หญิงสาวผู้ไม่เคยมีความรักมาก่อน จนเธอได้มาพบกับเขาและได้ตกหลุมรักเขา และเขาก็ตกหลุมรักเธอเช่นกัน แต่ความรักของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทำให้เธอต้องพบกับความผิดหวัง แต่แล้วในความโชคร้ายก็มีแสงสว่างเข้ามาฉุดเธอให้หลุดพ้นจากตรงนั้น
หญิงสาวผู้ไม่เคยมีความรักมาก่อน จนเธอได้มาพบกับเขาและได้ตกหลุมรักเขา และเขาก็ตกหลุมรักเธอเช่นกัน แต่ความรักของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทำให้เธอต้องพบกับความผิดหวัง แต่แล้วในความโชคร้ายก็มีแสงสว่างเข้ามาฉุดเธอให้หลุดพ้นจากตรงนั้น
บรรยากาศในเช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส ผู้คนมากมายต่างออกมาเพื่อดำเนินชีวิตไปตามแต่ละแบบของแต่ละคน
แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปที่รั้วกำแพงสีขาวที่ทอดตัวยาวเป็นแนวเห็นได้มาแต่ไกล ภายในรั้วกำแพงเป็นอาคารตึกเล็กใหญ่สลับกันไป อีกทั้งมีสระน้ำกว้างใหญ่อยู่ตรงกลางและยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่คอยให้ความร่มรื่นอยู่ริมสระ ตามทางเดินก็เต็มแน่นไปด้วยหนุ่มสาวที่กำลังเดินทางกันเข้ามาในที่แห่งนี้
หนึ่งในนั่นก็คือริสาสาวน้อยคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในรั้วกำแพงสีขาวแห่งนี้ ที่นี้ก็คือมหาวิทยาลัย และวันนี้ก็เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของภาคเรียน
หญิงสาวแต่งชุดนักศึกษามาอย่างเรียบร้อย เธอจัดได้ว่าเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี รูปร่างสมส่วน ผิวพรรณสีน้ำผึ้ง ริสาเดินมองซ้ายมองขวาชื่นชมความงามของต้นไม้ดอกไม้ที่กำลังผลิดอกสีสันสวยสดใสอยู่ริมสระน้ำ และทันใดนั้นเธอก็ต้องหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อเธอได้ยินมาแต่ไกล
"ริสา ริสา ทางนี้จ้า" เสียงเล็กๆใสๆของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนเรียกริสาอยู่ที่ใต้ร่มต้นไม้
เมื่อริสาได้ยินและหันไปมอง ทำให้เธอถึงกับยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียกชื่อเธอมาแต่ไกล ริสารีบเร่งฝีเท้าของตัวเองเพื่อจะไปหาเจ้าของต้นเสียงที่เรียกชื่อเธอมาแต่ไกล
"คิดถึงจังเลยลินดาเพื่อนรัก" ริสาพูดด้วยน้ำเสียงดีใจและสวมกอดเพื่อนของเธอด้วยความคิดถึง
"ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกันริสา ว่าแต่ทำไมเธอเพิ่งมาถึงเนี่ย รู้มั้ยว่าจะสายแล้วเดี่ยวก็เข้าเรียนกันไม่ทันหรอก"
"ก็ฉันกำลังเดินดูความเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยเรานะสิว่าช่วงที่พวกเราปิดเทอมไปมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เท่านั้นเอง" ริสาพูดไปก็หันมองรอบๆข้างไป
"ฉันว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก มหาวิทยาลัยก็ยังเป็นมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม แต่ที่รู้ๆที่เปลี่ยนไปแน่นอนก็คือเราสองคนไงริสา ที่ตอนนี้เรานะขึ้นปี 4 แล้วนะ อายุก็แก่ขึ้นอีกปีหนึ่งแล้ว" ลินดาพูดไปก็ทำท่าทางตลกไป แล้วทั้ง 2 คนก็พากันเดินไปห้องเรียนและชวนกันพูดคุยตลอดทางด้วยความคิดถึง