“จงเป็นโสดเป็นโสดเถิด...อย่าได้มีลูกมีเมียติดตัวเลย...” น้ำเสียงของเยาวเรศดังขึ้น “อะ...อะไรนะแก สวดใหม่อีกทีซิ” ศรินภัสร์คิดว่าตัวเองหูฝาด ก่อนจะพูดให้เยาวเรศ ท่องบทสวดแผ่เมตตาอีกครั้ง ครั้งที่สองก็ยังได้ยินเหมือนเดิม “จงเป็นโสดเป็นโสดเถิด...อย่าได้มีลูกมีเมียติดตัวเลย... ท่องตามฉันด้วย” เยาวเรศหันมาสั่งเสียงดุ เธอไม่ได้ทำเล่นๆ นะจริงจังมาก “อะ…เออ” ศรินภัสร์ยิ้มแห้งๆ ให้กับบทแผ่เมตตาของเพื่อนสาวดูวันนี้จะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองยากเหลือเกิน เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวตกใจสุดขีด นี่ก็อะไรไม่รู้ แต่ถึงจะคิดแบบนั้นศรินภัสร์ก็ยอมท่องตามไปแบบทุกคำไม่มีตกหล่นให้ประโยคเสีย “จงเป็นแมนเป็นแมนเถิด...อย่าได้มีความตุ๊ดกายตุ๊ดใจเลย......จงมีความโสดกายโสดใจ...รักษาตนให้พ้นจากตุ๊ดแตกทุกช่วงวัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ...” พอแผ่เมตตาจบประโยคเยาวเรศก็ยกมือขึ้นท่วมหัว ศรินภัสร์ออกอาการเหวอๆ แต่ก็ทำตามทุกอย่างเหมือนกัน “บทสวดแผ่เมตตาอะไรของแกยายเนตร พิลึก” ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนสาวว่ามันพิลึก แต่ชักจะรู้ตัวช้าไปเสียหน่อย เพราะเล่นท่องจบบทถึงค่อยมาถาม “พิลึกแต่ได้ผลมาแล้วนะยะ แล้วจะหาว่าไม่บอก” --------------- “พี่ณุ…ไม่เอานะ” ศรินภัสร์พยายามร้องห้าม แต่อโณทัยก็จับใบหน้าหญิงสาวกดไปบนแผงอกของเขา ไม่ให้เธอพูดอะไรได้อีก คนใต้แผงอกได้แต่ร้องประท้วงอู้อี้เท่านั้น “อย่ารุนแรงล่ะ เพราะน้องผมยังไม่เคย” ภาณุพงศ์เอ่ยสองแง่สองง่ามให้น้องสาวได้หน้าแดง จนศรินภัสร์อยากกัดลิ้นตาย ก็ไหนบอกชอบ อีตาเกย์บ้านี้มากทำไมทำกับเธอแบบนี้ได้กัน เขาเป็นเกย์ทำไมพี่ชายเธอถึงได้พูดอะไรน่าเกลียดแบบนี้ออกมา “ครับ..จะถนอมให้ถึงที่สุด” อโณทัยสบตากับภาณุพงศ์แน่วแน่ แค่นี้ความคิดที่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นเกย์ก็แทบหายเกลี้ยงเสียแล้ว ที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันเอง ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ดูท่าทางศรินภัสร์จะไม่ยอมเชื่อง่ายๆ เหมือนกัน เพราะรายนี้ถ้าได้ปักใจเชื่ออะไรแล้วต้องพิสูจน์จนขาวสะอาดนู่นแหละถึงจะยอมเปลี่ยนความคิด “ไม่นะพี่ณุ…อีตานี่เป็นเกย์นะ ตรีไม่ไป” ศรินภัสร์ใช้จังหวะที่อโณทัยลากตัวเองออกจากผับเอ่ยบอกพี่ชาย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังเสียงเธอเหมือนกัน ชายหนุ่มกึ่งลากกึ่งจูงพาเธอไปที่รถของเขาซึ่งจอดอยู่ด้านหน้า ท่ามกลางสายตาของนักท่องราตรี “แฟนผมกำลังโกรธน่ะครับ ไม่มีอะไร?” อโณทัยพยายามอธิบายสายตาทุกคนที่จ้องมองมา ด้วยคำพูดที่สุภาพมากที่สุด เพราะไม่อยากให้ใครมาสนใจมากไปนัก