ฉีอันหนิง บุตรีของเจ้าเมืองตงหลาง นางเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นบุ๊นหรือบู๊ เพราะความฉลาดซุกซน ทำให้นางไปถูกตาต้องใจ ซ่งมู่เฉิน ผู้เป็นพี่ชายของสหายสนิทและเป็นหัวหน้าของหน่วยพยัคฆ์ดำ ผู้ที่มีหน้าที่ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวเมือง ความรักที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายจะลงเอยเช่นไร
ณ เมืองตงหลาง แห่งแคว้นโจวหนาน
เหมันตฤดูเวียนมา เหล่าหมู่มวลวิหคส่งเสียงร้องอยู่บนท้องนภาในยามอิ๋น ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดปีขยับไปมาอยู่บนเตียงนอน ผ้าม่านที่ทอด้วยไหมปลิวไสวไปตามสายลมหนาว ผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมกายอยู่ถูกเท้าเล็กถีบออกจนสาวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ต้องดึงขึ้นมาปกคลุมร่างเล็กของคุณหนูสี่เอาไว้เพื่อมิให้ร่างกายสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น
“ข้าร้อน” เสียงเล็กเปล่งออกมาจากคนที่นอนปิดเปลือกตาอยู่
“แต่คุณหนูสี่เจ้าคะ… คุณหนูต้องห่มผ้าเอาไว้นะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูป่วย… บ่าวโดนตีหลังลายแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
ซุนซุนบอกคุณหนูสี่ด้วยเหตุและผล เด็กจิตใจดีอย่างฉีอันหนิง หรือคุณหนูสี่ บุตรีคนเล็กของใต้เท้า ฉีอันจวิ้น กับฉีฮูหยินย่อมได้ฟังแล้วต้องเห็นอกเห็นใจ
ใต้เท้าฉีเป็นเจ้าเมืองตงหลางเขาได้แต่งงานกับฉีฮูหยินมาเกือบสิบห้าปีแล้ว ทั้งสองมีบุตรชายทั้งหมดสามคนคือฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง ฉีอันลู่และมีฉีอันหนิงที่เป็นบุตรีคนเล็กของตระกูลฉี บุตรีที่บิดาและมารดาหวงราวกับเป็นไข่ในหิน
“ข้าห่มแล้ว ข้าไม่อยากให้ซุนซุนถูกตี”
เสียงเล็กเอ่ยออกมา ถึงจะวัยเพียงเจ็ดปี แต่ทว่าเด็กหญิงกลับเฉลียวฉลาด นางขี่ม้าได้ อ่านหนังสือออก เล่นดนตรีเป็น และโยนลูกดอกลงกาเก่งที่สุดจนเหล่าพี่ชายอดไม่ได้ที่จะชื่นชมและพาน้องสาวติดตามไปเล่นด้วยทุกที สาวรับใช้วัยสิบสองส่งยิ้มให้คุณหนูสี่ ก่อนที่นางจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของฉีอันหนิงไป
“ข้าไม่หนาว…” เสียงเล็กดังออกมาแผ่วเบา ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
เมื่อเสียงก้าวเท้าเงียบลง ผ้าห่มที่คลุมร่างเล็กอยู่ก็ถูกเท้าของนางถีบออก ฉีอันหนิงนางเป็นเด็กหญิงที่เกิดในเหมันตฤดู ความหนาวเหน็บในปีที่นางเกิดนั้นหนาวกว่าปีนี้ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุให้นางไม่กลัวความหนาวเย็น กลับกันนางเกิดชอบอากาศหนาวเสียด้วยซ้ำ
เสียงเคาะฆ้องบอกยามเหม่าดังขึ้น พร้อมกับเสียงของคนที่คอยแจ้งเตือนบอกยามตะโกนดังขึ้นมาเป็นประโยคซ้ำไปซ้ำมา
'ถึงยามเหม่าแล้ว ตะวันแทนที่จันทรา หิมะยังไม่ละลาย ใส่ใจสวมใส่เสื้อผ้าให้มาก'
สาวรับใช้เตรียมอ่างน้ำและผ้าเช็ดหน้าเข้าไปให้คุณหนูสี่ที่นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง ฉีฮูหยินให้นางนอนตามลำพังตั้งแต่คุณหนูสี่อายุได้เพียงห้าปี นัยน์ตากลมเบิกโพลงยามเมื่อได้เห็นร่างเล็กของคุณหนูไร้ผ้าห่มกาย ซุนซุนรีบเข้าไปใช้มือเล็กของตนสัมผัสร่างกายของคุณหนูสี่ก็พบว่าร่างกายของนางเย็นเฉียบ นางตกใจจนรีบปลุกคุณหนูสี่ให้ตื่นนอน
“คุณหนู…. คุณหนูสี่เจ้าคะ”
“อื้อ… พี่ซุนซุน พี่ปลุกข้าทำไม กำลังนอนสบายเลย” เสียงเล็กดังออกมาจากเจ้าของร่างเล็กที่เริ่มบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเกียจคร้าน
“คุณหนู… ท่านไม่ห่มผ้านอนอีกแล้วนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ ขอภาวนาอย่าให้คุณหนูสี่เจ็บป่วยก็พอ มิเช่นนั้นนางคงจะโดนฟาดหลังหลายอีกแน่ๆ
“ข้าร้อน… มิเป็นไรหรอกพี่ซุนซุน ข้าแข็งแรง ข้าไม่ป่วยง่ายๆ อย่างแน่นอน”
ร่างเล็กลุกขึ้นจากที่นอนทันทีเมื่อความง่วงที่มีอยู่ก่อนหน้าหมดสิ้น นางล้างหน้าและเดินไปนั่งลงที่หน้ากระจก ซุนซุนละมือจากการเก็บที่นอนให้กับคุณหนูก่อนที่จะเดินไปหวีผมให้กับนาง
“ผมของคุณหนูสี่สวยมากเลยนะเจ้าคะ” ผมสลวยเส้นหนาดกดำลื่นมือยามที่เด็กรับใช้ ใช้หวีสางเส้นผมให้กับคุณหนูของนาง
“รีบหน่อยพี่ซุนซุน เดี๋ยววันนี้ไปไม่ทันพวกพี่ใหญ่ เขาบอกข้าว่าจะไปเรียนกับอาจารย์ที่สำนักศึกษาหลี่ชุน ข้าอยากไปเรียนกับพวกพี่ๆ ด้วย” เสียงใสเจื้อยแจ้วออกมารัวๆ
“แต่คุณหนูเจ้าคะ สำนักศึกษาหลี่ชุนเขาต้องให้ผู้ที่อยากเป็นศิษย์ของที่นั่น สอบเข้าก่อนถึงจะเรียนได้นะเจ้าคะ อีกอย่างคุณหนูต้องไปขออนุญาตนายท่านกับนายหญิงใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ” ซุนซุนหวีผมและมัดผมให้คุณหนูสี่จนเสร็จก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“ท่านพ่อกับท่านแม่ตามใจข้าที่สุด ข้าอยากไปท่านพ่อท่านแม่ต้องให้ข้าไปอยู่แล้ว”
ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาอย่างรู้ใจบิดามารดา นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียว เพราะนางมีแต่พี่ชายที่มีอายุห่างกันไม่มาก พี่ชายใหญ่อายุสิบสามปี พี่ชายรองอายุสิบเอ็ดปี พี่ชายสามอายุเก้าปี ส่วนนางอายุเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น
ซุนซุนพอได้ยินเช่นนั้นก็มิได้กล่าวอันใดออกมาอีก นางรู้ดีว่าคุณหนูของนางนั้นถูกนายท่านกับนายหญิงใหญ่เลี้ยงดูแบบตามใจ แต่ทว่านางกลับมิได้มีนิสัยที่ไม่ดีเลยสักนิด เอาแต่ใจในเรื่องบางเรื่องเท่านั้น
ที่โต๊ะอาหารของเรือนใหญ่ สมาชิกทุกคนในครอบครัวตระกูลฉีนั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะ อาหารหลากหลายเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะเป็นประจำเช่นทุกวัน พี่ชายใหญ่ของฉีอันหนิงนั้นมีนิสัยสุขุม สุภาพ เก็บความรู้สึกเก่งสมกับเป็นพี่ชายคนโต พี่ชายคนรองนั้นมีนิสัยรักสนุก ชอบบทกลอนและดนตรี ส่วนพี่สามนั้นมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นและขี้สงสัยเป็นที่สุด
“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ” เสียงเรียกขานของบุตรีคนเล็กทำเอาสองสามีภรรยาละสายตาจากอาหารไปมองที่นางพร้อมๆ กัน
“เสียงหวานเช่นนี้มีอันใดจะขอพ่อกับแม่หรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีรู้ดี ยามเมื่อบุตรีผู้นี้ของตนอยากได้สิ่งใด นางมักจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้อยู่เสมอ
“ลูกอยากไปสำนักศึกษาหลี่ชุนกับพวกพี่ชายค่ะ" สามเด็กชายหันมามองหน้าน้องสาวเป็นตาเดียวกัน
“เจ้าจะไปทำไม ที่นั่นถ้าเจ้าไปต้องเรียนหนังสือ เขียนอักษรนะ” พี่สามหรือฉีอันลู่เอ่ยถามน้องสาวออกมา
“นั่นสิ… เจ้าเขียนอักษรเก่งแล้วจะไปที่นั่นอีกทำไมกัน” พี่รองหรือฉีอันลิ่งเอ่ยออกมาบ้าง เป็นเขาหน่อยไม่ได้ เขาจะอยู่บ้านเล่นพิณ ดีดฉินและแต่งบทกลอนให้สนุกไปเลย
“ข้าเบื่อ… ข้าอยากไปเรียนบ้าง นะเจ้าคะท่านพ่อ… นะเจ้าคะท่านแม่ ให้ลูกไปเถอะนะเจ้าคะ”
ฉีอันหนิงตอบตามความจริง นางเบื่อที่จะต้องเดินเล่นอยู่ในจวน ชมนกชมไม้ หรือเรียนมารยาทของกุลสตรีและเย็บปักถักร้อยกับแม่นมคัง
“ได้ๆๆ แต่เจ้าต้องสอบเข้าให้ผ่านก่อนนะ ถ้าเจ้าผ่าน พ่ออนุญาตให้เจ้าไปเรียนกับพี่ๆ ได้”
ท่านเจ้าเมืองมิได้ขัดใจบุตรีอีกตามเคย ฉีฮูหยินได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา ส่วนพี่ชายทั้งสามก็เลิกสนใจน้องสาวหันไปสนใจอาหารตรงหน้าแทน การไปเรียนที่สำนักศึกษาหลี่ชุนเป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเขาก็อดที่จะเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กไม่ได้ จากนี้ไปที่นั่นคงจะสนุกอยู่ไม่น้อย
ยามเฉินรถม้าของจวนสกุลฉีขับเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าจวนไปทั้งหมดสองคัน คันแรกมีบุตรชายคนโตกับบุตรชายคนรองของสกุลฉีนั่งไปด้านใน ส่วนอีกคันนั้นมีบุตรชายคนที่สามและบุตรีคนเล็กติดตามมาด้วย สาวรับใช้ที่ติดตามมาดูแลคุณหนูสี่เดินไปพร้อมกับรถม้า เพียงครึ่งชั่วยามรถม้าก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าสำนักศึกษาหลี่ชุน นักเรียนมากมายหลั่งไหลกันมา มีทั้งมาสอบและมาพร้อมเข้าเรียน
“ท่านพี่สามเจ้าคะ ท่านพี่สามเรียนที่นี่มีเรื่องใดน่าสนุกบ้างเจ้าคะ” หากจะถามเรื่องราวต่างๆ ให้ถามที่พี่ชายสามเพราะเขามักจะมีคำตอบมาให้นางทุกอย่าง
“สนุกที่ใดกัน น่าเบื่อจะตาย เจ้าอยู่จวนสบายๆ มิชอบ อยากมาเรียนเพื่อเหตุใดกัน เมื่อถึงวัยปักปิ่นแล้วเจ้าก็ต้องออกเรือนไปอยู่ดี”
ฉีอันลู่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เรื่องสนุกสำหรับเขาคงจะเป็นการได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆ จากเพื่อนๆ ในสำนักศึกษาแห่งนี้ แต่ถ้าจะตอบน้องสาวไปเช่นนั้น มีหวังนางได้ไปบอกบิดามารดาอย่างแน่นอน
“อยู่แต่ในจวนน่าเบื่อจะตาย มาที่นี่ได้พบเจอเพื่อนมากมาย อีกอย่างผู้ใดบอกว่าข้าจะออกเรือน ข้าจะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่” คำตอบของน้องสาวทำเอาพี่สามส่ายหน้าไปมาก่อนที่ทั้งคู่จะพากันลงจากรถม้า
“น้องหญิง เจ้ามากับพี่ พี่จะพาเจ้าไปหาท่านอาจารย์เพื่อขอสอบ” พี่ใหญ่บอกน้องเล็กด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” เด็กหญิงขานรับก่อนที่จะรีบเดินตามพี่ชายคนโตไป
“อันลิ่ง นั่นน้องสาวของเจ้าใช่หรือไม่”
สหายร่วมห้องของฉีอันลิ่งเอ่ยถามพลางชี้นิ้วไปยังเจ้าของร่างเล็กที่กำลังเยื้องย่างไปกับเด็กชายร่างสูง ซึ่งเขาเองรู้จักเป็นอย่างดี
“ใช่… นางอยากมาเรียนด้วยน่ะ” ฉีอันลิ่งตอบก่อนที่จะเดินนำสหายที่ถามเขาเข้าประตูสำนักศึกษาตามหลังพี่ชายกับน้องสาวคนเล็กไป
ฉีอันหลงพาน้องสาวไปพบกับอาจารย์และนางก็ได้ทำข้อสอบเพื่อเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลี่ชุน ผลการสอบของเด็กหญิงสร้างความประหลาดใจให้กับอาจารย์เป็นอย่างมาก ถ้าเทียบกับวัยเดียวกันแล้วคุณหนูสี่จากจวนสกุลฉีนี้ทำคะแนนได้ดีที่สุด นางจึงได้เข้าศึกษาตามที่ตั้งใจเอาไว้
“ฉีอันหนิง…" เสียงเรียกขานนามผู้สอบผ่านดังขึ้น
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงยกมือก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
"วันนี้เจ้ากลับไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาเรียน ตอนนี้สำนักศึกษาหลี่ชุนรับเจ้าเป็นศิษย์ของที่นี่แล้วล่ะ”
คำบอกกล่าวของอาจารย์สร้างความดีใจให้แก่เด็กหญิงวัยเจ็ดปี อย่างน้อยความหวังที่นางจะได้ออกจากจวนมาศึกษาที่สำนักศึกษาหลี่ชุนแห่งนี้ก็เป็นจริง
“เจ้าค่ะ…ท่านอาจารย์”
ฉีอันหนิงคำนับลาอาจารย์ก่อนที่จะเดินออกจากสำนักศึกษาหลี่ชุน เพื่อกลับไปบอกข่าวดีกับบิดาและมารดา เรื่องที่นางได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหลี่ชุน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะผู้ใดในจวนบ้างจะไม่รู้ว่าคุณหนูสี่นั้นทั้งเก่งและเฉลียวฉลาดเกินวัย หากนี่เป็นสิ่งที่นางอยากทำก็มิมีผู้ใดมาขัดขวางนางได้
เหล่าบรรดาพี่ชายที่กลับมาจากสำนักศึกษาในยามเชินก็ได้รับทราบข่าวดีจากผู้เป็นน้องสาวที่มารอคอยเจื้อยแจ้วให้พี่ชายทั้งสามได้ฟัง พี่ชายใหญ่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ส่วนพี่ชายอีกสองคนค่อนข้างจะรู้สึกเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าน้องสาวนั้นคิดเช่นไรอยู่ถึงอยากไปเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดียวกันกับพวกเขา เพราะที่นั่นมิได้มีสิ่งใดน่าสนใจเลยสักนิด วันหนึ่งวันก็มีแต่การศึกษาเล่าเรียน
“ท่านพี่ใหญ่ ไปจวนสกุลอิ่นกันไหมเจ้าคะ พี่หญิงจูหรงส่งบ่าวมาเชิญน้องไปแข่งปาศรที่จวนของนาง” หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยน้องสาวตัวน้อยก็เอ่ยชวนพี่ชายใหญ่ไปเล่นกับนางทันที
“จวนสกุลอิ่น จวนข้างๆ เรานี่น่ะเหรอ” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกพร้อมกับฉีกยิ้มออกมา
“ไปเถอะนะเจ้าคะ น้องอยากให้ท่านพี่ชายใหญ่ไปด้วย” น้องสาวออดอ้อนจนหัวใจของพี่ชายอ่อนระทวย
“ไม่เห็นเจ้าจะชวนพวกพี่ไปด้วยเลย ชวนแต่พี่ชายใหญ่” พี่ชายรองทักขึ้นขณะที่กำลังจะเดินผ่านห้องของพี่ชายใหญ่
“ไปกันทั้งหมดนี่แหละเจ้าค่ะ”
นางตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม สี่พี่น้องจึงพากันไปเยือนจวนสกุลอิ่น
การโยนศรให้ลงเป้านั้นเป็นการละเล่นที่มีอยู่ทั่วทั้งแคว้นโจวหนาน และเป็นการละเล่นที่ผู้คนชื่นชอบ เด็กหญิงกลับมาที่จวนพร้อมกับชัยชนะจนพี่ๆ เอ่ยปากชมนางไม่ขาด รวมไปถึงผู้ใหญ่จากจวนสกุลอิ่นด้วย ที่ต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงที่เป็นเด็กเฉลียวฉลาดและมีความสามารถเกินวัย นางจึงได้รับปิ่นหยกขาวที่ใต้เท้าอิ่นให้เป็นรางวัลกลับมาอีกด้วย
เพราะความเมตตาจากสวรรค์ ทำให้นางผู้ซึ่งสิ้นอายุขัยในวันที่คลอดลูก ได้กลับมาเกิดใหม่ ในร่างของคุณหนูสามผู้โง่เขลา บุตรีของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่
นางแบบสาวไทยที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด...จนวันหนึ่งได้พบกับเขา เขาที่เป็นพี่ชายสามีของน้องนางแบบที่เคยทำงานด้วยกัน ชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนไป เพราะนอกจากถูกเขากวนใจแล้ว..เธอยังถูกเขากวนตัวอีกด้วย
เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ต่างคนต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่กัน ทำให้ต่างคนต่างก็พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขไป กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญในชีวิตของตนมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ได้จากไปตลอดกาลเสียแล้ว...
คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ให้นางที่ตายไปแล้วด้วยน้ำมือคนที่รัก ได้ย้อนอดีตกลับมาเมื่อห้าปีก่อน ก่อนที่นางจะกลายเป็นสตรีที่โง่งมให้เขาหลอกลวงจนมีจุดจบที่น่าเวทนา มีหรือครานี้นางจะยอมเจ็บปวดเพราะเขาอีก...
คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่