“เป็นอย่างที่เคยเป็นมันดีแล้ว” ประโยคปฎิเสธสั้นๆ ดังก้องในหัวฉันตลอดเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายที่บินกลับมาตามคำสั่งที่เจ้าตัวน่าจะลืมมันไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนึง คนที่เคยปฏิเสธ..จะเป็นฝ่ายมาขอคบกับฉันซะเอง!
“เป็นอย่างที่เคยเป็นมันดีแล้ว” ประโยคปฎิเสธสั้นๆ ดังก้องในหัวฉันตลอดเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายที่บินกลับมาตามคำสั่งที่เจ้าตัวน่าจะลืมมันไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนึง คนที่เคยปฏิเสธ..จะเป็นฝ่ายมาขอคบกับฉันซะเอง!
วิธวินท์ เตชะอัครา (วาโย)
KING OF GJB
กำลังศึกษา : คณะอัญมณี สาขาธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ (ปี 2)
ทายาท AKR Jewelry
งานอดิเรก : ออกแบบเครื่องประดับ
บุคลิก : เจ้าชู้ ขี้เล่น กวนมากกก นิ่งบ้างกับคนไม่รู้จัก
“ลิซเรียนที่อื่นก็ได้นะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนพูดขึ้น พร้อมกับแววตาที่จ้องมาเหมือนรู้ทันว่าฉันกำลังคิดอะไร หลังจากนั่งอ่านประวัติของใครคนหนึ่งที่ฉันคุ้นเคย ผ่านหน้าเพจ Facebook ของเหล่าแฟนคลับ Nightshade แก๊งค์เทพเจ้าประจำมหาลัยที่ลิซ่า น้องสาวฝาแฝดของฉันตั้งใจว่าจะกลับไปเรียนให้ได้หลังจบ High School จากที่นี่
‘เฮียพายุ’ กับ ‘เฮียวาโย’
2 ใน 5 สมาชิก Nightshade คือรุ่นพี่กลุ่มเดียวกันกับพวกฉัน ที่นับจากวันนั้น..วันที่พวกเขาเรียนจบและย้ายกลับไปไทย เราก็ไม่เคยได้เจอกันแบบตัวเป็นๆ มาปีนึงได้แล้ว มากสุดก็คุยกันใน Line Group บ้าง ไม่ก็ตามกด Like รูป หรือ status ใน IG, Facebook กันก็แค่นั้น
“...ไม่เป็นไร”
ฉันตอบลิซไปแล้วพับจอ Notebook ปิดลงช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาในห้อง ลากกระเป๋าเตรียมเก็บของเงียบๆ แล้วลิซก็เดินตามเข้ามา
“โรสโอเคจริงๆ ใช่มั้ย? ลิซรู้มันนานแล้ว แต่ลิซว่าโรสดู....”
“(- -) (_ _)”
แววตาที่ดูกังวลกับท่าทางขี้เกรงใจถูกส่งมาให้ฉันตามสไตล์น้องสาวขี้เป็นห่วงที่มีมาเสมอ ฉันเลยพยักหน้าตอบกลับไปและส่งยิ้มไปให้เพื่อให้ลิซคลายกังวล แม้ในใจมันจะหน่วงๆ ภาพวันนั้น เสียงนั้น จะแล่นอยู่ในหัวซ้ำๆ ทุกวันก็เถอะ
“บอกว่าไม่เป็นไรไง ไม่รีบเก็บของ ตกเครื่องอดกลับไทยไม่รู้ด้วยนะ”
ฉันแกล้งพูดให้ลิซตื่นเต้นไปงั้น เพราะรู้ว่าถ้าไม่ตัดบท ลิซมันต้องดึงดราม่าแน่ๆ ก็ยัยนี่เล่นทำหน้าตาแบบนี้ แล้วก็พูดประโยคนี้ซ้ำๆ มาเป็นร้อยรอบได้แล้วมั้งตั้งแต่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกลับไปเรียนที่นั่นอ่ะ
“งื้อออ งั้น..เค้าไปก่อนนะ เค้าไปเก็บของก่อน เดี๋ยวไม่ทัน~”
แล้วก็เป็นไปตามที่คิดเป๊ะ พอได้ฟังลิซมันก็รีบวิ่งออกจากห้องฉันไปเลยไอ้ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเมื่อกี๊หายเกลี้ยง เรื่องกระโตกกระตากจนบางทีไม่ค่อยจะมีสติต้องยกให้เลยจริงๆ เพราะแบบนี้นี่ไงถึงปล่อยให้ไปคนเดียวไม่ได้ แม้ว่าสุดท้ายการกลับไทยของฉันมันจะไม่เป็นผลดีกับใจตัวเองสักเท่าไหร่..