แต่ถึงไม่พูดคนพวกนั้นก็ได้แต่มองไม่เข้ามายุ่งอยู่แล้วเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง “ปล่อยนะไอ้บ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้” ศรินภัสร์พยายามยื้อตัวเองไว้จนสุดกำลังเหมือนกัน แต่ก็แพ้แรงของอโณทัย “จะไปคุยกับผมดีๆ หรือจะให้ผมพาเข้าม่านรูดแถวนี้ หือ…” คำขู่ของอโณทัยทำให้ศรินภัสร์หยุดกึก ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาเพราะคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า
ภายในเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินชั้นนำ ที่กำลังเดินทางจากโรม อิตาลี เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ศรินภัสร์แอร์โฮสเตสสาวสวยของสายการบิน กำลังทำหน้าที่บริการผู้โดยสารระดับวีไอพีด้วยรอยยิ้ม ทำให้บรรดานักธุรกิจหนุ่มๆ หรือคนมีเงินล้นมือที่ได้ขึ้นมานั่งบนชั้นนี้ต่างจ้องมองเธอตาเป็นมัน โดยเฉพาะก้นงอนงามได้รูปสวยๆ ที่ขยับไปมายามเธอเดินเฉิดฉายให้บริการ
“ผมอยากได้กาแฟสักแก้ว” เสียงของผู้โดยสารคนหนึ่งเอ่ยบอก เมื่อศรินภัสร์กำลังจะเดินผ่านเก้าอี้ที่เขานั่ง ในเครื่องบินลำนี้ชั้นเฟิร์สคลาสจะค่อนข้างพิเศษ คือจะมีความเป็นส่วนตัวสูง เก้าอี้แต่ละที่นั่งจะถูกแยกออกมาอย่างเป็นสัดส่วน
“สักครู่นะคะ” ศรินภัสร์ยิ้มหวานให้แล้วเอ่ยขึ้น ที่จริงวันนี้เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้โดยสารอีกโซนแต่รุ่นน้องขอเปลี่ยนเพราะทนสายตาของผู้โดยสารในชั้นเฟิร์สคลาสบางคนไม่ได้ หญิงสาวเห็นใจจึงเปลี่ยนให้ เพราะรุ่นน้องคนนั้นหัวอ่อน ตอบโต้ไอ้พวกที่ได้ชื่อว่าผู้ชายแต่นิสัยไม่ใช่ไม่ได้แน่นอน ศรินภัสร์เดินไปชงกาแฟก่อนจะนำมาเสริฟ์ให้ผู้โดยสารตามที่ร้องขอไป
“ขอบคุณครับ ไม่ทราบว่าจะให้เกียรตินั่งคุยกับผมได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มตรงหน้าที่อายุอานามก็น่าจะประมาณสามสิบต้นๆ เอ่ยถามขึ้น ศรินภัสร์กัดฟันกรอดๆ อย่างไม่สบอารมณ์แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ คนพวกนี้รู้ทั้งรู้ว่าพวกเธอนั้นไม่มีสิทธิ์ไปคุยเล่นด้วยได้ แต่ก็ยังแกล้งถามออกมา
“ต้องขออภัยค่ะ ดิฉันไม่สามารถทำอย่างที่คุณร้องขอได้” หญิงสาวเอ่ยตอบกลับไปอย่างสุภาพที่สุด หวังว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่พวกหน้าหม้อที่รุ่นน้องของเธอเจอหรอกนะ ถึงอย่างนั้นเธอไม่ประมาทล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม กดปุ่มเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กที่พกติดตัวไว้ตลอดการทำงาน เพื่อให้มันบันทึกการสนทนาครั้งนี้ไว้ด้วย กันไว้ดีกว่ามานั่งปวดหัวทีหลัง
“แค่นิดเดียวก็ไม่ได้เหรอ ผมจ่ายค่าเสียเวลาให้คุณได้นะจะเอาเท่าไหร่” ชายหนุ่มตรงหน้าเองก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน เขานั้นสนใจแอร์โฮสเตสสาวคนนี้ตั้งแต่ก้าวขึ้นเครื่องบินมาแล้ว เธอดูจะวางตัวได้ดี แต่สำหรับเขาถ้าต้องการอะไรก็ย่อมได้
