เธอยอมรับว่าเป็นผู้หญิงในคลิปที่อยู่บนเตียงกับบอสหนุ่มเพื่อแลกกับเงินที่บิดาเป็นหนี้ การแต่งงานที่สวยหรูจึงเป็นแค่วิวาห์ขัดดอก
เธอยอมรับว่าเป็นผู้หญิงในคลิปที่อยู่บนเตียงกับบอสหนุ่มเพื่อแลกกับเงินที่บิดาเป็นหนี้ การแต่งงานที่สวยหรูจึงเป็นแค่วิวาห์ขัดดอก
การประชุมใหญ่ประจำปีของบริษัทเอสทีแอลเรียลเอสเต็ท ดีเวลล็อปเม็นท์คอนซัลติ้งจํากัดจบลงในเวลาสองทุ่มผู้เข้าประชุมทยอยออกจากห้องประชุมของบริษัทด้วยความเหนื่อยล้า การประชุมลากยาวมาตั้งแต่บ่ายโมงเพราะเรื่องที่ประชุมวันนี้เป็นเรื่องโปรเจกต์ใหญ่ที่บริษัทของเขาร่วมทุนกับนักลงทุนชาวต่างชาติเพื่อสร้างสร้างบ้านหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวน 10 หลังซึ่งแต่ละหลังราคาไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทเพื่อขายให้มหาเศรษฐีชาวต่างชาติที่ชอบในประเทศไทย
นอกจากนั้นยังมีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดกลางอีก 100 ยูนิต กลางสุขุมวิทซึ่งราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15 ล้านบาทไปจนถึง 80 ล้านบาท
ภาคินชายหนุ่มวัย 31 ปีถึงมีซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโครงการนี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่ผู้บริหารคนอื่นออกจากห้องประชุมไปแล้ว
“มัดหมี่คุณรีบกลับไหม” เขาถามเลขาที่กำลังเก็บของเตรียมจะเลิกงาน
“ไม่ค่ะบอสมีอะไรจะใช้มัดหมี่คะ”
“เปล่าหรอกผมแค่กำลังสงสัยว่าทำไมจู่ๆ คุณยายถึงขึ้นราคาที่ดินจากเดิมที่ตกลงกันไว้แค่สิบล้านแล้วจู่ๆ เปลี่ยนมาเป็น สิบห้าล้าน ผมว่าเรื่องนี้มันต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ คุณคิดเหมือนผมไหม"
“มัดหมี่ก็คิดเหมือนบอสเลยค่ะ ที่ดินของคุณยายมันก็ไม่ได้มากเท่าไหร่และก็ไม่เป็นปัญหาถ้าหากว่าเราจะไม่ได้ที่ดินตรงนั้น เพราะบอสซื้อก็เพราะอยากสร้างศาลาริมน้ำใช่ไหมล่ะคะ” เลขาสาวก็สงสัยเรื่องนี้
“ผมว่าถ้าราคาแบบนี้คงต้องไปคุยกับคุณยายอีกทีเพราะถ้าโครงการของเราเสร็จที่ตรงนั้นจะกลายเป็นที่ตาบอดทันที ผมไม่อยากรังแกคนแก่”
“มัดหมี่สงสัยว่าทำไมจู่ๆ ท่านถึงเปลี่ยนใจหรือว่ามีใครไปพูดอะไรให้ยายขึ้นราคา แต่คนที่บอกก็คงไม่รู้เรื่องโครงการเท่าไหร่เพราะถ้ารู้จริงคงไม่กล้าบอกให้ยายขึ้นราคา”
“นั้นสิ ผมอยากรู้เหมือนกันว่ามีใครเป็นคนไปพูดอีกอย่างครั้งนี้ยายเขาไม่ได้บอกเราโดยตรงๆ แต่บอกผ่านมาทางสุวิจักขณ์อีกที”
“หรือคุณสุวิจักขณ์จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้คะ”
“คุณคิดอย่างนั้นเหรอมัดหมี่”
“มัดหมี่ก็ไม่อยากจะใส่ร้ายหรอกนะคะ เพราะคุณสุวิจักขณ์เธอเป็นญาติของบอสแต่พักหลังมานี่มัดหมี่ได้กลิ่นแปลกๆ”
“แปลกยังไง”
“พ่อบอกว่าเจอคุณสุวิจักขณ์ในบ่อน”
“นี่พ่อคุณยังเข้าบ่อนอีกเหรอไหนว่าเลิกเล่นแล้ว”
“เลิกแล้วค่ะ พ่อเคยเล่าให้มัดหมี่ฟังตั้งแต่สองเดือนก่อน”
“ผมนึกว่าพ่อคุณกลับไปเล่นการพนันอีกแล้ว”
“ถ้าพ่อยังไปเล่นการพนันอีกคราวนี้มัดหมี่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วนะคะ แค่มัดหมี่ต้องมาทำงานและรับเงินเดือนแค่ครึ่งเดียวมันก็ลำบากมากพออยู่แล้ว”
"คุณรับผิดชอบหนี้ทั้งหมดคนเดียวเลยเหรอ แล้วแฟนคุณล่ะ ได้ช่วยบ้างไหม"
“บอสหมายถึงพี่ต้นเหรอคะ”
“อือ เขาได้ช่วยเหลือบ้างไหม” เขาเคยเห็นแฟนหนุ่มของเลขามารับอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันบ่อย
“มัดหมี่กับเขาเลิกกันไปแล้วค่ะ”