ย้อนกลับ 1 ปีก่อน…
พิธีจบการศึกษา High School
ตึก ตึก ตึก..
“โรสๆ เดี๋ยวโรส...!”
ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกของใครคนหนึ่งในชุดครุยพะรุงพะรังที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พร้อมกับเรียกชื่อฉันดังลั่นจนคนบรรดาแขกในงานต่างก็หันไปมอง
“ว่าไงพี่ ใจเย็นดิเดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป”
พอเห็นว่าเป็น ‘พี่ริว’ รุ่นพี่ที่รู้จักกันวิ่งเข้ามาแล้วหยุดตรงหน้าฉันแบบหอบๆ ฉันเลยเอ่ยปากแซวออกไป แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมาแบบขำๆ
“หึ.. ถ่ายรูปกัน เรานี่มันหาตัวยากฉิบ”
“หาเจอก็บ้าแล้วพี่ โรสเพิ่งมาเหยียบที่นี่ไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ มาๆ กล้องไหนพ่อซุปตาร์?”
ฉันตอบกลับไปแล้วหันไปหาช่างภาพของพี่ริวที่วิ่งตามมาอีก 3-4 คนได้ ไม่รู้จะเล่นใหญ่อะไรเบอร์นั้น แล้วพวกเขาก็รัวชัตเตอร์แข่งกันใหญ่เลย เรียกว่ายิ้มกันจนเมื่อยปากกว่าจะยอมหยุด
แชะ! แชะ! แชะ!
“อ่ะ พี่ให้”
แล้วอยู่ๆ พี่ริวก็ยื่นกุหลาบช่อใหญ่มาให้ฉัน แถมยังคว้ามงกุฎดอกไม้ในมือช่างภาพคนหนึ่งมาใส่ให้ฉันแบบไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและน้ำเสียงที่ดูตั้งใจ
“คบกันมั้ย?”
“หื้ม..” พอได้ฟังแบบนั้นฉันก็ออกอาการแปลกใจ และเลิกคิ้วสงสัยออกไปจนพี่ริวถึงกับประหม่าขึ้นมาทันที
“คือพี่..แอบชอบเรามานานแล้วว่ะ -////-”
พี่ริวพูดออกมาตามสไตล์ห้าวๆ ของเขาที่เรามักจะคุยกันแบบนี้เสมอ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันคิดเกินเลยกับพี่ริวไปมากกว่านั้น
“พี่ริวคือโรส...”
หมับ! พรึ่บ!