“คงไม่ดีมั้งคะ” ศรินภัสร์ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่ชายหนุ่มคนนี้นั่งอยู่ เพราะถ้ายืนทุกคนในห้องผู้โดยสารจะผิดสังเกตและได้ยินบทการสนทนาที่น่าเกลียดนี้ แจ็กพ็อตมาแตกที่เธอจนได้
“ดีสิ คุณอย่าล่นตัวไปหน่อยเลย แอร์บนเครื่องลำนี้ผมเคยใช้เงินซื้อให้พวกเธอมาคุยด้วยบ่อยๆ แถมลงเครื่องที่สุวรรณภูมิยังใจดีพาไปกินของหรูๆ ช้อปปิ้งของแบรนด์เนม รับรองสิ่งที่ผมจะให้เงินเดือนแอร์ทั้งปีคุณยังไม่มีปัญญาจ่าย” คำพูดที่ถือดีว่าตัวเองรวย ซื้อทุกอย่างด้วยเงินได้โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของคนอื่น ทำให้ศรินภัสร์ขยะแขยงที่จะพูดคุยด้วยแม้อยากจะลุกหนีแต่เธอก็ทำแบบนั้นไม่ได้
“แล้วถ้าดิฉันอยู่คุยด้วย ไม่ทราบว่าจะจ่ายเท่าไหร่ล่ะคะ” ศรินภัสร์กัดฟันถามออกไป ผู้ชายพวกนี้เห็นแอร์โฮสเตสอย่างพวกเธอเป็นอะไรกันแน่ ถึงคิดจะซื้อได้ด้วยเงิน ในเมื่อกระเป๋าหนักเธอก็ยินดีจะรับแต่ในแบบฉบับของเธอนะ
“ไม่อั้น เพราะผมเป็นถึงลูกนักการเมืองใหญ่เชียวนะ” ความรู้สึกพออกพอใจในตัวแอร์โฮสเตสสาวสวยตรงหน้า ทำให้มนตรีใจใหญ่ ทุ่มเงินเพื่อเธอไม่อั้นเริ่มที่การพูดคุยแต่ใครจะรู้ว่ามันจะจบที่ไหน อาจตรงนี้หรือบนเตียงก็ได้
“อ้อเหรอคะ” แอร์โฮสเตสสาวทำเสียงตื่นเต้นให้กับคำโอ้อวดนี้
“ใช่ ผมตกลงจ่ายให้แล้ว คราวนี้เธอก็ขึ้นมานั่งบนตักซะที” มนตรีบอกแบบไม่รีรอ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสหัวเข่าเนียนๆ ที่โผล่ออกมานอกชายกระโปรงของหญิงสาวอย่างจงใจ
“เอ๊ะ บนตัก” ศรินภัสร์ทวนคำที่ได้ยิน ใบหน้ายังคงยิ้มอยู่ แต่ในใจแทบจะจับผู้ชายหน้าหม้อ มักมากคนนี้ลงจากเครื่องบินตอนนี้เสียจริง
“ใช่ ขึ้นมาเร็วๆ สิ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกก่อนจะมองศรินภัสร์ตาเป็นประกาย เขาไม่อยากคุยโดยที่เธอยังนั่งคุกเข่าอยู่แบบนี้ มานั่งคุยบนตักนุ่มๆ ของเขาไม่ดีกว่าหรือไง จะได้ใกล้ชิดทำความรู้จักให้มากขึ้นอีกหน่อย
“แล้วเงินละคะ” แอร์โฮสเตสสาวสวยยิ้มหน้าตาย ก่อนจะแบมือขอเงินก่อน
“เข้าใจแล้ว ได้สิ” มนตรีพยักหน้าให้ ก่อนจะหยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท เซ็นชื่อและใส่ยอดเงินให้เธอเรียบร้อย ก่อนจะฉีกกระดาษแผ่นนั้นให้ศรินภัสร์ หญิงสาวรับเช็คนั้นมาดูเห็นจำนวนเงินที่โชว์อยู่คือห้าหมื่นบาท เธอขบกรามแน่นดังกรอดๆ เลยก็ว่าได้
“เงินฉันก็ให้แล้ว เธอขึ้นมานั่งบนตักฉันซะที” น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยสั่ง ช่างแตกต่างไปจากเมื่อครู่ลิบลับ ศรินภัสร์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่งยิ้มให้ มือบางฉีกกระดาษมูลค่าห้าหมื่นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มนตรีถึงกับโมโหที่เธอเล่นไม่ซื่อหรือเงินที่เขาให้มันจะน้อยไปอย่างนั้นเหรอคนสวยๆ อย่างเธอคงซื้อด้วยเงินที่มากกว่านี้
