ความรักแท้จริงที่สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ด้วยความเชื่อมั่นและความเสียสละจริงเหรอ? การต่อสู้เพื่อความรัก หรือการยอมรับในชะตากรรมที่ถูกลิขิตจากสวรรค์ สิ่งใดกันคือเส้นทางรักที่ข้าควรเลือก?
ในยามเช้าที่หมอกบางเบาแผ่คลุมเหนือยอดเขา ดวงตะวันเริ่มเผยแสงแรกของวัน ลอดผ่านม่านหมอกและเมฆขาวที่ล่องลอยเหนือสวนบุปผา จวนของตระกูลไป๋ตั้งตระหง่านในนครลั่วหยางเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและอำนาจ ความโอ่อ่าของจวนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กำแพงหินสูงที่ถูกแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง แต่ยังรวมถึงสวนดอกไม้ที่ล้อมรอบด้วยสระน้ำใส สะท้อนภาพของศาลาทรงเก๋งจีนที่ตั้งอยู่กลางน้ำ
ในจวนนี้เอง “ไป๋เสวี่ยหนี่” บุตรสาวของขุนนางใหญ่ เป็นที่เลื่องลือในความงามของนาง ผู้คนต่างกล่าวขานว่านางงามยิ่งกว่าดอกเหมยที่ผลิบานกลางฤดูหนาว และนางยังเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถทั้งในด้านกวีนิพนธ์และดนตรี ผู้ชายหนุ่มทั่วทั้งนครต่างหลงรักในความงามและคุณสมบัติของนาง ทุกวันนางจะได้รับจดหมายรักมากมายจากเหล่าบุรุษที่หมายปอง แต่ไม่มีใครสักคนที่สามารถเข้าไปถึงหัวใจของนางได้
ภายในห้องบรรทมอันหรูหราของเสวี่ยหนี่ ผ้าม่านผืนยาวปักลายหงส์และมังกรพลิ้วไหวไปตามสายลมเย็น เงาของดอกเหมยที่ผลิบานในสวนทอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลายเงาบนพื้นไม้ขัดมัน ทว่านางกลับยืนอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าของเสวี่ยหนี่ที่สวยงามดั่งภาพวาดดูนิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ดวงตาคู่นั้นมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย นางมิได้ยินเสียงขับกล่อมของนกในสวน มิได้ชื่นชมความงามของดอกไม้รอบตัว แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกพันธนาการด้วยกรงทองคำที่ยิ่งใหญ่แต่ไร้ซึ่งอิสรภาพ
แม้เสวี่ยหนี่จะมีทุกสิ่งที่หญิงสาวพึงปรารถนา แต่หัวใจของนางกลับว่างเปล่า ดั่งทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด ในห้วงคิดนั้น นางถามตัวเองซ้ำๆ ว่าความสุขที่แท้จริงคือสิ่งใด สิ่งที่นางได้รับคือความรักที่ห้อมล้อมจากคนที่นางไม่เคยรู้จักอย่างแท้จริง ความรักที่ไม่ได้มาเพราะตัวตนของนาง แต่เป็นเพราะนางเป็น “ไป๋เสวี่ยหนี่” บุตรสาวของขุนนางใหญ่ที่ถูกจับจ้องในฐานะทรัพย์สินอันล้ำค่ามากกว่าคนที่มีจิตใจ
ยิ่งคิดถึงอนาคตที่ถูกกำหนดไว้ ความรู้สึกโศกเศร้าของเสวี่ยหนี่ก็ยิ่งลึกซึ้ง นางรู้ดีว่าวันหนึ่งนางจะต้องแต่งงานกับชายที่พ่อเลือกให้ โดยที่หัวใจของนางไม่เคยได้มีส่วนเลือกเลยสักครั้ง ดั่งดอกเหมยที่เบ่งบานกลางฤดูหนาว แม้จะงดงามเพียงใด ก็ต้องทนต่อความหนาวเหน็บเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในดวงใจของนาง
ไป๋เสวี่ยหนี่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาจากหน้าต่าง สายตาที่เคยเฉยชากลับเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว นางรู้ดีว่าชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้นั้นไม่อาจหลีกหนี แต่ในส่วนลึกของหัวใจ นางยังคงมีความหวังเล็ก ๆ ว่าสักวันหนึ่ง ความรักที่แท้จริงอาจมาถึง แม้ต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม
ไป๋เสวี่ยหนี่ทิ้งตัวลงบนเตียงผ้าไหมที่ถูกปูอย่างพิถีพิถัน สีหน้าแสนเศร้าปรากฏชัดบนใบหน้าของนาง ขณะที่มือเรียวของนางลูบไล้ไปบนผ้าห่มที่ปักด้วยลวดลายดอกไม้ประณีต นางรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไม่สามารถคลายออกได้ แม้จะห่อหุ้มด้วยความหรูหรารอบกาย ความเบื่อหน่ายและท้อแท้ในชีวิตที่ถูกตีกรอบไว้อย่างแน่นหนาทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกกักขังอยู่ในกรงทองคำที่ไร้ประตูทางออก
ในจังหวะนั้น ประตูไม้แกะสลักก็เปิดออกเบา ๆ หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความเมตตาเดินเข้ามา "แม่นมหลิน" ผู้เป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของเสวี่ยหนี่ ตั้งแต่ยังเยาว์วัย นางเป็นมากกว่าพี่เลี้ยง นางคือผู้ที่เสวี่ยหนี่สามารถพูดคุยและระบายความรู้สึกได้เสมอ
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรรึเปล่า ข้าสังเกตเห็นว่าท่านดูเหม่อลอยมาหลายวันแล้ว" แม่นมหลินถามอย่างอ่อนโยน พร้อมเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ
เสวี่ยหนี่มองแม่นมหลินด้วยสายตาอ่อนล้า นางถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา "แม่นม... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ชีวิตนี้ดูเหมือนจะมีทุกอย่าง แต่ข้ากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย ข้าอยู่ในจวนที่งดงาม มีผู้คนล้อมรอบ แต่ทำไม... ทำไมข้าถึงรู้สึกว่างเปล่าเช่นนี้?"