“เพื่อนยืนรอมัวแต่มาอ่อยผู้ชาย!”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ ร่างของฉันก็ปลิวไปตามแรงดึงจนตัวเซ ก่อนที่เจ้าของมือนั้นจะพูดขึ้นมาเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยแววตาไม่พอใจออกมาจนเห็นได้ชัด แล้วแค่แว๊บเดียวเท่านั้น..แววตาคู่นั้นก็ปรับกลับไปเป็นเรียบเฉยตามสีหน้าของเขา
“เบาดิเฮีย เจ็บ!” ฉันบ่นอุบอิบออกไป พอมือใหญ่ของเฮียโยกำข้อมือฉันกระชากเอาๆ แล้วเขาก็ตอบกลับมา
“ไอ้พายรอถ่ายรูป”
“เฮียก็ไปก่อนดิ อีกแป๊บเดี๋ยวโรสตามไป”
พอหันไปเห็นพี่ริวยืนทำหน้านิ่งๆ อย่างรอคำตอบ ฉันเลยบอกเฮียโยแล้วกำลังจะเดินกลับไปหาพี่ริว แต่เฮียก็มาคว้าแขนฉันไว้อีก แถมยังส่งเสียงเข้มออกมาเหมือนไม่พอใจ
“ต้องไปเดี๋ยวนี้!”
“แต่โรสยังคุยธุระไม่...”
“มีผัวละ”
ฉันกำลังจะอธิบาย แต่อยู่ๆ เฮียโยก็โพล่งขึ้นมา พร้อมกับหันไปหาพี่ริวด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่รู้ไปโกรธใครมา เล่นเอาพี่ริวอึ้งกิมกี่มองฉันด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อทันที ที่จริง..อย่าว่าแต่พี่ริวเลย ฉันเองก็ตกใจในคำพูดเฮียเหมือนกัน
“ห๊ะ?!”
“ยัยนี่มีผัวแล้ว รู้เรื่องนะ!” เฮียโยพูดออกไปเสียงดังลั่นจนรอบข้างหันมอง แล้วลากฉันออกจากวงล้อมของคนที่เดินซอกแซกไปมาแบบไม่สนใจอะไร
“ไอ้เฮียบ้า พูดบ้าไรเนี่ย”
ฉันถามออกไปแบบเดาใจเฮียไม่ถูก มีผัวแล้วเนี่ยนะ? ตั้งแต่โตมายังไม่เคยเสียเวอร์จิ้นให้ใครเลยนะเว้ย! จะไปเอาผัวตัวเป็นๆ ที่ไหนมาฟะ -.-?
แล้วไอ้ท่าทางหงุดหงิดของเฮียที่ดูยังไงก็ไม่ใช่แค่รอฉันถ่ายรูปเนี่ยคืออะไร? เพราะถัดออกไปบรรดาสาวๆ ในสต็อคของเขาก็ยืนออกันอยู่ตั้งมากมายจะเลือกถ่ายกับใครไปก่อนก็ได้ไง เมาแดดป้ะวะเฮียเนี่ย?!
“...ชอบไอ้ริว?”
พอลากฉันมาได้สักพัก เฮียโยก็หยุดเดินตรงช่องใต้บันได แล้วหันมาจ้องหน้าฉัน ถามออกมาแบบไม่พอใจ
“ชอบไม่ชอบแล้วจะทำไม?”
ฉันตอบคำถามเฮียกลับไปแบบงงๆ ปกติเราก็ไม่ค่อยพูดกันดีๆ เท่าไหร่อยู่แล้ว ออกแนวจะเป็นคู่กัดกันมากกว่าด้วยซ้ำ
“ไม่เห็นจะเท่ตรงไหน”
เฮียโยมองฉันนิดหน่อยแล้วหันหนี ก่อนจะพูดลอยๆ แล้วทำหน้าไม่สนใจ พร้อมกับขยับชุดครุยให้เข้าที่เข้าทางแบบลวกๆ ฉันเลยแย้งกลับไป
“โห พี่ริวนี่ขวัญใจสาวๆ เลยเหอะ”
ฉันพูดแล้วเอื้อมมือไปช่วยจัดชุดครุยให้ แล้วก็เอามือปัดคราบเลอะๆ บนชุดออกแบบไม่ต้องเดา คราบแป้ง คราบรองพื้นขนาดนี้ แสดงความยินดีกันท่าไหนไม่รู้ดิ ถ้าขืนให้เฮียทำต่อได้เละกว่าเดิมน่ะสิ คนอะไรไม่มีระเบียบเลยสักนิด! แล้วพอได้ยินฉันพูดแบบนั้น เขาก็ส่งสายตาเซ็งๆ กับน้ำเสียงแบบเดิมกลับมา
“น่ารำคาญฉิบหาย”
“หรอ หมายถึงตัวเองรึไง?”
