื่องรู้ผลมากกว่า ดังนั้นเลือกผู้ที่นางมั่นใจว่าลิ้มรสแล้วบรรลุเป้าหมายได้แน่นอน จะประหยัดเวลาลงไปโข
กระนั้นก็หาใช่เรื่องง่าย มู่ตานกลืนน้ำลายลงคอไม่ใช่เพราะน้ำลายสอ แต่เพราะนางขบคิดไม่ตกว่าจะเข้าไปจัดการกับนักบวชผู้นั้นอย่างไรดีต่างหาก ซ้ายก็ไม่เว้นว่างจากมือปราบปีศาจ ขวาก็ออกระจุกไปด้วยมือปราบปีศาจ หากนางเสนอหน้าเข้าไป มีหวังไร้ชื่อทิ้งไว้ในโลกนี้แหง
โชคดีเหลือเกินที่ไม่กี่ช่วงลมหายใจหลังจากนั้น นักบวชผู้นั้นก็พูดอะไรบางอย่างกับคนติดตาม ก่อนเหล่าชายฉกรรจ์จะพากันแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ปล่อยให้นักบวชได้ยืนมองกระทั่งเหลือเพียงตนลำพัง แล้วปลีกวิเวกเข้าอาศรม เท่านั้นมู่ตานก็ยกยิ้มที่มุมปาก
ในที่สุดสวรรค์ก็เปิดทางให้ข้า...
นางโกรธแค้นชิงชังสวรรค์ที่กำหนดโชคชะตาให้นางกลายมาเป็นปีศาจ เว้นแต่ยามนี้ที่อดขอบคุณไม่ได้
ในเมื่อสวรรค์เปิดทางให้แล้ว นางก็จะกลับกลายเป็นมนุษย์ดังเดิมแล้วล่ะ!
เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
“ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"