อานนท์ ชายหนุ่มโสดอายุ 25 ปี หน้าตาดาษดื่น เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าอุ่นไอรัก อาชีพหลักคือการขายอาหารตามสั่งในฟู๊ดเซนเตอร์ห้างดัง อาชีพรองเป็นผู้ช่วยนักเขียนนิยาย รับจ้างหาข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้กับนักเขียน งานไหนได้เงิน อานนท์ทำทั้งหมด ในวันหยุดยาว กลางวันนอกจากต้องไปยืนทำอาหารตามสั่ง กลางคืนยังต้องมานั่งหาข้อมูลส่งให้ผู้ว่าจ้างงานด่วนอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ วิญญาณจึงบ๊ายบายจากโลกเก่า ไปเกิดใหม่ในร่างของจางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยอายุ 5 ขวบของบัณฑิตจาง ที่ถูกบ้านหลักมอบหนังสือแยกบ้าน พร้อมขับไล่ครอบครัวให้มาอยู่บ้านนอก อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ และย่าตามที่อานนท์เคยฝันไว้ แต่ทำไมถึงแถมความยากจนมาให้เขาด้วย ชาติก่อนก็สู้ชีวิตจนตาย มาชาตินี้ชีวิตสู้กลับยิ่งกว่านิยายที่เขาเคยอ่านเสียอีก นี่สินะ!!! ของฟรีไม่มีในโลก มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ
เด็กน้อยเริ่มกลับมาสดใสหลังจากนอนป่วยอยู่สองวันเต็ม จางอี้หมิงสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมป่วยอีกเด็ดขาด เขาเกลียดการกินยาต้มเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีน้ำตาลผักมาช่วยแล้วก็ตาม มันก็ยังขมจนเคลือบลิ้นอยู่ดี
เช้าวันใหม่มาเยือน แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบพื้นหญ้า ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นขอบฟ้าในยามเฉิน (07.00 – 08.59) สมาชิกบ้านจางคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นนอนและกินมื้อเช้ากันหมดแล้ว เหลือเพียงเด็กน้อยคนเดียวของบ้านที่ยังคงนอนอุตุอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างสบายใจ
“ท่านพี่อี้เทาขอรับ ท่านพี่อี้เทา...” เสียงเรียกชื่อจางอี้เทาตรงหน้าประตูบ้านดังติดต่อกันหลายครั้ง ส่งผลให้จางอี้หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เขาใช้หลังมือขยี้ตาอยู่สักพักจึงตื่นเต็มตา แต่ก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น
“ใครมาส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้าน” นางหูเอ่ยปากถามออกไป
“นั่นสิเจ้าคะ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน”
หลี่อ้ายเองก็สงสัยไม่แพ้กัน ปกติแล้วบ้านสกุลจางของพวกนางมีคนแวะเวียนมาหาบ่อย ๆ เสียเมื่อไหร่ น่าแปลกใจนัก
“เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง” จางอี้เทาเอ่ยบอกมารดาและภรรยา เขาเดินออกไปดูที่หน้าประตูบ้าน
“ผู้ใดกันที่มาเยือนแต่เช้าเช่นนี้ อ้าว อาคุนนั่นเอง มีอันใดหรือ ถึงได้มาเสียตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีเช่นนี้”
“อรุณสวัสดิ์ขอรับพี่อี้เทา ข้าต้องขออภัยที่มารบกวนตั้งแต่เช้า” อาคุนเอ่ยตอบด้วยความเกรงใจชายหนุ่มตรงหน้า
“เป็นเถ้าแก่หวังเร่งให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่พี่อี้เทาขอรับ ข้าจึงได้มาแต่เช้า”
“มีข่าวอันใดจากเถ้าแก่หวังเช่นนั้นหรืออาคุน”
“เถ้าแก่หวังให้ข้ามาแจ้งแก่พี่อี้เทาว่าน้ำตาลผักรอบที่แล้วนั้นขายหมดแล้ว สินค้าไม่พอที่จะจำหน่าย เถ้าแก่หวังจึงให้ข้านำไหเปล่ามาส่งให้พี่อี้เท่าอีกห้าร้อยไหขอรับ เถ้าแก่หวังฝากมาถามว่า จะส่งสินค้าภายในสองวันได้หรือไม่”
“โอ้...เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ช่างเป็นข่าวดียิ่ง” อี้เทายิ้มกว้างก่อนจะตอบไปว่า “ถ้าอีกจำนวนห้าร้อยไหเช่นครั้งที่แล้ว ข้าคงไม่สามารถส่งได้ภายในสองวัน หากเป็นสามวันเช่นครั้งก่อนก็ไม่เป็นปัญหาอันใด”
“ได้ขอรับ ข้าจะนำข่าวไปแจ้งให้เถ้าแก่หวังตามนี้ เช่นนั้นพี่อี้เทาจะให้ข้าขนไหเปล่าเข้าไปไว้ในบ้านได้เลยหรือไม่ขอรับ”
“รบกวนอาคุณแล้ว”
หลังจากแจ้งข่าวเสร็จแล้ว สองบุรุษจึงช่วยกันขนไหเปล่าทั้งหมดเข้าไปเก็บไว้ในบ้าน อาคุนไม่ลืมมอบเงินสามตำลึงที่เถ้าแก่หวังให้มาเป็นค่ามัดจำ เมื่อเสร็จแล้ว คนขับรถม้าหนุ่มจึงได้ขอตัวกลับไป
“อาเทา เถ้าแก่หวังให้คนนำไหเปล่ามาให้ใหม่อีกเช่นนี้ คงมิได้หมายความว่าสินค้าอันเก่าขายหมดเกลี้ยงแล้วเช่นนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นจริงขอรับท่านแม่ เถ้าแก่หวังขอเวลาสองวัน แต่ข้าปฏิเสธไป ขอเป็นสามวันเหมือนเช่นเดิม ท่านแม่ขอรับ นี่เป็นเงินค่ามัดจำน้ำตาลผักรอบนี้ จำนวน 3 ตำลึงขอรับ” จางอี้เทาตอบกลับและมอบเงินให้มารดาของตนเก็บไว้
“โอ้ ช่างดีจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าน้ำตาลผักจะขายดีเช่นนี้” นางหูอุทานออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับยื่นมือออกไปรับเงินจากบุตรชาย เพราะนั่นหมายถึงว่าบ้านสกุลจางจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย อาจจะเพียงพอสำหรับซื้อเสบียงเก็บไว้กินในฤดูหนาวที่จะมาถึงในเร็ววันนี้
“ท่านพี่ ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง หมิงเอ๋อร์หายป่วย เถ้าแก่หวังมีใบสั่งซื้อมาอีก ข้าดีใจยิ่งนักเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายน้ำตาซึม นางไม่คิดว่าจะมีเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกแล้วหลังจากถูกปล้น แต่ในตอนนี้ครอบครัวสามารถหารายได้ได้แล้ว
“ท่านแม่ขอรับ” จางอี้หมิงที่นอนฟังจนจับใจความได้ทั้งหมดร้องเรียกมารดา เขาทำทีแสร้งว่าเพิ่งตื่นนอนขึ้นมา
“หมิงเอ๋อร์ รู้สึกเป็นเช่นใดบ้าง ยังปวดหัวอยู่หรือไม่” หลี่อ้ายผละจากวงสนทนาเข้าไปดูบุตรชายซึ่งตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งอยู่กลางฟูกนอน
“ไม่เจ็บแล้วขอรับ ข้าหายดีแล้ว”
“ดี ดียิ่ง หมิงเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าอย่าได้ซนเช่นนี้อีกรู้หรือไม่ เวลาเจ้าเจ็บป่วยทุกครั้ง มารดาของเจ้าปวดใจยิ่ง”
“ข้าทราบแล้วขอรับ ข้าสัญญา ต่อไปข้าจะระวังตัวและดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ ข้าขอโทษนะขอรับ”
“ไม่เป็นไร หมิงเอ๋อร์หิวหรือไม่ แม่ทำโจ๊กเปล่าไว้ เนื้อหมูหมดแล้ว คงได้แต่เติมน้ำตาลผักเท่านั้น”
จางอี้หมิงพยักหน้ารับ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าเนื้อหมูที่มีคงจะหมดประมาณช่วงนี้ เด็กน้อยขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น
“ข้าขอตัวไปล้างหน้าก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะลูก เดินระวัง ๆ ด้วย” หลี่อ้ายตอบรับก่อนที่จะลุกไปตักโจ๊กมาให้จางอี้หมิง
ส่วนจางอี้เทา หลังจากที่ได้รับใบสั่งซื้อน้ำตาลผักมาอีกห้าร้อยไห เขาก็บอกภรรยากับมารดาว่าจะขึ้นเขาไปเก็บหญ้าหวานเพื่อนำมาตากแห้งตอนนี้เลย เนื่องจากใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว พระอาทิตย์ตกเร็ว ช่วงเวลากลางวันจึงสั้นตามไปด้วย เขาเกรงว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการตากต้นหญ้าหวานมากกว่าหนึ่งวัน
“ท่านพี่ ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์หายดีแล้ว ข้าไปช่วยจะได้เสร็จเร็วขึ้น” หลี่อ้ายเมื่อนำโจ๊กมาให้บุตรชายแล้วจึงเอ่ยบอกสามี
“น้องหญิง เจ้ายังไม่แข็งแรง พี่เกรงว่าจะล้มป่วยไปอีกรอบ” จางอี้เทาปฏิเสธ ถึงแม้ในตอนนี้อากาศจะไม่ร้อนมากแต่ให้หลี่อ้ายออกไปทำงานในช่วงนี้เลยคงจะไม่ดี
“ท่านพี่ ให้ข้าตามขึ้นไปช่วยท่านพี่เถอะนะเจ้าคะ อย่างน้อยจะได้ไปเป็นเพื่อน วันนี้ข้าไม่อยากให้หมิงเอ๋อร์ขึ้นเขาอีก ลูกเพิ่งหายไข้ น้องอยากให้ลูกได้พักก่อนเจ้าค่ะ”
“พี่ไปคนเดียวได้ ไม่หนักหนาอันใด แต่เอาเถอะ พี่ขอบใจน้องหญิงที่มีใจอยากช่วยเหลือ เช่นนั้นไปกันเถอะ” จางอี้เทาเตรียมห้ามอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของภรรยาจึงปฏิเสธไม่ลง
เอาเถอะ...ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยระหว่างทาง เขาจะให้นางแบกตะกร้าที่ไม่หนักมากนักแทน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ช่างรักกันยิ่ง แต่เหตุใดข้าถึงยังไม่มีน้องชายน้องสาวมาเป็นเพื่อนเล่นเล่าขอรับ” จางอี้หมิงที่นั่งร่วมวงอยู่เงียบ ๆ เอ่ยถามขึ้นมาหน้าซื่อตาใส
“มะ หมิงเอ๋อร์ เจ้ากล่าวอันใด แม่ไม่คุยกับเจ้าแล้ว ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเขินอายกับคำถามของบุตรชายจนใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ รีบดึงแขนสามีให้เดินออกจากบ้านไป
นั่นสินะ! เขาจะมีน้องสาวน้องชายได้อย่างไรเล่าในเมื่อความเป็นอยู่ยังเป็นเช่นนี้
จางอี้หมิงมองไปรอบ ๆ บ้านที่เป็นเหมือนห้องสี่เหลี่ยม ไม่มีห้องนอนเป็นของตนเอง สี่ชีวิตนอนรวมกัน ตอนมาคราแรกเขายังไม่คิดว่าที่นี่เป็นบ้านด้วยซ้ำ แล้วเช่นนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะมีเวลาส่วนตัวได้เช่นไร
แต่ไม่เป็นไร...อีกไม่ถึงเจ็ดวัน บ้านสกุลจางหลังใหม่จะได้ฤกษ์ก่อสร้างแล้ว รออีกนิดนะขอรับท่านพ่อท่านแม่
จางอี้หมิงบอกตนเองในใจเงียบ ๆ
หลังจากที่บิดามารดาออกไปจากบ้านแล้ว กระท่อมปลายนาจึงเหลือเพียงนางหูกับจางอี้หมิง หญิงชราลุกขึ้นยืน นางบอกกับหลานชายว่าจะไปซักผ้าที่ลำธารและเก็บผักบุ้งมาผัดกับเครื่องเทศสำหรับอาหารกลางวัน จางอี้หมิงพยักหน้ารับแต่โดยดี พอเริ่มว่างเขาก็รู้สึกเหมือนลืมอะไรสักอย่างที่สำคัญมาก ๆ ไป แต่ก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร
สุดท้ายเขาจึงเดินไปรอบ ๆ บ้าน จะกล่าวให้ถูกก็คือเดินไปรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมเผื่อว่าจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง หูไป๋หงกลับมาจากซักผ้าแล้ว นางตากผ้าจนเรียบร้อยแล้วจึงถือผักบุ้งเดินเข้ามา
“หมิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังหาสิ่งใดหรือ”
เมื่อเห็นหลานชายเดินวนไปวนมาในบ้านจึงถามด้วยความสงสัย นางเดินผ่านไปเพื่อวางตะกร้าผักบุ้งไว้ที่ส่วนครัว
“ท่านย่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ เพียงแต่เหมือนข้าจะลืมอะไรสักอย่างที่มันสำคัญมาก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออันใด ข้าจึงลองเดินรอบ ๆ บ้านดูขอรับ”
“เช่นนั้นก็ค่อย ๆ คิดดูนะ” นางหูบอกพลางเดินไปหยิบห่ออะไรสักอย่างขึ้นมาถือเพื่อนำไปทิ้ง จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม
“ท่านย่า กำลังทำอันใดอยู่หรือขอรับ”
“อ้อ ดอกหญ้าสายรุ้งน่ะ ซูลี่เอามาให้เจ้าตั้งแต่เมื่อสามวันที่แล้ว นางบอกว่าหมิงเอ๋อร์เก็บดอกหญ้าสายรุ้งให้สะใภ้ แต่เจ้าเป็นไข้เสียก่อน ดูสิ มันแห้งหมดแล้ว ย่าจึงคิดว่าจะเอาไปทิ้งน่ะ” นางหูตอบและเตรียมจะนำหญ้าสายรุ้งออกไปทิ้งด้านนอก
“ท่านย่า อย่าเพิ่งทิ้งขอรับ” จางอี้หมิงรีบตะโกนบอกท่านย่าของตนเองทันที เขาหูผึ่งตั้งแต่ได้ยินคำว่าดอกหญ้าสายรุ้งแล้ว สุดท้ายเขาก็รู้แล้วว่าเขาลืมอันใดไป โธ่เอ๊ย...ลืมไปได้ยังไงกันเนี่ย
เรื่องราวนี้ได้เริ่มจากการที่ “ที่รัก” สาวสวยพนักงานใหม่ ตกลงยินยอมแกล้งเป็นแฟนปลอม ๆ ให้ “กันต์ธี” ประธานบริษัทหนุ่มสุดหล่อมาดนิ่ง เจ้าของธุรกิจมากมายรวมทั้งบริษัทที่เธอได้ทำงานอยู่ แต่จากแค่แกล้งเป็นแฟนปลอม ๆ หลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อทั้งคู่เริ่ม “แอบมีใจให้กัน” เพราะตอนที่ใช้เวลาร่วมกันนั้นได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งวายป่วงน่าปวดหัว สนุก มีความสุข และอบอุ่นหัวใจ แต่ด้วยเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในตอนต้น ด้วยสถานะทางสังคมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาจะกล้าก้าวข้ามเส้นความแตกต่างนั้นหรือไม่? ความรักของทั้งสองจะก่อเกิดขึ้นมาได้จริงหรือ?
สวี่กงเหมย บุตรสาวบุญธรรมของปรมาจารย์หมื่นพิษ ต้องคอยเป็นผู้ดูแลและปรุงยาให้กับเขา ท่านแม่ทัพแห่งแดนเหนือ ตั้งแต่อยู่บนหุบเขาหมื่นพิษ แล้วยังต้องตามไปดูแลถึงชายแดนเหนือและในเมืองหลวงจนกว่าจะครบหนึ่งปี เซวียนจางหย่ง แม่ทัพแห่งชายแดนเหนือ ผู้ที่มีศักดิ์และฐานะอันสูงส่ง ในชีวิตนี้ คุณหนูนางใด หญิงสาวคนไหน ที่ว่ามีความเพียบพร้อมในทุกด้าน ตัวเขากลับมิเคยชายตาแล แต่คงใช้ไม่ได้กับสาวน้อยบ้านป่าคนนี้ เจอกันครั้งแรกนางก็หมายยิงเขาด้วยธนูเสียเเล้ว จากนั้นตัวเขาและนางก็กลายเป็นเหมือนน้ำมันกับไฟ ถึงแม้นางจะกลั่นแกล้งเขาไว้มากน้อยเพียงไหนในตอนที่อยู่ในหุบเขาหมื่นพิษ เขากลับมิเคยโกรธ และไม่รู้ว่านานเพียงใด ที่ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น สายตาของเขาก็มีไว้เพียงมองนางเท่านั้น
สูงศักดิ์ดั่งจักรพรรดิ หรือสามัญชนเช่นบัณฑิต ล้วนถูกพิชิตด้วยภรรยาตัวน้อย สามีจวนอื่นข้านั้นไม่รู้ แต่สองอาหลานราชวงศ์จิ่งล้วนถูกภรรยากลั่นแกล้ง ชุนเสี่ยวป๋าย จะให้ทำอย่างไรได้เล่า บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นมิเคยมีท่าทีพึงใจในสตรีนางใด หากชุนเสี่ยวป้ายเฝ้ารอให้เขาเข้ามาทำความรู้จักนางเองแล้วนั้นคงไม่มีวันได้ครองรักกันแน่ ดังนั้นนางจึงต้องบอกกล่าวด้วยตัวเองเสียเลย บัณฑิตเฒ่าผู้แสนหล่อเหลาเจ้าคะ ข้าจะไปเกี้ยวท่านเอง... อู่ซุนต้าเอ้อร์ นางถูกเขาจับพลิกแพลงตะแคงคว่ำอยู่นาน เขาก็ยังมิยอมสงบ พายุรักโหมกระหน่ำดูดแรงกายของอู่ซุนต้าเอ่อร์จนแทบหมดสิ้น ทนแทบมิไหว พลั่ก!! โครม!! รู้ตัวอีกทีทั้งห้องก็เงียบสงัดไร้เสียงหอบกระเส่าและครวญครางเหมือนเมื่อครู่ ร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนของจักรพรรดิน้อยลงไปกองอยู่ข้างตั่งเตียงโดยมีปลายเท้าของนางยื่นออกไป เหลียนไช่ บัณฑิตเหลียนไช่ซุกไซร้ลำคอขาวของภรรยา เขาสูดดมและขบเม้ม ไล้มือไปทั่วกายนุ่มของนางอย่างหลงใหล มิไหวแล้ว... เขามิอาจทนความน่ารักของชุนเสี่ยวป๋ายได้อีกแล้ว.... “ข้าพลาดแล้วจริงๆ ที่สัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเจ้า” จิ่งซานหวง “มิใช่ว่าหม่อมฉันต้องปรนนิบัติพระองค์เหมือนสามีภรรยาหรอกหรือเพคะองค์จักรพรรดิ” “ก็มิใช่ว่าข้าให้เจ้าปรนนิบัติอยู่หรอกหรือ” เขาว่าพลางหลับตาลงไม่อยากมองหน้าสนมโจว นางจึงต้องจำใจอ่านตำราให้เขาฟังอย่างเสียมิได้ คิดมิถึงว่าจักรพรรดิน้อยจะหาทางหลบเลี่ยงการร่วมเตียงกับนางจนได้ ล่วงรู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงนั่น ท่ามกลางความซ่านเสียวอู่ซุนต้าเอ่อร์ก็อดถอนใจให้กับตนเองมิได้ คราแรกคิดว่าคืนนี้นางจะได้นอนสบายมิต้องโดนเขาเคี่ยวกรำอยู่แล้วแท้ ๆ แล้วเหตุใดนางจึงยังถูกเขาจับกินได้อีกเล่า!!
สูงศักดิ์ดั่งจักรพรรดิ หรือสามัญชนเช่นบัณฑิต ล้วนถูกพิชิตด้วยภรรยาตัวน้อย สามีจวนอื่นข้านั้นไม่รู้ แต่สองอาหลานราชวงศ์จิ่งล้วนถูกภรรยากลั่นแกล้ง ชุนเสี่ยวป๋าย จะให้ทำอย่างไรได้เล่า บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นมิเคยมีท่าทีพึงใจในสตรีนางใด หากชุนเสี่ยวป้ายเฝ้ารอให้เขาเข้ามาทำความรู้จักนางเองแล้วนั้นคงไม่มีวันได้ครองรักกันแน่ ดังนั้นนางจึงต้องบอกกล่าวด้วยตัวเองเสียเลย บัณฑิตเฒ่าผู้แสนหล่อเหลาเจ้าคะ ข้าจะไปเกี้ยวท่านเอง... อู่ซุนต้าเอ้อร์ นางถูกเขาจับพลิกแพลงตะแคงคว่ำอยู่นาน เขาก็ยังมิยอมสงบ พายุรักโหมกระหน่ำดูดแรงกายของอู่ซุนต้าเอ่อร์จนแทบหมดสิ้น ทนแทบมิไหว พลั่ก!! โครม!! รู้ตัวอีกทีทั้งห้องก็เงียบสงัดไร้เสียงหอบกระเส่าและครวญครางเหมือนเมื่อครู่ ร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนของจักรพรรดิน้อยลงไปกองอยู่ข้างตั่งเตียงโดยมีปลายเท้าของนางยื่นออกไป เหลียนไช่ บัณฑิตเหลียนไช่ซุกไซร้ลำคอขาวของภรรยา เขาสูดดมและขบเม้ม ไล้มือไปทั่วกายนุ่มของนางอย่างหลงใหล มิไหวแล้ว... เขามิอาจทนความน่ารักของชุนเสี่ยวป๋ายได้อีกแล้ว.... “ข้าพลาดแล้วจริงๆ ที่สัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเจ้า” จิ่งซานหวง “มิใช่ว่าหม่อมฉันต้องปรนนิบัติพระองค์เหมือนสามีภรรยาหรอกหรือเพคะองค์จักรพรรดิ” “ก็มิใช่ว่าข้าให้เจ้าปรนนิบัติอยู่หรอกหรือ” เขาว่าพลางหลับตาลงไม่อยากมองหน้าสนมโจว นางจึงต้องจำใจอ่านตำราให้เขาฟังอย่างเสียมิได้ คิดมิถึงว่าจักรพรรดิน้อยจะหาทางหลบเลี่ยงการร่วมเตียงกับนางจนได้ ล่วงรู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงนั่น ท่ามกลางความซ่านเสียวอู่ซุนต้าเอ่อร์ก็อดถอนใจให้กับตนเองมิได้ คราแรกคิดว่าคืนนี้นางจะได้นอนสบายมิต้องโดนเขาเคี่ยวกรำอยู่แล้วแท้ ๆ แล้วเหตุใดนางจึงยังถูกเขาจับกินได้อีกเล่า!!
กู้เฟยหลง หัวหน้าหน่วยอวี้หลิน ขุนนางผู้ซึ่งทำงานขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ เสียชีวิตจากการตามสืบราชการลับ ทั้งที่ได้ให้สัญญาไว้กับฮูหยินของตนเองว่าจะรีบกลับมาฉลองเทศกาลหยวนเซียวด้วยกัน หยางลี่อิน หญิงสาวที่เข้มแข็ง มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ต้องสูญเสียสามีไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ด้วยความสามารถพิเศษ ทำให้นางรู้ว่าสามีของนางยังไม่จากไปไหน แต่จะทำเช่นไร เมื่อสามีกลับจำนางไม่ได้ เพราะรักจึงท้าทายสวรรค์ ฝืนหวนกลับคืนมายังโลกเบื้องหลัง แต่สวรรค์ใช่ว่าใครก็สามารถท้าทายได้ ราคาที่ต้องจ่าย มักแพงกว่าเสมอ…
อานนท์ ชายหนุ่มโสดอายุ 25 ปี หน้าตาดาษดื่น เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าอุ่นไอรัก อาชีพหลักคือการขายอาหารตามสั่งในฟู๊ดเซนเตอร์ห้างดัง อาชีพรองเป็นผู้ช่วยนักเขียนนิยาย รับจ้างหาข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้กับนักเขียน งานไหนได้เงิน อานนท์ทำทั้งหมด ในวันหยุดยาว กลางวันนอกจากต้องไปยืนทำอาหารตามสั่ง กลางคืนยังต้องมานั่งหาข้อมูลส่งให้ผู้ว่าจ้างงานด่วนอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ วิญญาณจึงบ๊ายบายจากโลกเก่า ไปเกิดใหม่ในร่างของจางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยอายุ 5 ขวบของบัณฑิตจาง ที่ถูกบ้านหลักมอบหนังสือแยกบ้าน พร้อมขับไล่ครอบครัวให้มาอยู่บ้านนอก อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ และย่าตามที่อานนท์เคยฝันไว้ แต่ทำไมถึงแถมความยากจนมาให้เขาด้วย ชาติก่อนก็สู้ชีวิตจนตาย มาชาตินี้ชีวิตสู้กลับยิ่งกว่านิยายที่เขาเคยอ่านเสียอีก นี่สินะ!!! ของฟรีไม่มีในโลก มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ
แต่งงานกันเป็นเวลาสามปี เสิ่มชูคิดว่าต่อให้ป๋อมู่เหนียนจะใจแข็งสักแค่ไหนก็ควรจะอ่อนลงได้ด้วยความรักที่เธอมีกับเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเขาบังคับให้เธอคุกเข่าลงในหอบรรพบุรุษของตระกูล เสิ่มชูถึงตระหนักว่าแท้ที่จริง ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจ คนที่ไม่มีหัวใจ เธอยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม? ดังนั้น เมื่อป๋อมู่เหนียนขอให้เธอเลือกระหว่างการคุกเข่าและการหย่าร้าง เสิ่มชูจึงเลือกการหย่าร้างไปโดยไม่ได้ลังเล เธอยังสาวยังสวยอยู่เช่นนี้ ทำไมจะต้องมาเสียเวลากับไอ้ผู้ชายคนนี้ด้วย!มิสู้กลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลจะดีกว่า
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"