เฮียพูดจบฉันก็สวนกลับไป แล้วแกล้งทำเป็นเลิกคิ้วสงสัย ถามจริงไปกินไรผิดมา พาลจัด! หรืออากาศมันร้อน ชุดครุยมันแน่นไปใช่มั้ย?
ป๊อก!
“หมั่นไส้!” แล้วเฮียโยก็เอามือมาเขกหัวฉันเบาๆ ไปที แต่ก็ยังทำหน้าบึ้งอยู่แบบนั้น ฉันเลยโวยวายกลับไปบ้าง
“เฮ้ย แกล้งอยู่ได้ ไหนอ่ะเฮียพายรอถ่ายรูป?”
พอฉันหันซ้ายหันขวามองหาเฮียพาย อยู่ๆ เฮียโยก็เอามือมาคว้ามงกุฎดอกไม้บนหัวฉันไป แล้วโยนมันลงถังขยะที่อยู่โคตรไกลแบบแม่นพอดีเป๊ะ
พรึ่บ! ตึง!
“อะไรของเฮีย พี่ริวอุตส่าห์ให้มา”
ฉันขมวดคิ้วบ่นออกไปอย่างเริ่มจะเซ็งๆ กับไอ้ท่าทางพาลๆ ของคนตรงหน้าละ แต่เขากลับมองมาเฉยๆ แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร แถมยังชี้ไปที่ซุ้มขายมงกุฎดอกไม้ที่อยู่ไกลๆ พร้อมกับพูดออกมา
“อยากได้ไปเลือกเอาใหม่ ซื้อให้”
“เพื่อ? มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดีมั้ย” ฉันตอบกลับไป แล้วมองไปที่ซุ้มนั้นนิดหน่อย ไม่ใช่มงกุฎดอกไม้ที่ไม่เหมือนกัน แต่หมายถึงความตั้งใจของคนให้ไง..ที่มันต่างกัน
“ทำไม เสียดายที่โยนของมันทิ้ง?” เฮียโยจ้องหน้าฉันแล้วถามออกมา ฉันเลยพยักหน้าตอบไปตรงๆ
“(- -) (_ _) ก็..ประมาณนั้น” แล้วเขาก็ยิ่งทำหน้าไม่พอใจออกมา
“สรุปชอบมัน?”
“ไม่ได้ชอ...”
พรึ่บบบ!
ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างฉันกับเฮีย แถมยังตั้งใจกระแทกไหล่ฉันจนเซถอยออกมานิดหน่อย แล้วจีบปากจีบคอพูดกับเฮีย เกาะแขนเขาเป็นปลิง ก่อนจะเอาหน้าอกหน้าใจถูๆ ไถๆ ไปมาอย่างน่าละอายไม่ยอมหยุด
“รุ่นพี่..อยู่นี่เอง ลิลลี่รอนานแล้วนะคะ”
ถึงน้ำเสียงจะแอ๊บแบ๊วมากมายขนาดนั้น แต่เซ้นส์ผู้หญิงด้วยกันฉันมองก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มันงูพิษชัดๆ! เฮียนี่ก็แปลก ตาบอดรึไง? หรือเน้นใหญ่อย่างเดียวก็ไม่รู้!
“เอ่อ..แหะๆ ลิลลี่ ไปรอตรงนู้นก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่ตามไปนะ”
หึ.. ชัดเลย! โดนอ้อนนิดอ้อนหน่อยเสียงเฮียนี่หวานขึ้นมาเชียว แล้วผู้หญิงคนนั้นก็มุดหน้าลงไปซบเฮียจนรองพื้นติดชุดครุยเฮียเป็นเทือก เออ! เพิ่งปัดรอยเก่าออกไปเมื่อกี๊ ให้ตาย!
