เรื่องหาเงินน่ะไม่เท่าไรหรอก สถาปนิกหนุ่มไฟแรงอย่างเขา ทำงานหามรุ่งหามค่ำได้สบาย แต่เพราะจะทั้งทำงานชนิดยอดมนุษย์ไปด้วย แล้วจะเลี้ยงลูกทั้งสองคนด้วยตัวเองด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย จากที่ไม่ค่อยได้นอนอยู่แล้ว กลายเป็นไม่ได้นอนเข้าไปใหญ่ หัสดินนึกไม่ออกเลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้นอนเต็มอิ่มนั้นมันเมื่อไร รู้แต่ว่ามีลูกคนเดียวก็เลี้ยงโคตรเหนื่อยแล้ว พอมีถึงสอง ความเหนื่อยยิ่งทวีคูณกว่าเดิมเป็นเท่าตัว บางวันเขาเบลอไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลำดับก่อนหลังดี บ้างก็หลงๆ ลืมๆ ลืมไปรับลูกบ้าง ลืมพาลูกไปส่งโรงเรียนบ้าง เป็นอย่างนี้ประจำจนมารดาชักทนไม่ไหว ยื่นคำขาดมาให้เขา
‘ลูกช้าง! แกต้องหาพี่เลี้ยงเด็กมาช่วยแล้วนะ เป็นอย่างนี้จะตายก่อนวัยอันควรนะโว้ย!’
แม่วะๆ โว้ยๆ อย่างนี้เสมอให้เขาได้เอ็ดว่าอย่ามาพูดต่อหน้าลูกๆ ให้เป็นตัวอย่างไม่ดี แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการถูกมารดาถลึงตาใส่แล้วชี้หน้าบ่น
‘ถ้าแกอยากมีชีวิตอยู่ดูแลยัยแก้วตาหวานใจไปนานๆ แกต้องรู้จักบริหารเวลาให้ดี สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือต้องพักผ่อนให้เพียงพอ สุขภาพไม่ดี ตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ แบบนี้จะเอาเวลาไหนไปเลี้ยงลูกให้ดีได้วะ เด็กๆ เหลือแกคนเดียว อย่ารีบตายก่อนวัยอันควร!’
บ่นวนไปวนมาเรื่องนี้ไม่ยอมหยุด ซึ่งที่มารดาพูดนั้นก็ถูก หัสดินไม่เถียงสักคำ แต่เขาดื้อเงียบ ยืนกรานว่าจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าเอาพี่เลี้ยงมาแล้ว จะดูแลลูกได้ดีเท่าเขาหรือเปล่า แล้วไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนปัญหาการหลงๆ ลืมๆ ของเขานั้น เขาแก้ปัญหาด้วยการจ้างรถนักเรียนไปรับ - ไปส่งเรียบร้อย ทว่าปัญหาที่แก้ไม่ตกก็คือ...สองแฝดสาวนั้นนอกจากจะแสบแล้ว ยังไม่ค่อยชื่นชอบพ่ออย่างเขาสักเท่าไรนี่สิ หัสดินปวดกบาลมาก
ไม่ค่อยชื่นชอบอย่างไร หัสดินอธิบายไม่ถูก อาจด้วยเพราะเขาเป็นผู้ชาย การเข้าหาลูกๆ นั้นออกแนวแข็งๆ สักหน่อย ต่อให้พูดจาหวานหูคะขาตลอด ก็ใช่ว่าเด็กๆ จะชอบอยู่ใกล้เขา อ้อ นึกออกแล้ว แม่ของเขาบอกว่าเขาชอบทำหน้าบึ้ง เด็กๆ เลยกลัว รู้สึกถึงความไม่เป็นมิตร แต่เขาอยากเถียงขาดใจเลยว่าก็หน้าตาเหมือนแม่นั่นละ ถึงได้ดูไม่เป็นมิตร แต่...พอแม่เขาปรากฎตัวในยามที่เขาเอาแก้วตาหวานใจไม่อยู่ทีไร เด็กๆ ยอมศิโรราบลดความดื้อด้านลงทุกที
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาหน้าตาเหมือนแม่แล้วดูไม่เป็นมิตรอะไรแล้วล่ะ ปัญหาอยู่ที่ตัวเขาเองที่เข้ากับลูกๆ ไม่ได้มากกว่า
คิดครุ่นไม่ตกเลยทีเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ลูกๆ อุ่นใจเวลาอยู่กับพ่ออย่างเขาได้ ทั้งเอาใจ ทั้งประคบประหงม ทั้งให้เวลามากขึ้น ทำทุกวิถีทางแล้ว ทว่ายังไม่อาจทำให้เด็กๆ ยอมเชื่อฟังเขาเหมือนที่เชื่อฟังแม่เขาไม่ได้
ปวดหัวปวดกบาล จะทำอย่างไรดีนะ!?
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาต้องรับศึกหนัก ไม่รู้ว่าเกิดอาเพศอะไรขึ้น รู้แต่ว่าทันทีที่แก้วตาหวานใจกลับมาจากโรงเรียน ทั้งคู่ก็พากันร้องไห้กระจองอแงกันยกใหญ่ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นพ่อ หัสดินเดาว่าคงจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง เลยโทรไปสอบถามครูประจำชั้นอย่างละเอียด ก่อนพบว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งนั้น มาสำรวจเนื้อตัวลูกๆ ก็ไม่มีร่องรอยอะไรใดๆ ที่ทำให้ระแวงสงสัยได้เลยว่าถูกใครที่โรงเรียนรังแกมา ถามแล้วว่าอยากไปโรงเรียนไหมเพื่อทดสอบดูความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ด้วยเขาคิดอยู่ตลอดว่าเด็กๆ จะไม่โกหก ก็...ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ ยกเว้น...
“แก้วตาไม่อยากอยู่กับคุณพ่อค่ะ ฮึก...”
“หวานใจก็...ก็ไม่อยาก ฮือ...”
...เรื่องนี้ล่ะที่ทำให้หัสดินกุมกบาล
“ไม่อยากอยู่กับคุณพ่อ แล้วหนูๆ อยากจะไปอยู่ไหนล่ะคะ”
“อยากอยู่กับคุณย่า”
“ไม่เอาคุณพ่อแล้ว อยากไปหาคุณย่า”
จากนั้นสองสาวพลันผนึกกำลังแหกปากลั่นบ้านหลายเดซิเบล หัสดินไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ลูกๆ ถึงไม่อยากอยู่กับเขา ก่อนหน้าที่จะขึ้นอนุบาลสามกัน ความสัมพันธ์ของเขากับลูกๆ ก็ดีนี่นา มีอะไรกันแน่นะ?
ถึงจะยังคิดอะไรไม่ออก แต่ปัญหาในตอนนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขก่อน หัสดินกุมหัวแล้ว กุมหัวอีก กว่าจะทำให้สาวๆ สยบลงได้ เล่นเอาเสียค่ำมืด มันจบท้ายด้วยการเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนนั่นละ และ...ใช่...เด็กๆ ไม่ได้นอนหลับเพราะเขาเล่านิทานให้ฟัง ไอ้เรื่องเล่านิทานเนี่ยนะ บอกได้เลยว่าสงครามมาก เล่าเรื่องนั้นก็ไม่ชอบ เล่าเรื่องนี้ก็ไม่ดี ที่พากันหลับปุ๋ยไปนั้นเป็นเพราะร้องไห้กันจนเหนื่อยแล้วหลับไปเองน่ะ