“เก็บเงินสกปรกของคุณไว้แล้วกันนะคะ ดิฉันไม่ต้องการ” ศรินภัสร์โปรยเศษกระดาษลงไปบนตัวของชายตรงหน้า
“มันจะมากไปแล้วนะ เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
“ถ้าดิฉันความจำไม่เสื่อม คุณเคยบอกว่าเป็นลูกนักการเมืองใหญ่ หรือคุณความจำเสื่อม ลืมกำพืดของตัวเองซะแล้ว” คำพูดเผ็ดร้อนออกมาจากริมฝีปากอิ่ม ทำเอาคนฟังเลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ
“นี่เธอ กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน หา” น้ำเสียงของมนตรีดังขึ้นเรื่อยๆ แต่คนอื่นๆ ในชั้นเฟิร์สคลาสเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก ศรินภัสร์ยักไหล่ให้ไม่สนใจ ถ้าตกงานเพราะเรื่องนี้เธอก็ยอม แต่ก่อนจะยื่นซองขาวขอประจานคนพวกนี้ให้คนทั้งประเทศรู้หน่อยแล้วกัน
“กล้าดี ใช่ฉันเป็นแบบนั้น เพราะฉันเป็นคนซึ่งคนอย่างคุณไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินนี่” ศรินภัสร์สบตาชายตรงหน้านิ่ง
“อวดเก่ง เงินที่ฉันให้มันคงยังไม่พอล่ะสินะ” มนตรียังคิดว่าที่ ศรินภัสร์ไม่ยอมง่ายๆ คงเป็นเพราะเงินน้อยไป การสนทนาของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาของแอร์โฮสเตสและสจ๊วตอีกหลายคน หนึ่งในนั้นคือภาณุพงศ์พี่ชายของศรินภัสร์
ภูตะวัน นายหัวแห่งอาณาจักรยางพาราทางปักษ์ใต้ที่จู่ๆ ก็ถูกมารดาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเกย์ ถึงขนาดไหว้วานลูกน้องของชายหนุ่มให้ตามสืบข่าวแต่ก็ถูกจับได้เสมอๆ เมื่อคนใกล้ตัวถูกจับได้จึงต้องส่งคนไกลตัวเข้าไปทำหน้าที่แทน นั่นจึงทำให้ภูตะวันได้พบกับสาวน้อยที่ชื่อว่านับพันดาว หญิงสาวตัวเล็กผมประบ่าแววตาซุกซนและอยากรู้อยากเห็น ที่จู่ๆ ก็ทำให้หัวใจของนายหัวหนุ่มเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ เธอมาเพื่อจับผิดเขา แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นมีใจให้กันอย่างไม่รู้ตัว เพราะมีใจจึงปกป้องได้แม้กระทั่งชีวิต "จูบของนับพอจะทำให้พี่ลืมจูบคุณไมค์ได้ไหมคะ" น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยถาม "เหมือนจะยังไม่ได้" คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตอบแล้วจูบปากอิ่มอย่างดุดันอีกครั้ง เรียวลิ้นของทั้งคู่ตะหวัดหยอกเย้าสลับดูดเม้มอย่างเป็นจังหวะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเนิ่นนานก่อนที่ภูตะวันจะถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งคู่สบตากันและกันและนั่นก็คือคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร "นับดีใจจังที่ได้รักพี่" นับพันดาวเอ่ยรับพร้อมกับซุกตัวเข้าหาภูตะวันมากขึ้น