“งื้อออ แน่ใจนะคะว่าไม่ได้หนีมากกใครอ่ะ”
เสียงหวานออดอ้อนถูกส่งไปให้เฮีย แต่สายตาอาฆาตเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อถูกส่งมาให้ฉัน เฮียแม่งก็เอาแต่ฟินกับสัมผัสแนบแน่นนั่นอยู่ได้ เอามือลูบหัวยัยนั่นแถมทำหน้าเคลิ้มออกมาจนน่าหงุดหงิด -.-!
“แน่สิคะ ไม่เอาสิ ไม่ดื้อนะคะ รอแป๊บเดียวนะ”
พอเฮียเจรจา ผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้าออกมาอย่างจำยอมแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วยวน ก่อนจะออกแรงดันตัวเฮียให้ถอยหลังชนผนังแล้วพุ่งตามเข้าไปอย่างรีบร้อน
พลั่กกก! พรึ่บ!
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นขอลิลลี่ Kiss ทีสิคะ นะๆ”
“เดี๋ยวลิลลี่ พี่ว่า...อืมมม”
พูดจบผู้หญิงคนนั้นก็โน้มคอเฮียโยลงมาจูบทันทีโดยไม่รอฟังว่าเฮียจะพูดอะไร จนฉันที่ยืนมองเหตุการณ์นี้ถึงกับหันหน้าหนี คือมันก็เคยมีให้เห็นบ้างตามงานปาร์ตี้ และทุกทีฉันจะเป็นฝ่ายเลี่ยงออกไป แต่แบบที่ชัดตำตา แถมมายืนขวางทางไม่ให้ฉันออกได้แบบนี้ มันไม่มากเกินไปหรอสำหรับฉันที่ชอ....
“อื้อ..รุ่นพี่~”
หึ! ถ้าแค่ผู้หญิงคนนั้นจูบเขาฝ่ายเดียว ฉันก็คงไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่เหมือนตอนนี้เฮียโยเองก็เคลิ้มตามไป จูบตอบจนยัยนั่นถึงกับหลุดครางออกมา แถมยังรุกเข้าไปแบบรวดเร็วและร้อนแรงขึ้นจนฉันที่ยืนดูมันถึงกับ....
พรึ่บบบ! พลั่กกก!
ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีฉันก็ออกแรงกระชากสองคนนี้ออกจากกันจนกระเด็นไปคนละทิศละทางแล้ว ก่อนจะตะคอกออกไปเสียงดังลั่นจนเราทุกคนต่างก็เงียบไปตามๆ กัน
“ให้เกียรติครุยที่ใส่หน่อยดีป้ะ?! ไม่งั้นก็ถอดแล้วเอากันใต้บันไดไปเลยไป!!!”
ฉัน...สาวน้อยดาวเสาร์กับเรื่องวุ่นๆของ "เทพบุตรดาวพุธ" ผู้ชายถืออาวุธที่แม่หมอทำนายว่าเป็น "เนื้อคู่" ในใจก็คิดมาตลอดเลยนะว่าต้องเป็นคนในเครื่องแบบแน่ๆ แต่แล้วอยู่ๆดันหลงเข้าไปในดงมาเฟียได้ไงไม่รู้...
เพราะมีหน้าที่สำคัญต้องทำ แต่ก็โดนรุ่นน้องจอมป่วนอย่างเลโอ Nightshade มาวุ่นวาย ตามจีบไม่เว้นแต่ละวัน "ทฤษฎี 21 วัน" เลยถูกใช้เป็นไม้ตายเด็ดของฉัน คิดว่ามันจะกันคนกะล่อนอย่างหมอนี่ให้พ้นทางได้มั้ย?!