“ถึงว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเขามารับคุณเลย” ภาคินแอบยิ้มในใจเพราะเขาไม่ค่อยชอบแฟนของเลขาเท่าไหร่ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ชอบ
"มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า หรือคุณไม่ค่อยมีเวลาให้เขา"
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องเวลาหรอกค่ะ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับพ่อ"
"เรื่องที่พ่อคุณเป็นหนี้สองล้านน่ะเหรอ”
“ค่ะ พี่ต้นเขาไม่อยากเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาไม่อยากรับผิดชอบเรื่องนี้”
“มันก็พูดยากนะ คุณคงเสียใจมาก”
“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่มัดหมี่เข้าใจค่ะ เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเลยก็คงกลัวที่จะต้องคบกับคนที่มีหนี้สินแบบมัดหมี่”
“แต่คนเราถ้ารักกันจริงๆ ผมว่าจะต้องช่วยเหลือกันเวลาที่ลำบากนะ”
“โธ่บอสคะเงินสองล้านมันไม่ใช่น้อยๆ เลยต่อให้รักมากแค่ไหนก็ไม่มีใครเขาทุ่มเทเพื่อผู้หญิงคนเดียวหรอกค่ะ”
“ผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไงแต่สำหรับผมถ้าลองรักใครแล้วเรื่องเงินมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“จริงสิคะพูดถึงเรื่องความรักมัดหมี่เพิ่งนึกขึ้นได้วันนี้คุณว่านโทรมาบอกมัดหมี่ว่าเธอจะไปฉลองงานวันเกิดของเพื่อนแล้วให้บอสตามไปทีหลังค่ะ”
“ที่ไหนล่ะผับXXXค่ะ”
“เขาบอกไหมว่าผมต้องไปถึงกี่โมง”
“ไม่ได้บอกค่ะ”
“เพื่อนคนนี้ชื่ออะไรคุณรู้ไหม”
“น่าจะชื่อเชอร์รี่นะคะ”
“ไม่ใช่แล้วล่ะ”
“ไม่ใช่อะไรคะ”
“ก็คนที่ชื่อเชอร์รี่เพิ่งเกิดไปเดือนที่แล้วผมว่า ว่านคงจะหาข้ออ้างเที่ยวแล้วให้ผมตามไปจ่ายเงินมากกว่า”
“ไหนบอสบอกว่าถ้ารักแล้วเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” หญิงสาวถามกลับอย่างสงสัย
“มันก็จริงแต่จริงนะแต่เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นจะต้องจ่าย” ที่พูดแบบนี้เพราะเริ่มจะเบื่อผู้หญิงที่ชื่อว่านหรือวาริสานางแบบที่เจอกันเพราะเขาจ้างให้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เมื่อหลายเดือนก่อน
“แต่เงินแค่นั้นมันอาจจะน้อยนิด”
“คุณอาจจะเห็นผมมีเงินมากมายรวยล้นฟ้าแต่กว่าผมจะมาถึงวันนี้ได้ผมก็ลำบากมาเหมือนกันเพราะฉะนั้นการใช้เงินของผมทุกบาททุกสตางค์มันต้องคุ้มค่าและมีเหตุผล”
“มัดหมี่ไม่เข้าใจบอสเลยค่ะเมื่อกี้บอสบอกว่ายอมจ่ายเพื่อคนรัก มาตอนนี้บอกว่าการใช้เงินทุกอย่างต้องมีเหตุผล”
“อย่าว่าแต่คุณเลยมัดหมี่ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวผมเหมือนกัน” ภาคินหัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง
“บอสมีอะไรจะใช้มัดหมี่อีกไหมคะ”
“ไม่นะ”
“นี่มันก็ดึกแล้วถ้าไม่มีอะไรมัดหมี่ขอตัวกลับเลยนะคะ”
“แล้วจะกลับยังไงดึกแล้วนะรถเมล์น่าจะหมด”
“เรียกแท็กซี่ไปก็ได้ค่ะ”
“คอนโดคุณ ยังอยู่ที่เดิมใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“เดี๋ยวผมไปส่งก็แล้วกัน”
“บอสต้องไปหาคุณว่านอีกนะคะ”
“วันนี้เหนื่อยมาก ผมอยากกลับไปพักมากกว่า”
“แต่คอนโดของมัดหมี่ไปคนละทางกับบ้านของบอสนะคะ”
“คืนนี้ผมว่าจะไปค้างที่คอนโดของผมน่ะ” เขาถอนหายใจเมื่อนึกถึงบรรยากาศที่บ้าน ภาคินไม่รู้ว่ามารดาของตนคุยกับใครมาเพราะทุกครั้งที่เจอหน้าก็มักจะพูดถึงแต่เรื่องแต่งงาน ซึ่งมันไม่เคยมีอยู่ในหัวของชายหนุ่มเลย