ชายหนุ่มปัดปอยผมที่ชื้นด้วยเหงื่อออกจากหน้าผากเธอแล้วจุมพิตหนักๆ อย่างเอาใจ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่หยุดแค่นั้น "อย่ารุ่มร่ามนะคะ พอแล้ว" นับพันดาวตีมือที่เริ่มซุกซนของภูตะวันเบาๆ นอกจากบ้ากามแล้วเขายังบ้าพลังอีกด้วย เธอยังไม่ทันหายเหนื่อยเขาก็จะเริ่มใหม่อีกแล้ว "ยังไม่พอ" เขาว่าอย่างติดตลกพลอยทำให้คนฟังค้อน เขาสูบพลังไปจากเธอจนหมดยังจะบอกว่าไม่พออีกหรือไง สำหรับภูตะวันแล้วเซ็กซ์แต่ล่ะวันแต่ล่ะคืนไม่เคยมีคำว่าครั้งเดียว "คนบ้ากาม" คำพูดของนับพันดาวทำให้คนฟังหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "มีเมียน่ารักแบบนี้ใครที่ไหนจะอดใจไหว" เพราะเขินอายทำให้นับพันดาวทุบแผงอกของภูตะวันไปแรงๆ ก่อนที่เขาจะทำให้เธอครางกระเส่าออกมาอีกครั้ง ซึ่งนับพันดาวก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด จูบที่อ่อนหวานกลายเป็นเร่าร้อนดุดันชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
ภูตะวัน นายหัวแห่งอาณาจักรยางพาราทางปักษ์ใต้ที่จู่ๆ ก็ถูกมารดาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเกย์ ถึงขนาดไหว้วานลูกน้องของชายหนุ่มให้ตามสืบข่าวแต่ก็ถูกจับได้เสมอๆ เมื่อคนใกล้ตัวถูกจับได้จึงต้องส่งคนไกลตัวเข้าไปทำหน้าที่แทน นั่นจึงทำให้ภูตะวันได้พบกับสาวน้อยที่ชื่อว่านับพันดาว หญิงสาวตัวเล็กผมประบ่าแววตาซุกซนและอยากรู้อยากเห็น ที่จู่ๆ ก็ทำให้หัวใจของนายหัวหนุ่มเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ เธอมาเพื่อจับผิดเขา แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นมีใจให้กันอย่างไม่รู้ตัว เพราะมีใจจึงปกป้องได้แม้กระทั่งชีวิต "จูบของนับพอจะทำให้พี่ลืมจูบคุณไมค์ได้ไหมคะ" น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยถาม "เหมือนจะยังไม่ได้" คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตอบแล้วจูบปากอิ่มอย่างดุดันอีกครั้ง เรียวลิ้นของทั้งคู่ตะหวัดหยอกเย้าสลับดูดเม้มอย่างเป็นจังหวะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเนิ่นนานก่อนที่ภูตะวันจะถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งคู่สบตากันและกันและนั่นก็คือคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร "นับดีใจจังที่ได้รักพี่" นับพันดาวเอ่ยรับพร้อมกับซุกตัวเข้าหาภูตะวันมากขึ้น ชายหนุ่มปัดปอยผมที่ชื้นด้วยเหงื่อออกจากหน้าผากเธอแล้วจุมพิตหนักๆ อย่างเอาใจ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่หยุดแค่นั้น "อย่ารุ่มร่ามนะคะ พอแล้ว" นับพันดาวตีมือที่เริ่มซุกซนของภูตะวันเบาๆ นอกจากบ้ากามแล้วเขายังบ้าพลังอีกด้วย เธอยังไม่ทันหายเหนื่อยเขาก็จะเริ่มใหม่อีกแล้ว "ยังไม่พอ" เขาว่าอย่างติดตลกพลอยทำให้คนฟังค้อน