ใช้ชีวิตสงบสุขมาได้ตั้งนาน แต่กลับต้องมาอึมครึมเพราะดันไปมีเอี่ยวกับสมาชิกแก๊งค์เทพเจ้าประจำมหาลัย แถมไอ้บ้านั่นยังพ่วงตำแหน่ง "ว่าที่ผู้นำแก๊งค์มาเฟีย" ที่กำลังโดนตามล่าด้วยไง เหอะๆ แบบนี้ฉันจะมีชีวิตรอดต่อไปมั้ยให้ทาย?
แอบหื่นไปมั้ยถ้าจะบอกว่าวันเกิดปีนี้ ของขวัญอย่างเดียวที่ฉันอยากได้คือจูบที่แสนเต็มใจจากเขา... ♥ รุ่นพี่รันเวย์ของฉัน ♥ แล้วใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะจัดให้ตามนั้น แถมยังไม่ใช่แค่จูบ! ฉันได้รุ่นพี่ตัวเป็นๆเข้ามาอยู่ในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นมันบ้ามากที่จะบอกว่าอยู่ๆฉันก็ได้เป็นผู้หญิงของเขาด้วย!
“ที่พูดนี่คิดรึยัง?!” พอพายุ Nightshade พูดมาแบบนั้น ฉันเลยพยักหน้าออกไปช้าๆ แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจในคำถามนั้นเหมือนกัน “คิดแล้ว...ฉันว่าแย่กว่าการเป็นผู้หญิงของนาย คือเคยรักนายแต่จำมันไม่ได้มากกว่า”
ก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาพาฉันมาเจอกับอะไร... ทำไมอยู่ๆชีวิตฉันถึงต้องมาข้องเกี่ยวกับพวกคนรวยที่เป็นถึงทายาทมหาวิทยาลัยชื่อดังสองแห่งอย่าง Destinesia และ Vania ที่กำลังมีเรื่องบาดหมางจนแทบจะฆ่ากัน มิหนำซ้ำตัวฉันเองและใครบางคนในความทรงจำที่ฉันกำลังตามหา ก็ดันเป็นสาเหตุหลักของปัญหาที่ว่า ปัญหา...ที่ต้องแลกด้วยชีวิต ความสูญเสีย...ที่ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองก็มีส่วนในเรื่องนี้
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
"พี่ริก" นินิวเรียกคนที่เข้ามาในห้องเธอ ฉันอยากจะกรี๊ดและกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ฉันลืมไปสนิทว่าริกเป็นคนที่เข้าออกคอนโดของเธอได้อย่างง่ายดาย "ออกไป ถ้าไม่อยากโดนข้อหาบุกรุกห้องคนอื่นในยามวิกาล" นินิวบอกริกมาเสียดังด้วยสีหน้าโกรธจัด ที่ริกเข้าห้องเธออย่างถือวิสะ "ไม่ไป ในเมื่อที่นี่คือห้องเมียฉัน ทำไมฉันต้องออก" ร่างสูงบอกมาด้วยเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจ "ห้องฉันไม่ใช่ห้องของยัยโมเน่ เมียคนปัจจุบันของพี่ ถ้าพี่ยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่บ้างก็ออกไปจากห้องฉันคะ" แต่ริกกับไม่สนใจคำพูดนินิวเลยซักนิด ร่างสูงเดินเข้ามาหาคนตรงหน้า นินิวที่เห็นเช่นนั้นถึงกับจับที่ชายผ้าขนหนูเอาไว้แน่นขึ้น เพราะคนตรงหน้านั่นดูอันตรายสำหรับเธอ "อย่านะพี่ริก เรื่องของเรามันจบไปแล้ว" นินิวบอกมาด้วยเสียงสั่นเพราะสายตาที่เขามองเธอมามันน่ากลัวมากจริงๆ "ชอบฉันไม่ใช่เหรอ เอาฉันแล้วจะไปอ่อยคนอื่น อีกทำไม ฉันเห็นเต็มสองตาว่าเธอจูบกับไอ้ไทม์" "ในเมื่อพี่เห็นเช่นนั้น พี่ก็เลิกยุ่งกับฉันเสียสิ ฉันจะอ่อยจะจูบกับใครมันก็เรื่องของฉันไหม