เป็นพ่อม่ายเรือแฝดพ่วงเมียตายมาได้ตั้งหลายปี 'หัสดิน' ก็หมายมั่นปั้นมือด้วยความมั่นใจหลายเบอร์ว่าเขาจะไม่แต่งงานใหม่อีกแล้ว มีปัญญาเลี้ยงลูกแฝดอย่าง 'แก้วตา' กับ 'หวานใจ' ด้วยตัวเองคนเดียวได้ แต่ความงานก็ต้องทำ ลูกก็ต้องเลี้ยง ทำให้เขาหัวหมุนจนจัดสรรชีวิตตัวเองและลูกๆ ไม่ได้ และเพราะชีวิตเริ่มเป๋ ก่อนจะม่องเท่งก่อนวัยอันควร แม่บังเกิดเกล้าของเขาจึงต้องหาพี่เลี้ยงมาช่วยเป็นลูกมือดูแลพวกตัวแสบอีกแรง 'ปั้นหยา' โผล่มาพร้อมเคลมตัวเองว่าเป็นพี่เลี้ยงเด็กมือฉมัง แต่หัสดินกลับไม่ถูกชะตาเธอเอาเสียเลยตั้งแต่แรกพบ 'เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้เด็กๆ' คำนี้ผุดพรายขึ้นในหัวตลอดเวลา เพียงแต่ปฏิเสธความหวังดีของคุณแม่จอมเผด็จการไม่ได้ ทั้งสองแสบยังจะติดพี่เลี้ยงคนนี้งอมแงมอีก! ไม่ได้การละ ปฏิบัติการแงะตัวอย่างไม่ดีอย่างปั้นหยาออกจากลูกลิงของเขาต้องเริ่มขึ้นแล้วล่ะ!
เคยได้ยินใครต่อใครพูดบ่อยๆ ตั้งแต่เด็กยันโตว่าการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้นมาเป็นคนที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย หัสดินรู้เรื่องนี้ดีและไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งนั้น เขาตระหนักรู้ดีตั้งแต่ที่แม่คอยบ่นคอยจ้ำจี้จ้ำไชเขาให้โตขึ้นมาได้ดิบได้ดีอย่างทุกวันนี้ตั้งแต่ที่พ่อเสียชีวิตไปตอนเขาเพิ่งขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งแล้ว ยิ่งมามีลูกแฝดหญิงสองคนอย่างแก้วตากับยาใจ เขายิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งยังตระหนักรู้ซึ้งกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อภรรยาได้จากเขาไปจากการคลอดลูกแฝดเมื่อห้าปีก่อน ทำให้ชายหนุ่มต้องตรากตรำทำงานเพื่อที่จะเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
เรื่องหาเงินน่ะไม่เท่าไรหรอก สถาปนิกหนุ่มไฟแรงอย่างเขา ทำงานหามรุ่งหามค่ำได้สบาย แต่เพราะจะทั้งทำงานชนิดยอดมนุษย์ไปด้วย แล้วจะเลี้ยงลูกทั้งสองคนด้วยตัวเองด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย จากที่ไม่ค่อยได้นอนอยู่แล้ว กลายเป็นไม่ได้นอนเข้าไปใหญ่ หัสดินนึกไม่ออกเลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้นอนเต็มอิ่มนั้นมันเมื่อไร รู้แต่ว่ามีลูกคนเดียวก็เลี้ยงโคตรเหนื่อยแล้ว พอมีถึงสอง ความเหนื่อยยิ่งทวีคูณกว่าเดิมเป็นเท่าตัว บางวันเขาเบลอไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลำดับก่อนหลังดี บ้างก็หลงๆ ลืมๆ ลืมไปรับลูกบ้าง ลืมพาลูกไปส่งโรงเรียนบ้าง เป็นอย่างนี้ประจำจนมารดาชักทนไม่ไหว ยื่นคำขาดมาให้เขา
‘ลูกช้าง! แกต้องหาพี่เลี้ยงเด็กมาช่วยแล้วนะ เป็นอย่างนี้จะตายก่อนวัยอันควรนะโว้ย!’
แม่วะๆ โว้ยๆ อย่างนี้เสมอให้เขาได้เอ็ดว่าอย่ามาพูดต่อหน้าลูกๆ ให้เป็นตัวอย่างไม่ดี แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการถูกมารดาถลึงตาใส่แล้วชี้หน้าบ่น
‘ถ้าแกอยากมีชีวิตอยู่ดูแลยัยแก้วตาหวานใจไปนานๆ แกต้องรู้จักบริหารเวลาให้ดี สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือต้องพักผ่อนให้เพียงพอ สุขภาพไม่ดี ตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ แบบนี้จะเอาเวลาไหนไปเลี้ยงลูกให้ดีได้วะ เด็กๆ เหลือแกคนเดียว อย่ารีบตายก่อนวัยอันควร!’