แม่นมหลินมองเสวี่ยหนี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย "คุณหนู ความรู้สึกเช่นนี้มิได้ผิดหรือประหลาดแต่อย่างใด ท่านเป็นหญิงสาวที่มีหัวใจอ่อนโยนและลึกซึ้ง การที่ท่านรู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะท่านยังไม่พบสิ่งที่หัวใจของท่านต้องการอย่างแท้จริง"
เสวี่ยหนี่ฟังคำพูดนั้นและรู้สึกว่ามันกระทบใจของนางอย่างลึกซึ้ง นางหลุบตาลง มือของนางเริ่มกำผ้าห่มในมือแน่นขึ้น
"แต่ข้าจะทำเช่นไรได้ ในเมื่อชะตาชีวิตของข้าไม่ได้เป็นของข้าเอง ข้าไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าข้าจะปรารถนาอะไร มันก็เป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง"
แม่นมหลินยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอื้อมมือมาจับมือของเสวี่ยหนี่ "คุณหนู ข้ารู้ว่าท่านมีความรู้สึกที่หนักอึ้งในใจ แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าชีวิตนั้นมิได้มีเพียงกรอบที่เราต้องยอมรับเสมอไป บางครั้งทางออกอาจอยู่ที่การเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ หรือการกล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงและสร้างชะตากรรมของตัวเอง"
เสวี่ยหนี่มองแม่นมหลินด้วยความสับสนและความหวังที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ นางไม่แน่ใจว่าคำพูดของแม่นมหลินหมายถึงอะไร แต่คำแนะนำนี้ทำให้นางรู้สึกว่าในโลกที่ดูเหมือนจะปิดกั้นทุกสิ่ง อาจยังมีทางออกที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
“ท่านคิดว่าข้า... ควรทำอย่างไรดี แม่นม?”
แม่นมหลินบีบมือของเสวี่ยหนี่เบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ "ท่านต้องเริ่มต้นด้วยการฟังเสียงหัวใจของตัวเอง ข้าเชื่อว่าถ้าท่านตามหัวใจของตัวเอง ท่านจะพบคำตอบที่ท่านกำลังมองหา และเมื่อถึงเวลานั้น ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองได้"
คำพูดนั้นทำให้เสวี่ยหนี่เงียบไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกถึงความกล้าที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยในใจ แม้จะยังไม่แน่ใจว่านางจะทำเช่นไร แต่หัวใจของนางบอกว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ที่นางเฝ้ารอมาตลอดชีวิต
ทันใดนั้น แววตาของไป๋เสวี่ยหนี่ก็เปลี่ยนไป ดั่งมีประกายแห่งความคิดสว่างวาบขึ้นในใจ นางค่อย ๆ ผุดลุกจากเตียงด้วยท่าทางที่สง่างาม ดวงตาที่เคยหม่นหมองกลับส่องประกายความมุ่งมั่นเล็กน้อย ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะนางหันมาทางแม่นมหลิน
"แม่นม ข้าอยากออกไปที่สวนเก็บดอกไม้กับท่านเจ้าค่ะ" เสวี่ยหนี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น "ข้าคิดว่าเราน่าจะนำดอกไม้เหล่านั้นมาทำอบร่ำ เผื่อกลิ่นหอมของมันจะช่วยให้ข้ารู้สึกดีขึ้นบ้าง"
แม่นมหลินมองเสวี่ยหนี่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ดีใจที่เห็นคุณหนูของนางกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง "เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะคุณหนู ดอกไม้ในสวนนี้งดงามแล้วยังมีกลิ่นหอมชื่นใจอีกด้วย อาจจะช่วยคลายความเศร้าหมองในใจของคุณหนูได้"