ริสาและลินดาเป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่สนิทสนมกันมากเนื่องจากเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ปี 1 และตอนนี้ทั้ง 2 ก็เรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว จึงมีความสนิทสนมกัน เมื่อทั้งริสาและลินดาเดินมาถึงห้องเรียนภายในห้องก็มีเพื่อนๆนักศึกษาด้วยกันอยู่เต็มห้องเรียนต่างพูดคุยสนทนากันเสียงดังเพราะไม่ได้เจอกันนานในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ต่างมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย ในระหว่างที่รออาจารย์เข้ามาสอน ทั้งคู่เดินมาหาที่นั่งว่างๆ2โต๊ะติดกัน และนั่งลงตรงนั้นเพื่อรอเวลาเรียน ไม่นานก็มีหญิงสูงวัยแต่งชุดกระโปรงยาวเลยเข่าเป็นลายผ้าไทยสีน้ำตาลอ่อนทั้้งชุดดูเหมาะสมกับวัยของผู้สวมใส่ยิ่งนัก และได้เดินเข้ามาในห้องเรียนที่ริสาและลินดานั้งอยู่
เมื่อหญิงสูงวัยผู้นี้เดินเข้ามาในห้องเรียน เสียงพูดคุยของเหล่านักศึกษาทั้งชายและหญิงต่างเงียบลงทันที หนึ่งในนักศึกษาคนหนึ่งเป็นเสียงผู้ชายกล่าวขึ้นว่า
"นักศึกษาทำความเคารพ" ทุกคนพอได้ยินเสียงต่างพูดจาสวัสดีครับ สวัสดีค่ะ หญิงสูงวัยที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนคืออาจารย์ที่เข้ามาสอนในวันนี้ ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจเรียน รวมถึงริสาและลินดาด้วย
บรรยากาศในการเรียนเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ได้ปิดภาคเรียนไป วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกทุกคนต่างตื่นเต้นที่ได้มาเรียนในวันแรกหลังจากหยุดเรียนกันไปหลายวัน วันนี้ทั้งริสาและลินดามีวิชาเรียนกันจนถึงตอนบ่ายของวัน หลังจากเรียนเสร็จริสากำลังเตรียมเก็บเอกสารอุปกรณ์การเรียนของเธอเพื่อเตรียมตัวออกจากห้องเรียนเพื่อจะเดินทางกลับที่พัก ส่วนลินดาก็กำลังเก็บเอกสารเตรียมตัวจะกลับเช่นกัน ทั้งคู่เดินออกจากห้องเรียนเพื่อจะเดินทางกลับ ระหว่างทางเดินที่เดินมาเรื่อยๆลินดาเอ่ยปากชวนริสา
"ริสา วันนี้เลิกเรียนแล้วริสามีธุระอะไรที่จะไปทำต่อหรือเปล่าจ๊ะ" ลินดาเอ่ยถามเพื่อนของเธอด้วยน้ำเสียงที่มีความหวัง เมื่อริสาได้ยินที่เพื่อนถามก็ตอบกลับไปว่า "วันนี้ไม่มีจ๊ะ ก็กะว่าจะกลับบ้านเลยจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่าลินดา" ริสาถามกลับลินดาด้วยน้ำเสียงและแววตาที่สงสัยในคำถามของเพื่อนของเธอ ส่วนลินดาเมื่อได้ยินที่ริสาถามกลับมาเธอก็เอ่ยตอบไปว่า
"ฉันว่าวันนี้ถ้าริสาไม่มีธุระอะไรที่ไหน ฉันกะว่าจะชวนริสาไปทานข้าวเย็นที่บ้านของฉัน พอดีวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ที่บ้านคุณแม่ทำกับข้าวไว้หลายอย่าง ท่านบอกไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าก่อนที่ฉันจะมามหาวิทยาลัยแล้วละ ว่าวันนี้ให้ชวนริสามาทานข้าวเย็นที่บ้านเราด้วย" ลินดาบอกริสา
"เกรงใจคุณแม่กับคุณพ่อของเธอจังเลยลินดา ที่ท่านคิดถึงฉันและเอ็นดูฉันเสมอ" ริสาบอกและยิ้มให้กับเพื่อนของเธอ
"ถ้าริสาไม่ติดอะไร ไปทานข้าวที่บ้านฉันนะ" ลินดาเอ่ยปากชวนเพื่อนอีกครั้ง
"ได้เลยจ๊ะลินดา แต่ก่อนไปบ้านเธอฉันขอแวะซื้อของไปฝากคุณพ่อคุณแม่เธอหน่อยนะ เพราะฉันก็ไม่ได้ไปเจอท่านทั้ง2นานแล้ว" ริสาพูดกับลินดา