บ่นวนไปวนมาเรื่องนี้ไม่ยอมหยุด ซึ่งที่มารดาพูดนั้นก็ถูก หัสดินไม่เถียงสักคำ แต่เขาดื้อเงียบ ยืนกรานว่าจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าเอาพี่เลี้ยงมาแล้ว จะดูแลลูกได้ดีเท่าเขาหรือเปล่า แล้วไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนปัญหาการหลงๆ ลืมๆ ของเขานั้น เขาแก้ปัญหาด้วยการจ้างรถนักเรียนไปรับ - ไปส่งเรียบร้อย ทว่าปัญหาที่แก้ไม่ตกก็คือ...สองแฝดสาวนั้นนอกจากจะแสบแล้ว ยังไม่ค่อยชื่นชอบพ่ออย่างเขาสักเท่าไรนี่สิ หัสดินปวดกบาลมาก
ไม่ค่อยชื่นชอบอย่างไร หัสดินอธิบายไม่ถูก อาจด้วยเพราะเขาเป็นผู้ชาย การเข้าหาลูกๆ นั้นออกแนวแข็งๆ สักหน่อย ต่อให้พูดจาหวานหูคะขาตลอด ก็ใช่ว่าเด็กๆ จะชอบอยู่ใกล้เขา อ้อ นึกออกแล้ว แม่ของเขาบอกว่าเขาชอบทำหน้าบึ้ง เด็กๆ เลยกลัว รู้สึกถึงความไม่เป็นมิตร แต่เขาอยากเถียงขาดใจเลยว่าก็หน้าตาเหมือนแม่นั่นละ ถึงได้ดูไม่เป็นมิตร แต่...พอแม่เขาปรากฎตัวในยามที่เขาเอาแก้วตาหวานใจไม่อยู่ทีไร เด็กๆ ยอมศิโรราบลดความดื้อด้านลงทุกที
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาหน้าตาเหมือนแม่แล้วดูไม่เป็นมิตรอะไรแล้วล่ะ ปัญหาอยู่ที่ตัวเขาเองที่เข้ากับลูกๆ ไม่ได้มากกว่า
คิดครุ่นไม่ตกเลยทีเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ลูกๆ อุ่นใจเวลาอยู่กับพ่ออย่างเขาได้ ทั้งเอาใจ ทั้งประคบประหงม ทั้งให้เวลามากขึ้น ทำทุกวิถีทางแล้ว ทว่ายังไม่อาจทำให้เด็กๆ ยอมเชื่อฟังเขาเหมือนที่เชื่อฟังแม่เขาไม่ได้
ปวดหัวปวดกบาล จะทำอย่างไรดีนะ!?
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาต้องรับศึกหนัก ไม่รู้ว่าเกิดอาเพศอะไรขึ้น รู้แต่ว่าทันทีที่แก้วตาหวานใจกลับมาจากโรงเรียน ทั้งคู่ก็พากันร้องไห้กระจองอแงกันยกใหญ่ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นพ่อ หัสดินเดาว่าคงจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง เลยโทรไปสอบถามครูประจำชั้นอย่างละเอียด ก่อนพบว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งนั้น มาสำรวจเนื้อตัวลูกๆ ก็ไม่มีร่องรอยอะไรใดๆ ที่ทำให้ระแวงสงสัยได้เลยว่าถูกใครที่โรงเรียนรังแกมา ถามแล้วว่าอยากไปโรงเรียนไหมเพื่อทดสอบดูความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ด้วยเขาคิดอยู่ตลอดว่าเด็กๆ จะไม่โกหก ก็...ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ ยกเว้น...
“แก้วตาไม่อยากอยู่กับคุณพ่อค่ะ ฮึก...”
“หวานใจก็...ก็ไม่อยาก ฮือ...”
...เรื่องนี้ล่ะที่ทำให้หัสดินกุมกบาล
“ไม่อยากอยู่กับคุณพ่อ แล้วหนูๆ อยากจะไปอยู่ไหนล่ะคะ”
“อยากอยู่กับคุณย่า”
“ไม่เอาคุณพ่อแล้ว อยากไปหาคุณย่า”
จากนั้นสองสาวพลันผนึกกำลังแหกปากลั่นบ้านหลายเดซิเบล หัสดินไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ลูกๆ ถึงไม่อยากอยู่กับเขา ก่อนหน้าที่จะขึ้นอนุบาลสามกัน ความสัมพันธ์ของเขากับลูกๆ ก็ดีนี่นา มีอะไรกันแน่นะ?
ถึงจะยังคิดอะไรไม่ออก แต่ปัญหาในตอนนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขก่อน หัสดินกุมหัวแล้ว กุมหัวอีก กว่าจะทำให้สาวๆ สยบลงได้ เล่นเอาเสียค่ำมืด มันจบท้ายด้วยการเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนนั่นละ และ...ใช่...เด็กๆ ไม่ได้นอนหลับเพราะเขาเล่านิทานให้ฟัง ไอ้เรื่องเล่านิทานเนี่ยนะ บอกได้เลยว่าสงครามมาก เล่าเรื่องนั้นก็ไม่ชอบ เล่าเรื่องนี้ก็ไม่ดี ที่พากันหลับปุ๋ยไปนั้นเป็นเพราะร้องไห้กันจนเหนื่อยแล้วหลับไปเองน่ะ
เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
“ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
จากอลิส เจนี่ ร็อกส์ กลายมาเป็นหลิวตานผู้สู้ชีวิตกับระบบทำฟาร์มแสนห่วย ครอบครัวปู่ย่าไม่เหลียวแล กดขี่ข่มเหงทั้งยังทำเหมือนว่าบ้านรองเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น ในฐานะคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากบิดามาก่อน ชาตินี้หลิวตานจึงหาหนทางเพื่อพาบ้านรองไปจุดสูงสุด หลิวตานใช้ความสามารถที่เธอมีพลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของผัก ทำฟาร์มผัก และยังมีตัวช่วยอย่างระบบทำฟาร์มแสนห่วยอยู่ในมือ เธอจะต้องพาครอบครัวมั่งคั่งร่ำรวยให้ได้! แต่ระบบที่มีทำให้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันช่วยเหลือเธอได้จริง ๆ - -
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"