ฉันบอกพี่ไม่กี่ร้อยครั้งแล้วว่าเราเลิกกันแล้ว เพราะพี่มันเลว ฉันเลยไม่อยากได้พี่แล้ว " นินิวบอกคนใจร้ายอย่างคนเหลืออด เธอระเบิดอารมณ์ใส่คนตรงหน้าอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว สำหรับริกตอนนี้เธอมองเขาเป็นแค่เศษฝุ่นที่รู้สึกขยะแขยงยิ่งกว่าแมลงสาบ ริกถึงกับกัดฟันกอดด้วยความโกรธและโมโห เชตเรื่องหนุ่มๆวิศวะทั้ง 4 หนุ่มนะคะ พันธะร้ายนายวิศวะ เรียวตะ x เชอรีน (มีให้อ่านจบเรื่อง) พิษรักร้าย Toxic Love ริกกี้ x นินิว พลาดรักร้ายนายวิศวะ อรัณ x มิริณ คลั่งรักร้ายนายวิศวะ ริว x เจนิส โลกสวยไม่เหมาะกับนิยายเรื่องนี้ ข้ามไปได้เลยจ้า นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นตามจิตนาการของผู้แต่ง ห้ามขัดลอกเรียนแบบใดๆ ทั้งสิ้นเขียนขึ้นตามจิตนาการของผู้เขียนเท่านั้น นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหารุนแรงในบางตอน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ
เซียวหนานอยู่ในระดับต่ำสุดขององค์กรลับที่แผ่ขยายสายข่าวไปทุกแว่นแคว้น นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาที่ถูกเก็บมาให้เป็น นกกระจอกสืบข่าว เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่วรยุทธ์ต่ำต้อยและต้องทำงานเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาข่าวให้กับเบื้องบน ดังนั้นนกกระจอกเช่นนางจึงมีมากมายแทรกซึมเข้าไปในจวนขุนนางต่าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือการเอาใจบุรุษ บำรุงร่างกาย ฝึกฝนศาสตร์ทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ และฝึกวิชาเสพสังวาสให้บุรุษติดใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำกับบุรุษจริง ๆ แต่ขนาดของแท่งหยกของบุรุษนางล้วนได้สัมผัสมาแล้วจากแท่งหยกของเทียมและแท่งหยกบุรุษของจริงที่นางไม่เคยเห็นหน้าว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด เพราะพวกนางต้องมอบกายให้กับเหยื่อคนแรกที่นับว่าส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมประเวณีกับบุรุษอื่นก่อนที่จะได้รับมอบเหยื่อจากนายใหญ่
เมื่อย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณที่ผู้ชายล้วนมีสามภรรยาสี่อนุ จื่อรั่วอิงจึงมองหาบุรุษที่จะทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและได้รู้ว่ามีอ๋องผู้หนึ่งไร้ภรรยาและตาบอดเขาคือคนไม่มีใครเอา"สวรรค์ให้ทางรอดข้าแล้ว" นิยายเรื่องนี้เป็นแนวสุขนิยม ปมเบา ๆ ไม่หนัก นะคะ พระเอกมีเมียเดียว พระเอกสายซึนคลั่งรักนางเอกแต่ไม่รู้ตัว นางเองจอมตื๊อเพื่อทำให้สามีรักสามีหลงขนความฮามาพร้อม ๆ กับบ่าวรับใช้และครอบครัว แนวขบขัน สายฮา สายตลกไม่ควรพลาดค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด