ฉีอันหนิง บุตรีของเจ้าเมืองตงหลาง นางเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นบุ๊นหรือบู๊ เพราะความฉลาดซุกซน ทำให้นางไปถูกตาต้องใจ ซ่งมู่เฉิน ผู้เป็นพี่ชายของสหายสนิทและเป็นหัวหน้าของหน่วยพยัคฆ์ดำ ผู้ที่มีหน้าที่ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวเมือง ความรักที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายจะลงเอยเช่นไร
ณ เมืองตงหลาง แห่งแคว้นโจวหนาน
เหมันตฤดูเวียนมา เหล่าหมู่มวลวิหคส่งเสียงร้องอยู่บนท้องนภาในยามอิ๋น ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดปีขยับไปมาอยู่บนเตียงนอน ผ้าม่านที่ทอด้วยไหมปลิวไสวไปตามสายลมหนาว ผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมกายอยู่ถูกเท้าเล็กถีบออกจนสาวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ต้องดึงขึ้นมาปกคลุมร่างเล็กของคุณหนูสี่เอาไว้เพื่อมิให้ร่างกายสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น
“ข้าร้อน” เสียงเล็กเปล่งออกมาจากคนที่นอนปิดเปลือกตาอยู่
“แต่คุณหนูสี่เจ้าคะ… คุณหนูต้องห่มผ้าเอาไว้นะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูป่วย… บ่าวโดนตีหลังลายแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
ซุนซุนบอกคุณหนูสี่ด้วยเหตุและผล เด็กจิตใจดีอย่างฉีอันหนิง หรือคุณหนูสี่ บุตรีคนเล็กของใต้เท้า ฉีอันจวิ้น กับฉีฮูหยินย่อมได้ฟังแล้วต้องเห็นอกเห็นใจ
ใต้เท้าฉีเป็นเจ้าเมืองตงหลางเขาได้แต่งงานกับฉีฮูหยินมาเกือบสิบห้าปีแล้ว ทั้งสองมีบุตรชายทั้งหมดสามคนคือฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง ฉีอันลู่และมีฉีอันหนิงที่เป็นบุตรีคนเล็กของตระกูลฉี บุตรีที่บิดาและมารดาหวงราวกับเป็นไข่ในหิน
“ข้าห่มแล้ว ข้าไม่อยากให้ซุนซุนถูกตี”
เสียงเล็กเอ่ยออกมา ถึงจะวัยเพียงเจ็ดปี แต่ทว่าเด็กหญิงกลับเฉลียวฉลาด นางขี่ม้าได้ อ่านหนังสือออก เล่นดนตรีเป็น และโยนลูกดอกลงกาเก่งที่สุดจนเหล่าพี่ชายอดไม่ได้ที่จะชื่นชมและพาน้องสาวติดตามไปเล่นด้วยทุกที สาวรับใช้วัยสิบสองส่งยิ้มให้คุณหนูสี่ ก่อนที่นางจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของฉีอันหนิงไป
“ข้าไม่หนาว…” เสียงเล็กดังออกมาแผ่วเบา ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
เมื่อเสียงก้าวเท้าเงียบลง ผ้าห่มที่คลุมร่างเล็กอยู่ก็ถูกเท้าของนางถีบออก ฉีอันหนิงนางเป็นเด็กหญิงที่เกิดในเหมันตฤดู ความหนาวเหน็บในปีที่นางเกิดนั้นหนาวกว่าปีนี้ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุให้นางไม่กลัวความหนาวเย็น กลับกันนางเกิดชอบอากาศหนาวเสียด้วยซ้ำ
เสียงเคาะฆ้องบอกยามเหม่าดังขึ้น พร้อมกับเสียงของคนที่คอยแจ้งเตือนบอกยามตะโกนดังขึ้นมาเป็นประโยคซ้ำไปซ้ำมา
'ถึงยามเหม่าแล้ว ตะวันแทนที่จันทรา หิมะยังไม่ละลาย ใส่ใจสวมใส่เสื้อผ้าให้มาก'
สาวรับใช้เตรียมอ่างน้ำและผ้าเช็ดหน้าเข้าไปให้คุณหนูสี่ที่นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง ฉีฮูหยินให้นางนอนตามลำพังตั้งแต่คุณหนูสี่อายุได้เพียงห้าปี นัยน์ตากลมเบิกโพลงยามเมื่อได้เห็นร่างเล็กของคุณหนูไร้ผ้าห่มกาย ซุนซุนรีบเข้าไปใช้มือเล็กของตนสัมผัสร่างกายของคุณหนูสี่ก็พบว่าร่างกายของนางเย็นเฉียบ นางตกใจจนรีบปลุกคุณหนูสี่ให้ตื่นนอน
“คุณหนู…. คุณหนูสี่เจ้าคะ”
“อื้อ… พี่ซุนซุน พี่ปลุกข้าทำไม กำลังนอนสบายเลย” เสียงเล็กดังออกมาจากเจ้าของร่างเล็กที่เริ่มบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเกียจคร้าน
“คุณหนู… ท่านไม่ห่มผ้านอนอีกแล้วนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ ขอภาวนาอย่าให้คุณหนูสี่เจ็บป่วยก็พอ มิเช่นนั้นนางคงจะโดนฟาดหลังหลายอีกแน่ๆ
“ข้าร้อน… มิเป็นไรหรอกพี่ซุนซุน ข้าแข็งแรง ข้าไม่ป่วยง่ายๆ อย่างแน่นอน”
ร่างเล็กลุกขึ้นจากที่นอนทันทีเมื่อความง่วงที่มีอยู่ก่อนหน้าหมดสิ้น นางล้างหน้าและเดินไปนั่งลงที่หน้ากระจก ซุนซุนละมือจากการเก็บที่นอนให้กับคุณหนูก่อนที่จะเดินไปหวีผมให้กับนาง
“ผมของคุณหนูสี่สวยมากเลยนะเจ้าคะ” ผมสลวยเส้นหนาดกดำลื่นมือยามที่เด็กรับใช้ ใช้หวีสางเส้นผมให้กับคุณหนูของนาง
“รีบหน่อยพี่ซุนซุน เดี๋ยววันนี้ไปไม่ทันพวกพี่ใหญ่ เขาบอกข้าว่าจะไปเรียนกับอาจารย์ที่สำนักศึกษาหลี่ชุน ข้าอยากไปเรียนกับพวกพี่ๆ ด้วย” เสียงใสเจื้อยแจ้วออกมารัวๆ
“แต่คุณหนูเจ้าคะ สำนักศึกษาหลี่ชุนเขาต้องให้ผู้ที่อยากเป็นศิษย์ของที่นั่น สอบเข้าก่อนถึงจะเรียนได้นะเจ้าคะ อีกอย่างคุณหนูต้องไปขออนุญาตนายท่านกับนายหญิงใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ” ซุนซุนหวีผมและมัดผมให้คุณหนูสี่จนเสร็จก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“ท่านพ่อกับท่านแม่ตามใจข้าที่สุด ข้าอยากไปท่านพ่อท่านแม่ต้องให้ข้าไปอยู่แล้ว”
ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาอย่างรู้ใจบิดามารดา นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียว เพราะนางมีแต่พี่ชายที่มีอายุห่างกันไม่มาก พี่ชายใหญ่อายุสิบสามปี พี่ชายรองอายุสิบเอ็ดปี พี่ชายสามอายุเก้าปี ส่วนนางอายุเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น
ซุนซุนพอได้ยินเช่นนั้นก็มิได้กล่าวอันใดออกมาอีก นางรู้ดีว่าคุณหนูของนางนั้นถูกนายท่านกับนายหญิงใหญ่เลี้ยงดูแบบตามใจ แต่ทว่านางกลับมิได้มีนิสัยที่ไม่ดีเลยสักนิด เอาแต่ใจในเรื่องบางเรื่องเท่านั้น
ที่โต๊ะอาหารของเรือนใหญ่ สมาชิกทุกคนในครอบครัวตระกูลฉีนั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะ อาหารหลากหลายเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะเป็นประจำเช่นทุกวัน พี่ชายใหญ่ของฉีอันหนิงนั้นมีนิสัยสุขุม สุภาพ เก็บความรู้สึกเก่งสมกับเป็นพี่ชายคนโต พี่ชายคนรองนั้นมีนิสัยรักสนุก ชอบบทกลอนและดนตรี ส่วนพี่สามนั้นมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นและขี้สงสัยเป็นที่สุด
“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ” เสียงเรียกขานของบุตรีคนเล็กทำเอาสองสามีภรรยาละสายตาจากอาหารไปมองที่นางพร้อมๆ กัน
“เสียงหวานเช่นนี้มีอันใดจะขอพ่อกับแม่หรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีรู้ดี ยามเมื่อบุตรีผู้นี้ของตนอยากได้สิ่งใด นางมักจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้อยู่เสมอ
“ลูกอยากไปสำนักศึกษาหลี่ชุนกับพวกพี่ชายค่ะ" สามเด็กชายหันมามองหน้าน้องสาวเป็นตาเดียวกัน
“เจ้าจะไปทำไม ที่นั่นถ้าเจ้าไปต้องเรียนหนังสือ เขียนอักษรนะ” พี่สามหรือฉีอันลู่เอ่ยถามน้องสาวออกมา
“นั่นสิ… เจ้าเขียนอักษรเก่งแล้วจะไปที่นั่นอีกทำไมกัน” พี่รองหรือฉีอันลิ่งเอ่ยออกมาบ้าง เป็นเขาหน่อยไม่ได้ เขาจะอยู่บ้านเล่นพิณ ดีดฉินและแต่งบทกลอนให้สนุกไปเลย
“ข้าเบื่อ… ข้าอยากไปเรียนบ้าง นะเจ้าคะท่านพ่อ… นะเจ้าคะท่านแม่ ให้ลูกไปเถอะนะเจ้าคะ”
ฉีอันหนิงตอบตามความจริง นางเบื่อที่จะต้องเดินเล่นอยู่ในจวน ชมนกชมไม้ หรือเรียนมารยาทของกุลสตรีและเย็บปักถักร้อยกับแม่นมคัง
“ได้ๆๆ แต่เจ้าต้องสอบเข้าให้ผ่านก่อนนะ ถ้าเจ้าผ่าน พ่ออนุญาตให้เจ้าไปเรียนกับพี่ๆ ได้”
ท่านเจ้าเมืองมิได้ขัดใจบุตรีอีกตามเคย ฉีฮูหยินได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา ส่วนพี่ชายทั้งสามก็เลิกสนใจน้องสาวหันไปสนใจอาหารตรงหน้าแทน การไปเรียนที่สำนักศึกษาหลี่ชุนเป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเขาก็อดที่จะเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กไม่ได้ จากนี้ไปที่นั่นคงจะสนุกอยู่ไม่น้อย
ยามเฉินรถม้าของจวนสกุลฉีขับเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าจวนไปทั้งหมดสองคัน คันแรกมีบุตรชายคนโตกับบุตรชายคนรองของสกุลฉีนั่งไปด้านใน ส่วนอีกคันนั้นมีบุตรชายคนที่สามและบุตรีคนเล็กติดตามมาด้วย สาวรับใช้ที่ติดตามมาดูแลคุณหนูสี่เดินไปพร้อมกับรถม้า เพียงครึ่งชั่วยามรถม้าก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าสำนักศึกษาหลี่ชุน นักเรียนมากมายหลั่งไหลกันมา มีทั้งมาสอบและมาพร้อมเข้าเรียน
“ท่านพี่สามเจ้าคะ ท่านพี่สามเรียนที่นี่มีเรื่องใดน่าสนุกบ้างเจ้าคะ” หากจะถามเรื่องราวต่างๆ ให้ถามที่พี่ชายสามเพราะเขามักจะมีคำตอบมาให้นางทุกอย่าง
“สนุกที่ใดกัน น่าเบื่อจะตาย เจ้าอยู่จวนสบายๆ มิชอบ อยากมาเรียนเพื่อเหตุใดกัน เมื่อถึงวัยปักปิ่นแล้วเจ้าก็ต้องออกเรือนไปอยู่ดี”
ฉีอันลู่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เรื่องสนุกสำหรับเขาคงจะเป็นการได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆ จากเพื่อนๆ ในสำนักศึกษาแห่งนี้ แต่ถ้าจะตอบน้องสาวไปเช่นนั้น มีหวังนางได้ไปบอกบิดามารดาอย่างแน่นอน
“อยู่แต่ในจวนน่าเบื่อจะตาย มาที่นี่ได้พบเจอเพื่อนมากมาย อีกอย่างผู้ใดบอกว่าข้าจะออกเรือน ข้าจะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่” คำตอบของน้องสาวทำเอาพี่สามส่ายหน้าไปมาก่อนที่ทั้งคู่จะพากันลงจากรถม้า
“น้องหญิง เจ้ามากับพี่ พี่จะพาเจ้าไปหาท่านอาจารย์เพื่อขอสอบ” พี่ใหญ่บอกน้องเล็กด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” เด็กหญิงขานรับก่อนที่จะรีบเดินตามพี่ชายคนโตไป
“อันลิ่ง นั่นน้องสาวของเจ้าใช่หรือไม่”
สหายร่วมห้องของฉีอันลิ่งเอ่ยถามพลางชี้นิ้วไปยังเจ้าของร่างเล็กที่กำลังเยื้องย่างไปกับเด็กชายร่างสูง ซึ่งเขาเองรู้จักเป็นอย่างดี
“ใช่… นางอยากมาเรียนด้วยน่ะ” ฉีอันลิ่งตอบก่อนที่จะเดินนำสหายที่ถามเขาเข้าประตูสำนักศึกษาตามหลังพี่ชายกับน้องสาวคนเล็กไป
ฉีอันหลงพาน้องสาวไปพบกับอาจารย์และนางก็ได้ทำข้อสอบเพื่อเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลี่ชุน ผลการสอบของเด็กหญิงสร้างความประหลาดใจให้กับอาจารย์เป็นอย่างมาก ถ้าเทียบกับวัยเดียวกันแล้วคุณหนูสี่จากจวนสกุลฉีนี้ทำคะแนนได้ดีที่สุด นางจึงได้เข้าศึกษาตามที่ตั้งใจเอาไว้
“ฉีอันหนิง…" เสียงเรียกขานนามผู้สอบผ่านดังขึ้น
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงยกมือก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
"วันนี้เจ้ากลับไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาเรียน ตอนนี้สำนักศึกษาหลี่ชุนรับเจ้าเป็นศิษย์ของที่นี่แล้วล่ะ”
คำบอกกล่าวของอาจารย์สร้างความดีใจให้แก่เด็กหญิงวัยเจ็ดปี อย่างน้อยความหวังที่นางจะได้ออกจากจวนมาศึกษาที่สำนักศึกษาหลี่ชุนแห่งนี้ก็เป็นจริง
“เจ้าค่ะ…ท่านอาจารย์”
ฉีอันหนิงคำนับลาอาจารย์ก่อนที่จะเดินออกจากสำนักศึกษาหลี่ชุน เพื่อกลับไปบอกข่าวดีกับบิดาและมารดา เรื่องที่นางได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหลี่ชุน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะผู้ใดในจวนบ้างจะไม่รู้ว่าคุณหนูสี่นั้นทั้งเก่งและเฉลียวฉลาดเกินวัย หากนี่เป็นสิ่งที่นางอยากทำก็มิมีผู้ใดมาขัดขวางนางได้
เหล่าบรรดาพี่ชายที่กลับมาจากสำนักศึกษาในยามเชินก็ได้รับทราบข่าวดีจากผู้เป็นน้องสาวที่มารอคอยเจื้อยแจ้วให้พี่ชายทั้งสามได้ฟัง พี่ชายใหญ่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ส่วนพี่ชายอีกสองคนค่อนข้างจะรู้สึกเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าน้องสาวนั้นคิดเช่นไรอยู่ถึงอยากไปเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดียวกันกับพวกเขา เพราะที่นั่นมิได้มีสิ่งใดน่าสนใจเลยสักนิด วันหนึ่งวันก็มีแต่การศึกษาเล่าเรียน
“ท่านพี่ใหญ่ ไปจวนสกุลอิ่นกันไหมเจ้าคะ พี่หญิงจูหรงส่งบ่าวมาเชิญน้องไปแข่งปาศรที่จวนของนาง” หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยน้องสาวตัวน้อยก็เอ่ยชวนพี่ชายใหญ่ไปเล่นกับนางทันที
“จวนสกุลอิ่น จวนข้างๆ เรานี่น่ะเหรอ” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกพร้อมกับฉีกยิ้มออกมา
“ไปเถอะนะเจ้าคะ น้องอยากให้ท่านพี่ชายใหญ่ไปด้วย” น้องสาวออดอ้อนจนหัวใจของพี่ชายอ่อนระทวย
“ไม่เห็นเจ้าจะชวนพวกพี่ไปด้วยเลย ชวนแต่พี่ชายใหญ่” พี่ชายรองทักขึ้นขณะที่กำลังจะเดินผ่านห้องของพี่ชายใหญ่
“ไปกันทั้งหมดนี่แหละเจ้าค่ะ”
นางตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม สี่พี่น้องจึงพากันไปเยือนจวนสกุลอิ่น
การโยนศรให้ลงเป้านั้นเป็นการละเล่นที่มีอยู่ทั่วทั้งแคว้นโจวหนาน และเป็นการละเล่นที่ผู้คนชื่นชอบ เด็กหญิงกลับมาที่จวนพร้อมกับชัยชนะจนพี่ๆ เอ่ยปากชมนางไม่ขาด รวมไปถึงผู้ใหญ่จากจวนสกุลอิ่นด้วย ที่ต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงที่เป็นเด็กเฉลียวฉลาดและมีความสามารถเกินวัย นางจึงได้รับปิ่นหยกขาวที่ใต้เท้าอิ่นให้เป็นรางวัลกลับมาอีกด้วย
นางแบบสาวไทยที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด...จนวันหนึ่งได้พบกับเขา เขาที่เป็นพี่ชายสามีของน้องนางแบบที่เคยทำงานด้วยกัน ชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนไป เพราะนอกจากถูกเขากวนใจแล้ว..เธอยังถูกเขากวนตัวอีกด้วย
เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ต่างคนต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่กัน ทำให้ต่างคนต่างก็พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขไป กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญในชีวิตของตนมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ได้จากไปตลอดกาลเสียแล้ว...
คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ให้นางที่ตายไปแล้วด้วยน้ำมือคนที่รัก ได้ย้อนอดีตกลับมาเมื่อห้าปีก่อน ก่อนที่นางจะกลายเป็นสตรีที่โง่งมให้เขาหลอกลวงจนมีจุดจบที่น่าเวทนา มีหรือครานี้นางจะยอมเจ็บปวดเพราะเขาอีก...
คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
ฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน นางสิ้นอายุขัยจากการถูกสามีอย่าง หวงจิงอวี่ทำร้ายจิตใจด้วยการรับอนุเข้ามาอยู่ในจวนมากมาย เขามิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครั้งจนอนุที่รับมานั้นตั้งครรภ์ อำนาจในการดูแลเรือนของนางจึงดูไร้ค่า เพราะแม่ของสามีก็ดูถูกที่นางมิสามารถมีทายาทสืบสกุลได้ นางจะมีได้เช่นไรกัน ในเมื่อสามีที่แต่งนางมานั้นมิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครา จนนางตรอมใจและดับสูญไปในที่สุด ผู้ใดจะรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ฉินเซี่ยหรูได้กลับชาติไปเกิดในร่างของหลานสาวขี้โรคของนาง แต่ทว่าการได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ทำให้ร่างกายของหลานสาวนั้นกลับมาแข็งแรงราวปาฏิหารย์ สตรีที่เคยมีอายุยี่สิบสามปี แต่บัดนี้กลับกลายมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ นางตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าในอนาคต นางจะมิยอมแต่งงานอีกต่างหาก แต่เมื่อได้พบเจอกับเขา นักปราชญ์หนุ่มที่เพิ่งย้ายมา นางจึงเปิดใจและอยากแต่งงาน นั่นเป็นเพราะเขาทำให้นางได้รู้จักความรักที่แท้จริง... ความรักที่ไม่เคยได้รับรักตอบจากชาติภพก่อน
เรื่องราวการผจญภัยของอดีตสายลับนักฆ่า ที่ทะลุมิติมาเป็นแม่ผู้ชั่วร้าย ทั้งยังต้องร่วมเดินทางกับเด็กน้อยผู้แสนใสซื่อในโลกที่ผู้คนใช้พลังลมปราณ อันตรายมีทั่วทุกหนแห่ง แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?!
เขาคือลูกชายของผู้มีพระคุณ...เขาคือคนที่อยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง เขาเย็นชาและเขารังเกียจเธอมาตลอด แต่ทำไมวันนี้เขาถึงได้... สั่งให้คนที่เขารังเกียจมาตลอดอย่างเธอ... “จูบฉัน” “คะ?” “จนกว่าฉันจะพอใจ!”
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"