ความผิดพลาดในคืนนั้นทำให้ชีวิตของวิรัลพัชรเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำใครคือผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่เขาจำได้และเมื่อรู้ว่าเธอกำลังท้องลูกของเขาชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามาในชีวิตเพียงเพื่อต้องการลูกของเธอเท่านั้น
นานนับปีแล้วที่อรณิชาไม่ได้รับความสุขจากสามี เขาอ้างว่าเพราะงานแต่จริงๆ แล้วเขามีคนอื่นโดยที่อรณิชาไม่รู้ หญิงสาวจึงให้เวลาเขาและเธอหนึ่งเดือนเพื่อจัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตคู่ หญิงสาวจึงกลับมาที่เมืองไทย และได้เจอกับอดีตคน รักความสุขความผูกพัน ทางใจในอดีตกับกลายเป็นความสัมพันธ์ทางกายในปัจจุบัน ความใกล้ชิดในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ทั้งสองเผลอใจก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ไม่สนใจทถูกผิดมองแค่บนเตียงเพียงอย่างเดียว
ความสัมพันธ์ระหว่างนายหัวหนุ่มและนักศึกษาสาว ที่ห่างกันทั้งอายุและระยะทางนายหัวหนุ่มจะทำให้เธอรักเขาได้อย่างที่เขารักเธอหรือไม่คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ในคืนที่โดนแฟนเอายาปลุกเซ็กซ์ใส่เครื่องดื่ม เธอขอให้ชายคนหนึ่งช่วย พอเช้ามาถึงได้รู้ว่าเขาคือเพื่อนสมัยเรียนเขาขู่ให้เธอยอมเป็นคู่นอนของเขาโดยบอกว่ามีคลิปในคืนนั้นเธอยอมเพราะคำขู่แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีคลิปทุกอย่างระหว่างเขากับเธอก็จบแต่เขาไม่ยอมจบเพราะตอนนี้คิดกับเธอมากไปกว่าคู่นอนไปแล้ว
สายตาที่ประสานกันมันบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ชายหนุ่มนั้นลืมคำว่าผู้ปกครองกับเด็กในปกครองไปแล้ว **************** หญิงชายสมัยนี้มันเท่าเทียมกันนะบัว เธอคิดว่าจะนอนกับฉันและทิ้งฉันไปง่ายๆ แบบนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอต้องรับผิดชอบทั้งตัวฉันและความรู้สึกของฉัน
เพราะคู่หมั้นของเธอเป็นต้นเหตุทำให้น้องสาวของเขาเสียชีวิต เธอจึงเป็นหมากตัวสำคัญในการแก้แค้นของเขา แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นเขาที่รู้สึกผิดและทำทุกอย่างให้หมากตัวนี้เป็นของตนเอง
เสิ่นหยวูแต่งงานกับเหอซวี่ที่เป็นสูติแพทย์ตอนอายุยี่สิบสี่ปี สองปีต่อมา เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว เหอซวี่ก็วางแผนแท้งลูกเธอด้วยมือตัวเอง และหย่าร้างกับเธอ ระหว่างช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านี้ ตู้หยวุนปรากฏตัวเข้าในชีวิตของเสิ่นหยวู เขาทำดีต่อเธออย่างอ่อนโยน และให้ความอบอุ่นแก่เธออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน สุดท้าย เสิ่นหยวูจึงเข้มแข็งขึ้นหลังผ่านพ้นไปกับทุกอย่างแล้ว แต่เมื่อความจริงก็ถูกเปิดเผยในที่สุด เธอจะยอมรับและอดทนได้ไหม? อยู่เบื้องหลังตู้หยวุนผู้ที่หล่อเหลาดูมีเสน่ห์นั้นเป็นใคร?และเมื่อพบคำตอบแล้ว เสิ่นหยวูจะรับมือยังไง ?
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
แค่ทะลุมิติมาในโลกยุคโบราณก็นับว่าแย่มากพอแล้ว แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เธอต้องมาแต่งงานกับท่านอ๋องที่ขึ้นชื่อว่าอำมหิตมากที่สุดในเมืองหลวง แล้วจางอวิ๋นซีจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของท่านอ๋องจอมโฉดได้อย่างไร
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
© 2018-now MeghaBook
บนสุด