ทั้งสองจึงเดินออกไปยังสวนดอกไม้ที่ตั้งอยู่ด้านหลังของจวน เสวี่ยหนี่สูดหายใจลึกเมื่อเท้าเปลือยเปล่าของนางสัมผัสกับหญ้าเขียวชอุ่ม ความสดชื่นของอากาศยามเช้าทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง ดอกเหมยที่ผลิบานสะพรั่งอยู่ทั่วสวนส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ปกคลุมไปทั่วทุกอณูของสวน
เสวี่ยหนี่และแม่นมหลินเดินเคียงข้างกันผ่านสวนที่เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้หลากหลายชนิด มือเรียวของเสวี่ยหนี่ค่อยๆ เอื้อมไปเด็ดดอกเหมยสีขาวนวลที่บานอยู่บนกิ่งอย่างระมัดระวัง นางรู้สึกถึงความนุ่มนวลของกลีบดอกในมือ รอยยิ้มที่แท้จริงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเป็นครั้งแรกในหลายวัน
"ดอกเหมยเหล่านี้ช่างงดงามนัก แม่นม ข้ารู้สึกว่ากลิ่นหอมของมันสามารถชำระล้างความทุกข์ในใจได้" เสวี่ยหนี่พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
แม่นมหลินพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยน "ดอกไม้ก็เหมือนหัวใจของเรานั่นแหละเจ้าค่ะ คุณหนู มันผลิบานเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และกลิ่นหอมของมันจะนำความสดชื่นมาสู่ใจของผู้ที่เปิดใจรับ"
เสวี่ยหนี่เก็บดอกไม้ไปพลาง คุยกับแม่นมหลินไปพลาง นางรู้สึกว่าการได้ใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและทำสิ่งที่เรียบง่ายเช่นนี้ทำให้นางลืมความกังวลที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจได้ชั่วคราว นางหวังว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ที่นางเก็บมานี้ เมื่ออบร่ำแล้ว จะช่วยนำพาความสงบสุขมาสู่จิตใจที่เคยว้าวุ่นของนาง
เมื่อดอกไม้ในตะกร้าเริ่มเต็ม เสวี่ยหนี่หันมามองแม่นมหลินพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนและมีความสุข
"ขอบคุณท่านนะ แม่นม ขอบคุณที่ท่านคอยให้คำปรึกษาและรับฟังข้าเสมอ ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว"
แม่นมหลินหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู "ข้าดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของคุณหนูอีกครั้งเจ้าค่ะ ท่านดูงดงามที่สุดเมื่อท่านยิ้ม ข้าเชื่อว่าความสุขของท่านจะต้องกลับมาสู่ใจของท่านในไม่ช้านี้"
เสวี่ยหนี่รู้สึกอุ่นใจที่มีแม่นมหลินอยู่เคียงข้าง และนางก็สัญญากับตัวเองว่าจะพยายามค้นหาความสุขที่แท้จริงในชีวิต..
เรื่องราวความรักตามหน้าที่ของหญิงสาวตระกูลขุนนางใหญ่ที่ยอมลดศักดิ์ศรีแต่งงานกับผู้ที่ไม่ได้รักเพื่อครอบครัว แต่เรื่องราวการเสียสละเพื่อครอบครัวนั้นกลับกลายเป็นฝันร้าย เพราะนางกลายเป็นหมากในกระดานเกมการเมืองที่หมดประโยชน์ ซึ่งย่อมถูกเขี่ยทิ้ง นางจะทำเช่นไรต่อไป ยืดหยัดในการแต่งงานที่ว่างเปล่าเพื่อศักดิ์ศรีและหน้าตาของวงศ์ตระกูล หรือพลิกเกมกระดานนี้ให้คว่ำ โดยไม่สนว่าใครจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
การค้นหาความจริงของป่าลึกลับโบราณโดยจอมยุทธ์หนุ่มไร้ประสบการณ์ เมื่อการผจญภัยท่องโลกกว้างของเขาบังเอิญไปพัวพันกับการไขปริศนาอัญมณีที่ถูกซ่อนไว้จากการยื้อแย่งจากทั่วยุทธภพ เขาจะเป็นผู้ครอบครองสิ่งที่ทรงพลังนี้หรือโดนลงทัณฑ์จากความทะเยอทะยานอันไม่มีสิ้นสุด มาร่วมลุ้นระทึกและไขปริศนาไปพร้อมกันได้ในเรื่องนี้
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้