เขาสูบพลังไปจากเธอจนหมดยังจะบอกว่าไม่พออีกหรือไง สำหรับภูตะวันแล้วเซ็กซ์แต่ล่ะวันแต่ล่ะคืนไม่เคยมีคำว่าครั้งเดียว "คนบ้ากาม" คำพูดของนับพันดาวทำให้คนฟังหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "มีเมียน่ารักแบบนี้ใครที่ไหนจะอดใจไหว" เพราะเขินอายทำให้นับพันดาวทุบแผงอกของภูตะวันไปแรงๆ ก่อนที่เขาจะทำให้เธอครางกระเส่าออกมาอีกครั้ง ซึ่งนับพันดาวก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด จูบที่อ่อนหวานกลายเป็นเร่าร้อนดุดันชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
สวาทรักพ่อเลี้ยงภูเมฆ “นี่คุณจะใจดีจ่ายหนี้แทนณดลอย่างนั้นเหรอ” เพราะไม่พอใจกับการตัดสินใจของเภตราทำให้เสียงของภูเมฆนั้นห้วนไม่น่าฟัง “ฉันจ่ายเพื่อซื้ออิสรภาพของตัวเองต่างหากแล้วค่อยไปเอาคืนผู้ชายห่วยๆ นั่น คุณอยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามา” มีหรือที่เภตราจะจ่ายหนี้ให้ณดลกลับกันเธอจะเอาคืนอีกฝ่ายให้สาสมต่างหาก “ผมไม่รับเงินสดไม่รับเช็คหรืออะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ผมอยากได้คือแรงและเวลา ถ้าคุณทำตัวดีๆ สามสี่ปีก็น่าจะใช้หนี้ผมได้หมด” “แล้วสิ่งที่คุณทำกับฉันเมื่อคืนมันมีค่าเท่าไหร่ ไม่พอใช้หนี้เลยหรือไง” เภตราเอ่ยถามเสียงสั่นพร้อมกับน้ำตาที่จู่ๆ ก็เอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ภูเมฆสบตาที่แดงก่ำของเธอแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่พอ” คำตอบของเขาช่างแสนเลือดเย็นจนทำให้เภตราจุกไปทั้งอกก่อนจะกล้ำกลืนน้ำตาลงคอ เพราะไม่อยากให้มันไหลออกมาประจานตัวเอง ในเมื่อเขาไม่เห็นค่าของมันเธอไปเก็บมาใส่ใจแล้วจะได้อะไร
งานทำบุญครบร้อยวันยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ อดีตคนรักของน้องสาวก็ประกาศจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ แถมเธอคนนั้นยังเคยเป็นอดีตคนรักของเขาอีกด้วย นั่นทำให้คริสบินตรงกลับมาที่เมืองไทยเพื่อสะสางความแค้นให้เขาและน้องผู้จากไป +++++++++++++++++ “คุณ” ลลิตาอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่ยืนกดออดอยู่หน้าบ้านเป็นคริส ชายหนุ่มรู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่นี่ “ขอเข้าไปหน่อย” แขกที่ไม่ได้รับเชิญเอ่ยบอกแต่เจ้าบ้านสาวกลับไม่ยอมทำตามเช่นกัน “ฉันไม่สะดวก คุณมีอะไรก็พูดมาได้เลย” “แน่ใจหรอกว่าจะให้ผมพูดตรงนี้” “แน่ใจ” ลลิตาเชิดหน้าขึ้นสูง เธอต้องเอาชนะผู้ชายคนนี้ให้ได้ จะไม่ยอมให้เขาเห็นความอ่อนแอแน่นอน “โอเค แน่ใจก็แน่ใจ บังเอิญว่าผมยังเก็บคลิปเซ็กซ์ของเราไว้ดูต่างหน้า” “ว่าอะไรนะ!” คำพูดของคริสทำให้ลลิตารู้สึกเย็นวาบไปถึงตัว เพราะอารมณ์ในตอนนั้นมันพาไปเธอจึงยอมให้เขาถ่ายทุกอย่างเก็บไว้ ไม่คิดว่าวันนึงคลิปบ้าๆ นั่นจะตามมาหลอกหลอนเธอ “ได้ยินชัดแล้วนี่” “แต่ฉันลบมันไปแล้วกับมือ” ลลิตามั่นใจว่าเธอลบคลิปที่ว่ากับมือแล้วทำไมคริสถึงยังมีอีกหรือว่าเขาหลอกให้เธอตายใจ “ลบเสียเมื่อไหร่เพราะก่อนหน้านั้นผมสำรองไฟล์ไว้ดูหลายไฟล์ คิดถูกจริงๆ ที่ทำแบบนั้น” “สารเลว” “นอกจากมีคลิปแล้วผมยังเปิดดูมันบ่อยๆ ด้วยนะ คุณไม่อยากดูบทรักของเราหน่อยเราเหรอ” คริสเอ่ยอย่างไม่ไยดีราวกับเรื่องที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งปกติ “คุณมาหาฉันเพื่อเอาคลิปอุบาทว์ๆ นั่นมาขู่อย่างนี้นะเหรอ” “ผมไม่ได้ขู่” “แล้วต้องการอะไร” “วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ช่วยหาเวลาให้ผมหน่อย ขอแค่สามวันเท่านั้น” นั่นคือหนึ่งในแผนที่จะทำลายผู้หญิงตรงหน้าของคริส “ถ้าฉันปฏิเสธล่ะคะ” ลลิตาจ้องตาเขากลับมาอย่างไม่กลัวเช่นกัน “คุณก็น่าจะเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง คลิปในมือผมมันคงทำให้คุณดังกระฉ่อนทีเดียวล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากพร้อมหัวเราะออกมาเล็กน้อย คำขู่ของเขายังคงได้ผลกับลลิตาเรื่องแบบนี้คนที่เสียหายที่สุดคงเป็นผู้หญิงแบบเธอ “ถ้าคลิปนั่นหลุดขึ้นมา คุณเองก็จะดังกระฉ่อนไปด้วยไม่ใช่หรอ หน้าที่การงานที่คุณโหยหาและสร้างมันของคุณจะพังทลายไปเหมือนกัน” “มันคือเรื่องส่วนตัวฝรั่งเขาไม่แคร์เรื่องนี้หรอกอีกอย่างในคลิปนั้นก็ไม่เห็นหน้าผมด้วยสิ”
คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยังเวอร์จิ้น! มาแก้ไขปริศนาประโยคนี้กันค๊า โดยแกนนำคือรอยส์ซีอีโอหนุ่มที่ตกหลุมรักลูกน้องคนเก่งที่มีสถานะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างขวัญชีวาเข้าอย่างจัง กระทั่งเธอก็มีเหตุให้ยื่นใบลาออก รอยส์จึงใช้ความเจ้าเล่ห์เข้าล่อหลอกเพื่อให้เธอตกหลุมพราง แต่ดูเหมือนเขาต่างหากที่จะตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดไว้เสียเอง ในเมื่อต้องการเรื่องอะไรจะปล่อยเธอไป ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกลไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องได้ด้วยคาถา โอมมมม เพี้ยงงงงง
เธอถูกคนใกล้ตัวคิดร้ายและเขาคือเจ้าชายขี่ม้าขาว รวีคือหญิงสาวที่รอดตายจากการถูกลอบฆ่า เธอดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากก้นเหมืองและคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้คือภีม บางคนกล่าวไว้ว่าความรักครั้งนี้ของภีมเกิดขึ้นจากความสงสาร แต่ชายหนุ่มก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความรักที่เกิดจากความสงสารนั้นไม่ผิด เขารักเธอ รักผู้หญิงแปลกหน้าที่ใสซื่อและไร้พิษภัย เพราะรักจึงทุ่มเทและเลือกที่จะปกป้อง ใครหน้าไหนก็แตะเธอไม่ได้
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้