ทั้งสองเดินออกมาหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียกรถแท็กซี่ สักพักก็มีรถแท็กซี่คันสีเขียวเหลืองขับผ่านมาจอดที่ทั้ง2คนยืนอยู่พอดี ทั้ง2คนจึงขึ้นรถแท็กซี่คันนั้นและบอกให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่พวกเธอเรียนอยู่นัก ไม่นานทั้งริสาและลินดาก็มาถึงห้างสรรพสินค้า
ทั้ง2จึงพากันเดินเข้าไปในห้างแห่งนั่น และเดินมุ่งตรงไปยังที่ตั้งขายผักและผลไม้สด ที่นั่นเต็มไปด้วยผักและผลไม้ที่มีทั้งของไทยและที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ วางเรียงรายเต็มไปหมด ริสาเดินตรงไปยังที่จัดวางส้มและแอปเปิล ริสาหยิบส้มและแอปเปิลใส่ตระกร้า ข้างๆกันมีสตรอเบอรี่ องุ่น เธอก็หยิบลงตระกร้ามาอย่างละเท่าๆกัน โดยมีลินดาคอยช่วยหยิบเลือกอยู่ใกล้ๆ เมื่อริสาเลือกผลไม้เสร็จเธอก็นำไปให้พนักงานช่วยจัดใส่กระเช้าผลไม้และตกแต่งให้สวยงามสำหรับนำไปให้คุณพ่อคุณแม่ของลินดา ไม่นานนักพนักงานก็จัดผลไม้เสร็จได้กระเช้าผลไม้ขนาดกำลังพอดีไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ริสามองดูด้วยความพอใจในฝีมือการจัดกระเช้าของพนักงานที่รู้จักตกแต่งใช้ใบไม้ ดอกไม้ และริปบิ้นสีมาตกแต่งให้กระเช้าผลไม้ใบนี้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น
ทั้งริสาและลินดาใช้เวลาอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ไม่นาน ทั้ง2คนก็เดินออกมาหน้าห้างสรรพสินค้าเพื่อจะเรียกรถแท็กซี่ไปบ้านของลินดากัน
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
กฤษฎิ์ พิสิฐกุลวัตรดิลก "อาหมอกฤษฎิ์" หนุ่มใหญ่วัย 34 ปี มาเฟียในคราบคุณหมอสูตินรีเวชแห่งโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศ โหด เหี้ยม รักใครไม่เป็น เปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น สำหรับเขารักแท้ไม่เคยมีรักดีๆ ก็มีให้ใครไม่ได้ แต่สุดท้ายดันมาตกหลุมรักแม่ของลูกอย่างถอนตัวไม่ขึ้น❤️ "เฟียร์สตีนอยู่ดีๆรู้ตัวอีกทีก็มีลูกสาววัย4ขวบแล้วอ่ะครับ แถมแม่ของลูกทำเอาใจเต้นแรงไม่หยุดเลยนี่เรียกว่าตกหลุมรักใช่ไหมครับ" นลินนิภา อารีย์รักษ์ "ที่รัก" สาวน้อยวัยแรกแย้มบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฐานะยากจนสู้ชีวิต เพราะความจำเป็นทำให้เธอต้องตกเป็นของเขา คนนั้นด้วยความเต็มใจ จนทำให้เธอต้องกลายมาเป็นคุณแม่ยังสาวด้วยวัยเพียง 18 ปี แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็เล่นตลกเหวี่ยงให้เธอกลับมาพบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง พ่อของลูกคนที่เธอถวิลหาไม่เคยลืม ❤️ "ตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรก ห่างกันไกลแค่ไหนใจยังคงคิดถึงเธอเสมอ ❤️พ่อของลูก" หนูน้อยแก้มใส กมลชนก อารีย์รักษ์ สาวน้อยวัย 4 ขวบ สดใสร่าเริง ฉลาดมาก ซนมาก แสบมาก เซี้ยวมาก เฟียสมาก ใครเห็นเป็นต้องหลงรักในความช่างพูดและขี้อ้อนของน้อง "ลุงหมอเป็นพ่อขาของแก้มใสเหรอคะ" หนูเป็นลูกของคุณพ่อกฤษฎิ์กับคุณแม่ที่รักค่ะ หนูจะเป็นกามเทพตัวจิ๋วที่จะมาแผลงศรให้คุณพ่อกับคุณแม่รักกัน❤️มาเอาใจช่วยหนูกันด้วยนะคะ
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
© 2018-now MeghaBook
บนสุด